ตอนที่ 100 ตัดศีรษะต่อหน้า
แสงสีแดงแล่นผ่านกายเขา ก่อนหายวับไป
จ้าวเผ่าภูผาดำตัวสั่นสะท้าน นักรบอีกคนสั่นเทาเช่นเดียวกัน พวกเขามองหน้ากันไปมา ต่างฝ่ายต่างเห็นความหวาดกลัวของกันและกัน พวกเขายังไม่เห็นเลยว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์หรือว่ามนุษย์ ทว่าเส้นแสงจำนวนมากที่ลอยตามหลังแสงสีแดงเมื่อครู่ กลับทำให้พวกเขาคิดว่าเป็นเส้นผม
“ใคร! เจ้าเป็นใคร ออกมา!” นักรบภูผาดำที่เหลืออยู่พลันแผดเสียงลั่น
ขณะนั้นจ้าวเผ่าภูผาดำใบหน้าขาวซีด พลันใช้มือซ้ายกดหน้าอกเอาไว้ เปล่งลำแสงโลหิตทั้งตัว ภายใต้อาการบาดเจ็บสาหัส เขายอมระเบิดพลังโลหิตมหาศาลในเวลาอันสั้นโดยไม่สนสิ่งใด ไม่ใช่เพื่อต่อสู้ แต่เพื่อหนีไปให้เร็วที่สุด พริบตาเดียวก็หายเข้าไปในเงามืดป่าทึบ
นักรบภูผาดำที่เหลืออยู่หมุนตัววิ่งหนีพร้อมกับร้องลั่น ทว่าทันใดนั้น ร่างกายของเขาพลันสั่นเทา เห็นแสงสีแดงปรากฏขึ้น โอบล้อมรอบตัวเป็นวงกลม ก่อนกลายเป็นเงาของซูหมิงยืนอยู่ด้านหลัง
นักรบภูผาดำมีโลหิตไหลจากมุมปาก รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว เส้นแสงมัดตัวเขาเอาไว้ก่อนแทงลึกเข้าไปในเนื้อ ภายใต้พันธนาการ เขาสัมผัสได้ถึงความตาย ในยามนี้เขาได้ยินเสียงลมหายใจจากด้านหลัง พยายามหันกลับไปมองว่าสิ่งลึกลับที่ทำให้หวาดกลัวเป็นใครกันแน่ ทว่าก็ไม่สำเร็จ ตัวเขาสั่นเทาก่อนแหลกเป็นชิ้นๆ
ซูหมิงหายใจกระชั้นถี่ ตั้งแต่ขบวนเริ่มอพยพ เขาต่อสู้มาโดยตลอด พยายามยับยั้งภัยแฝงจากในร่างกาย หากไม่ใช่เพราะมีแสงจันทร์ยามค่ำคืนช่วยฟื้นฟูร่างกายของเขาทีละนิด เกรงว่าคงล้มไปนานแล้ว
วันนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวง พลังลึกลับจากแสงจันทร์บรรลุถึงขีดสุด
โลหิตของซูหมิงราวกับแผดเผาเดือดพล่าน ทำให้เขายืนหยัดได้นานขึ้น ระงับภัยแฝงในร่างกายลงได้ และออกไล่ล่าได้สำเร็จ มือเขาถือศีรษะคนสามคน มองทอดยาวไปในป่าลึก เดินไปทีละก้าวอย่างสงบนิ่ง
“เหลือแค่เจ้าคนเดียว จ้าวเผ่าภูผาดำ ฐานะของเจ้าสูงส่งถึงเพียงนี้ ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างสมเกียรติเอง แต่เงื่อนไขคือเจ้าต้องวิ่งให้เร็ว เร็วพอจะไปถึงกำลังเสริมของเจ้า” ซูหมิงเลียริมฝีปาก ขยับแสงทะยานไปเบื้องหน้า กลายเป็นสายรุ้งสีแดงกับเส้นแสงจันทร์ตามหลังจำนวนมาก
จ้าวเผ่าภูผาดำ ชายฉกรรจ์อายุราวสี่สิบปี ฐานะของเขาสูงส่ง ภายในเผ่านอกจากจ้าวหมานกับปี้ซู่แล้ว ถัดมาก็เป็นเขา เดิมทีเขาควรจะนำกำลังพลมหาศาลเก็บเกี่ยวชีวิตของเผ่าเขาทมิฬอย่างโหดเหี้ยม แล้วเข้าเสพสังวาสกับสตรีเผ่าเขาทมิฬต่อหน้าเชลยบุรุษ ดื่มสุราและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับย่ำยีศักดิ์ศรีท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้และดิ้นรนของพวกนาง สุดท้ายก็ตัดศีรษะของพวกบุรุษเขาทมิฬที่กำลังโกรธแค้นถึงขีดสุดให้ตนเองมีความสุข
