บทที่ 976 เสมือนถูกฟ้าผ่า!
เพลิงลุกโชติช่วง เสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระลอก ลูกไฟมหึมาพุ่งขึ้นฟ้าเป็นบางครั้ง ราวกับโลกจะถึงกาลอวสานแล้ว มีเสียงคำรามดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดแว่วออกมาจากกองเพลิง
ภายในระยะสิบลี้ของหล่มแห่งนั้นถูกเปลวเพลิงครอบคลุมหมดแล้ว อย่าว่าแต่หล่มนั้นเลย แม้แต่ภูเขาที่ห่างจากหล่มเจ็ดแปดลี้ก็เข้าใกล้ไม่ได้แล้ว
ในอากาศมีกลิ่นเนื้อไหม้พุ่งขึ้นสู่นภา แผดเผาแม้กระทั่งอากาศให้ลุกไหม้
กู้ซีจิ่วใช้วิชาเคลื่อนย้ายกลับมา
กู้ซีจิ่วลาดตระเวนไปรอบๆ พื้นที่เกิดเพลิงไหม้อย่างรวดเร็ว ตะโกนเรียก ใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อ…
วิธีติดต่อทั้งหมดเธอล้วนใช้จนสิ้นแล้ว ทว่าไม่ได้รับการตอบกลับจากอีกฝ่ายเลย หัวใจของกู้ซีจิ่วร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ เม้มริมฝีปากจนแทบซีดขาวแล้ว
อิงเหยียนนั่ว เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เธอเพิ่งคบหาได้เพียงครึ่งปี ชอบทำตัวแอ๊บแบ้วใส่เธอ แสดงตัวตนการมีอยู่ต่อหน้าเธอทุกวัน ไม่ว่าเธอจะเดินไปไหนก็มองเห็นเงาร่างของเขาได้เสมอ ดูเหมือนจะอ่อนแอทว่ามีความสามารถยอดเยี่ยมพิสดาร ในช่วงคับขันมักจะปาดมาอยู่เบื้องหน้าเธอ ป้องลมคุ้มฝนให้เธอ แก้ไขปัญหาให้เธอ
ถึงแม้บางครั้งเขาจะมีสองบุคลิก บางครั้งก็จู้จี้จุกจิกบ้าง แต่กลับเป็นสหายที่ยอดเยี่ยมที่สุด เป็นสหายที่พึ่งพาได้ที่สุดในช่วงเวลาคับขัน
ปฏิสัมพันธ์ของเธอกับเขาในระยะเวลาครึ่งปีมานี้ยังมากกว่าพวกจิ้งจอกน้อยเสียอีก เพียงแต่เขาเข็มแข็งยิ่งมาตลอด ความสามารถในการป้องกันตัวก็กล้าแกร่งมาก ครึ่งปีมานี้คอยติดตามอยู่ข้างกายเธอประหนึ่งเงา ดังนั้นเธอจึงติดนิสัย ไม่มองหาเขาในสนามรบ ยามที่พบพานอันตราย สิ่งที่เธอจะใคร่ครวญถึงคือความปลอดภัยของสหายตัวน้อยที่เหลือ
ลึกๆ ในใจของเธอ รู้สึกอยู่เสมอว่าไม่ว่าเขาจะพบเจอเรื่องทุกข์ยากอันใดล้วนสามารถควบคุมตนเองได้ ถึงขั้นที่สามารถฉวยโอกาสสร้างความลำบากแก่ศัตรูได้ประเภทนั้น
แต่ในยามนี้ เป็นเพราะความเลินเล่อของเธอ ทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ยามนี้จะเป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้…
หากเขาประสบเหตุจนถึงแก่ชีวิตจริงๆ เกรงว่าเธอคงรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต!
“อิงเหยียนนั่ว!”
“อิงเหยียนนั่ว!”
ไม่มีเสียงตอบรับเลย…
เธอวนเวียนอยู่รอบพื้นที่เกิดเพลิงโคจรกำลังภายในตะโกนเรียกชื่อเขา ตะโกนจนเสียงตนสั่นพร่าแล้ว
….
เมื่ออิงเหยียนนั่วล่อผีดิบมหาศาลลงไปในหล่มนั้นได้จนสิ้น ตัวคนก็แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว หากไม่มีเกราะป้องกันสุดท้าย เขาคงไม่เอาชีวิตมาทุ่มไว้ที่นี่หรอก ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขายังคงเหลือทางถอยไว้ให้ตนอยู่ ยามที่พลังวิญญาณกำลังจะหมดเกลี้ยง เขาก็เริ่มเหาะกลับไป…
อย่างไรก็ตามพละกำลังได้เสื่อมถอยจนกลายเป็นม้าตีนปลายแล้ว เขาจึงเหาะกลับฝั่งอย่างยากลำบาก ทว่าเนื่องจากไม่อาจควบคุมกำลังได้ไปชั่วขณะ เกือบจะชนเข้ากับต้นไม้แล้ว เคราะห์ดีที่ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาว่องไวยิ่ง คว้ากิ่งไม้กิ่งหนึ่งได้ทันกาล แล้วพลิกร่างขึ้นไปนั่ง
เลือดลมในทรวงอกปั่นป่วนยิ่งนัก ทำให้เบื้องหน้าเขามืดมัวไปพักหนึ่ง เขาหรี่ตามองผีดิบในหล่ม ผีดิบกว่าสามพันตัวยัดลงไปในหล่มจนล้นขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ส่วนใหญ่พบภัยพิบัติไปหมดแล้ว ยังมีส่วนน้อยที่เหยียบหัวพวกเดียวกัน ดิ้นรนอยู่บนผิวหน้าของหล่ม หากมิใช่เพราะหล่มแห่งนี้มีแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เกรงว่าผีดิบที่อยู่ด้านบนสุดคงสามารถปีนขึ้นมาได้อีกครั้ง
และเห็นได้ชัดว่าผีดิบที่จมลงไปแล้วยังไม่ตาย ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่ด้านล่าง เกลือกกลิ้งเถลือกไถลก่อกวนจนหล่มโคลนประหนึ่งหม้อนํ้าเดือด…
หากไม่ใช้วิธีอื่นด้วย ไม่ช้าก็เร็วผีดิบเหล่านี้จะปีนขึ้นมาก่อหายนะ
ขณะที่อิงเหยียนนั่วยกมือขึ้นหมายจะทำบางสิ่ง ทันใดนั้นพลันมีแสงสีรุ้งจางๆ ผุดออกมาจากร่าง!
เขามุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เนื่องจากจิตใจยุ่งเหยิงสับสนจึงถูกธาตุไฟเข้าแทรก ยามที่ฟื้นขึ้นมาร่างกายก็มีแสงสีรุ้งผุดออกมา หลังจากแสงสีรุ้งหายไป รูปลักษณ์ของเขาก็กลายเป็นช่วงอายุสิบสี่สิบห้า ความรู้สึกของเขาในยามนั้นเสมือนถูกฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง!