บทที่ 748 นี่มิใช่เจตนารนหาที่ตายหรอกหรือ?
คำถามนับไม่ถ้วนวนเวียนอยู่ในสมองเธอ เธอกระแอมคราหนึ่ง ลองพูดคุยกับตนเองดูสักประโยค จากนั้นก็พบว่ากระทั่งเสียงก็ยังเป็นของตี้ฝูอีเช่นกันของแท้แน่นอน!
เธอชิงร่างของตี้ฝูอีมา หากว่ากล่าวเรื่องนี้ออกไปย่อมต้องเกิดมรสุมใหญ่เป็นแน่!
เธอนั่งใคร่ครวญอยู่บนเก้าอี้ครู่หนึ่ง พบว่าตนไม่มีความทรงจำใดๆ ของตี้ฝูอีเลย…
หนก่อนหลังจากเธอทะลุมิติมา เข้าครองร่างของคุณหนูกู้ซีจิ่วแห่งจวนแม่ทัพ ก็ได้รับสืบทอดความทรงจำของนางมาด้วย
หนนี้เธอชิงร่างของตี้ฝูอีมา ทำไมถึงไม่มีความทรงจำของตี้ฝูอีล่ะ?
ความทรงจำของเธอยังคงเป็นกู้ซีจิ่ว ไม่ผิดเพี้ยนไปเลยสักนิด
ตอนนี้เธอเข้าครองร่างของตี้ฝูอี เช่นนั้นร่างของตนเล่า?
ตายแล้วหรือ?
หรือว่าถูกผู้อื่นครอบครอง?
บางทีอาจเป็นการสลับร่างกับตี้ฝูอีกระมัง?
กู้ซีจิ่วมิใช่เด็กน้อยที่ตื่นตระหนกต่อการเปลี่ยนแปลง แต่บัดนี้สมองก็ทึ่มทื่ออยู่บ้างเช่นกัน
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำให้ตัวเองสงบลง ทำให้ตัวเองยอมรับความจริงอันน่าประหลาดนี้ให้ได้
จนกระทั่งยามนี้เธอถึงสัมผัสได้ว่าร่างกายตนอ่อนแอยิ่งนัก เรี่ยวแรงสักนิดก็ไม่มีเลย ภายในทรวงอกกลวงโหวง ชีพจรทุกเส้นกรีดร้องว่าอ่อนล้า
เมื่อเธอยืดกายขึ้นหยาดเหงื่อเย็นเฉียบก็ผุดออกมาจากหน้าผาก…
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วครุ่นคิด นี่เป็นผลจากการที่ตนปรับตัวเข้ากับร่างนี้ไม่ได้งั้นหรือ?
หรือมีสาเหตุจากสุขภาพของร่างนี้?
อย่างไรเสียยามที่เธอช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อคืน ร่างกายเขาก็อ่อนปวกเปียกดั่งปุยนุ่น ยอมให้เธอดึงยอมให้เธอโอบ…
เพียงแต่ยามนี้ดูเหมือนร่างกายนี้จะดีขึ้นมากแล้ว อย่างน้อยเธอก็สามารถเคลื่อนไหวตามปกติได้
เธอนั่งขยับมือ ขยับเท้า อยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ให้ตัวเองปรับตัวสักพัก ถึงค่อยลุกขึ้น ตัดสินใจออกไปดูข้างนอกก่อน ตามหาร่างของตน…
เพิ่งจะเปิดประตูออกไป ก็มองเห็นมู่เหล่ยปรี่มาต้อนรับ สีหน้าเปี่ยมด้วยความยินดี “นายท่าน ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว! ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ? เมื่อคืนข้าน้อยตกใจแทบตาย ท่านกับแม่นางกู้สลบอยู่นอกเรือน…”
เขาร่ายสิ่งที่พบเห็นเมื่อคืนออกมาชัดเจนยิ่งนัก เขาดูไม่ออกว่าร่างกายเจ้านายตนเปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว…
กู้ซีจิ่วฟังเขาพูดจนจบอยู่เงียบๆ สรุปได้สองประเด็นจากคำพูดของเขา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกระทำการลึกลับยิ่ง ยามปกติไม่ชมชอบให้ลูกน้องติดสอยห้อยตาม หากว่าเขาไม่ติดต่อลูกน้อง ลูกน้องก็ไม่กล้าติดต่อเขา แถมยังเคยชินกับการที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายออกไปข้างนอกในยามวิกาลแล้ว ไม่กลับมาทั้งคืนหรือไม่กลับมาหลายคืนล้วนเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นการที่เขาไม่กลับมาเมื่อคืนจึงไม่ก่อให้มู่เหล่ยรู้สึกตื่นตูม
ข้อที่สอง ระยะนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างยิ่ง การที่เขาถอนกระบี่เพื่อรักษาให้ตนคือการฝืนตัวเอง ด้วยเหตุนี้ชีพจรจึงได้รับความเสียหาย และในช่วงนี้ก็ไม่ควรดื่มสุรา มิเช่นนั้นจะทำให้อาการบาดเจ็บทรุดหนักกว่าเดิม…
หลังจากกู้ซีจิ่วสรุปสองข้อนี้ออกมา ในใจก็ซาบซึ้งยิ่งนัก และรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ทำตัวเองแท้ๆ!
บาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ยังวิ่งไปทั่วอีก ซ้ำยัง ไปแช่อาบนํ้าในหุบเขาลึก แถมยังดื่มสุรา…นี่มิใช่เจตนารนหาที่ตายหรอกหรือ?!
เพียงแต่มีปัญหาอื่นที่เธอกังวลกว่า “แม่นางกู้ล่ะ? นางยังสลบอยู่หรือ?”
มู่เหล่ยเอ่ยตอบ “ตอนนั้นนางก็สลบเหมือนกันขอรับ ข้าน้อยไม่กล้าพานางเข้ามาในเรือนโดยพลการ เกรงว่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของนาง จึงอาศัยที่เป็นยามวิกาลส่งนางกลับไปพักฟื้นที่เรือนจิตวายุแล้วขอรับ…”
จากนั้นก็มองสีหน้าของเจ้านายตนเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “นายท่านวางใจเถิดขอรับ ข้าน้อยจับชีพจรให้นางแล้ว แค่สลบไปด้วยความอ่อนเพลีย เท่านั้น มิได้กระทบกระเทือนบาดแผลเดิม คาดว่ารุ่งเช้าก็น่าจะตื่นแล้วขอรับ ไม่มีปัญหาอะไร”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
กู้ซีจิ่วหมุนกายเดินจากไป “ ข้าจะไปดูนาง!”
เดิมทีกู้ซีจิ่วก็เล่นละครเก่งอยู่แล้ว เมื่อแปลงโฉมเป็นผู้ใดก็แสร้งเป็นผู้นั้น