นี่เป็นความปรารถนาของเขา ภายใต้คำสั่งของจ้าวหมาน เขาจึงเปิดฉากบุกเผ่าเขาทมิฬ กระทั่งเขายังนำความปรารถนาเช่นนี้บอกกับนักรบทุกคน ก่อนเปิดฉากสงครามท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความฮึกเหิม
ทว่ายามนี้เขากลับจนตรอก ร่างกายบาดเจ็บ โลหิตอาบไปทั้งตัว ทั้งยังเสียความมุ่งมั่นในการต่อสู้ ตอนแรกเขาตื่นตะลึงกับการต่อต้านของเผ่าเขาทมิฬ ต่อมาจึงได้รับบาดเจ็บจากหนานซง หลังจากได้สติคืนกลับมา ขณะกำลังรักษาบาดแผลเพื่อจู่โจมในรอบต่อไป กลับพบสิ่งลึกลับเหมือนดั่งฝันร้าย
นักรบตายต่อหน้าเขาไปทีละคน ศีรษะและร่างกายแยกจากกัน ทำให้เขาเกิดความกลัวสุดขีด เขามองไม่เห็นอีกฝ่าย เห็นเพียงเส้นสายสีแดงเท่านั้น เขาเหนื่อยล้ายิ่งนัก และไม่กล้าพอจะหันกลับไปต่อสู้ อีกทั้งยังไม่กล้าระเบิดเส้นเลือดตัว เพราะว่าเขาไม่ใช่นักรบหมานธรรมดา เขาคือจ้าวเผ่าภูผาดำ
เพราะเขาทราบดีว่ากำลังเสริมภูผาดำกำลังมา เป็นไปได้สูงมากที่จะอยู่ไม่ไกลจากเขา ขอแค่วิ่งให้เร็วขึ้นอีกก็จะไปสมทบกับพวกนั้นได้
ยามนี้มีโลหิตไหลมาจากมุมปากไม่หยุด ความเหนื่อยล้าของร่างกายทวีคูณเพิ่มขึ้น การระเบิดพลังเมื่อครู่ ยามนี้แสงโลหิตบนตัวจึงอ่อนลงถึงขีดสุด ขณะโซเซพุ่งทะยาน เขาไม่กล้าหยุดพัก แต่ความเร็วกลับลดลงเล็กน้อยโดยไม่อาจคุมได้
ทันใดนั้น ในช่วงที่ความเร็วของเขาเพิ่งลดลง
ด้านหลังมีเสียงร้องประหลาดดังขึ้นอีกครั้ง ยังผลให้เขาหวาดกลัวสุดขีด เสียงดังกล่าวคล้ายกับเสียงของพวกเขาเผ่าภูผาดำขณะล่าสังหารชาวเผ่าเขาทมิฬ ทว่ามันกลับรวดเร็วและดุดันกว่ามาก
พอจ้าวเผ่าภูผาดำได้ยินก็ราวกับใกล้เสียสติ ในขณะเดียวกัน เสียงคำรามพลันเข้าประชิดหลังจ้าวเผ่าภูผาดำ เขากัดฟันหมุนตัวกลับ แผดเสียงคำรามพร้อมปล่อยหมัด แต่ในแววตาปรากฏเป็นศีรษะถูกโยนเข้ามาอย่างรวดเร็ว
หนึ่งหมัดปะทะกับศีรษะ สิ่งที่จ้าวเผ่าภูผาดำมองเห็น นอกจากเศษเนื้อระเบิดกระจุยแล้ว ยังมีสายรุ้งยาวสีแดงวูบเข้ามา ด้านหลังสายรุ้งมีเส้นแสงถูกลากตามจำนวนมาก แปลกประหลาดไม่อาจคาดเดา
เสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้น จ้าวเผ่าภูผาดำกระอักโลหิต แขนขวาทั้งแขนหลุดจากตัว ในช่วงที่แสงสีแดงวูบวาบเบื้องหน้าจ้าวเผ่าภูผาดำ เขาเห็นกับตาเลยว่าแขนขวาของตนแตกกระจายเป็นชิ้นๆ
ความกลัวเข้าปกคลุมจ้าวเผ่าภูผาดำ เขากัดปลายลิ้น ไลหิตไหลมาจากมุมปาก ด้านหลังของเขาพลันปรากฏเงาหมีโลหิตใหญ่ยักษ์เลือนราง มันใช้ฝ่ามือคว้าตัวเขาเอาไว้ ก่อนโยนออกไปไกล เขาอาศัยแรงเหวี่ยงนี้หลบหนีโดยไม่สนสิ่งใด
หลังจากโยนจ้าวเผ่าไปแล้ว หมีโลหิตพลันถูกแสงจันทร์เข้าโอบล้อมเป็นวงกลมทั้งตัว ก่อนแหลกสลายหายไป เงาซูหมิงปรากฏขึ้นเด่นชัด ใบหน้าขาวซีด ทว่าดวงตายังคงสงบนิ่ง เพียงแต่ว่ามุมปากมีรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
“ดูจากเวลา น่าจะใกล้แล้ว” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก แสงจันทร์หลั่งไหลเข้าไปในบาดแผลทั้งตัว ไหลเวียนในร่างกาย ช่วยยืดเวลาให้เขาทำสิ่งต่างๆ อีกมากมาย
ซูหมิงมองไปทางจ้าวเผ่าภูผาดำ ร่างขยับไหวไปเบื้องหน้า ไล่ล่าสังหารต่อ ความเร็วของเขาอยู่เหนือกว่าจ้าวเผ่าภูผาดำ ซูหมิงกลับใช้ความเร็วปกติ แววตาขยับประกายแสงพิลึก
เขาทราบดีว่าวิกฤตของชนเผ่ายังไม่สิ้นสุดลง จากท่าทีของจ้าวเผ่าภูผาดำ เดาไม่ยากว่ายังมีกำลังเสริมอยู่อีก
ฉะนั้นเขาจึงไม่รีบสังหารจ้าวเผ่าภูผาดำ แต่ไล่ตามหลังไปเรื่อยๆ ทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกันในเผ่ามานาน ย่อมเกิดความรู้สึกผูกพันทางสายเลือด และทราบได้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ตรงไหน ในจุดนี้ซูหมิงทราบดี เขาไม่รู้ว่ากำลังเสริมเผ่าภูผาดำอยู่ที่ไหน ทว่าจ้าวเผ่าภูผาดำย่อมรู้แน่นอน หลังจากเจอกำลังเสริมและสังหารพวกเขาทิ้งหมดแล้ว ขบวนอพยพจึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริง
ยังมีอีกจุดหนึ่งคือ การใช้เล่ห์เหลี่ยมกับความตายของจ้าวเผ่าภูผาดำ หากให้เขาสิ้นใจต่อหน้ากำลังเสริมพวกนั้นได้ ความมุ่งมั่นในการต่อสู้จะต้องพังทลายย่อยยับ เช่นนี้จะง่ายแก่การสังหารขณะซูหมิงเหนื่อยล้า
เวลาดำเนินผ่านไปสองก้านธูป จ้าวเผ่าภูผาดำกำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่ง เขาเสียแขนขวาไปแล้ว ยามนี้กลับไม่ใส่ใจ ขณะห้อวิ่ง ในแววตายังหวังจะมีชีวิตรอด
เขาไม่อยากตาย เขาสัมผัสได้จากในสายเลือดว่ากำลังเสริมอยู่ตรงหน้าเขาไม่ไกลนัก กระทั่งกลิ่นอายพลังจากชาวเผ่ายังทำให้ความหวังว่าจะมีชีวิตรอด
ในแววตาเขาเข้มข้นขึ้น เขาอายุสี่สิบกว่าปี กลับไม่เคยจนตรอกและหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน กระทั่งความรู้สึกในยามนี้ยังรุนแรงกว่าตอนหนานซงเสียอีก
เพราะเขามองเห็นหนานซง แต่มือสังหารลึกลับด้านหลัง จนกระทั่งถึงตอนนี้เขายังไม่เห็นตัว เห็นเพียงแสงสีแดงประดุจโลหิต และยังมีเส้นจำนวนมากถูกลากยาว
ในชั่วขณะนั้น เสียงร้องแหลมพิลึกที่ทำให้เขาบ้าคลั่งดังกังวานด้านหลังอีกครั้ง เสียงดังกล่าวราวกับระฆังแห่งความตาย ทุกครั้งที่ปรากฏขึ้น จะทำให้จ้าวเผ่าภูผาดำเจ็บปวดและหวาดกลัวจนไม่อาจทนได้
กระทั่งยามนี้เมื่อได้ยินเสียง เขาพลันกระอักโลหิต บาดแผลภายในและความเหนื่อยล้าราวกับว่าไม่อาจทนไหว เหมือนกับนกที่บาดเจ็บจากลูกธนู พอได้ยินเสียงคันศรก็หวาดกลัวจนตกพื้น
“เจ้าเป็นใคร! เจ้าเป็นใครกันแน่!” จ้าวเผ่าภูผาดำแผดเสียงคำราม ขณะใบหน้าขาวซีด ก็ได้เห็นต้นตอความหวาดกลัวของเขาอีกครั้ง สายรุ้งยาวสีโลหิตพุ่งเข้ามาพร้อมกับเส้นแสงจำนวนมาก มันโอบล้อมรอบตัวเขา ก่อนแขนซ้ายจ้าวเผ่าภูผาดำหลุดจากร่าง ระเบิดกลายเป็นเศษเนื้อ
ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน จ้าวเผ่าภูผาดำสิ้นหวัง ทว่าความสิ้นหวังของเขากลับเปลี่ยนเป็นความหวังที่จะมีชีวิตรอดในชั่วพริบตา เขาได้ยินเสียงร้องพิลึกดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแค่มันไม่ทำให้เขาหวาดกลัว แต่กลับดีใจอย่างบ้าคลั่ง
นั่นเป็นเสียงของชาวเผ่าภูผาดำ!
เขาส่งเสียงตะโกนดังสนั่น ขยับตัวถอยหนีอย่างร้อนรน ใช้กำลังเฮือกสุดท้ายของชีวิตวิ่งไปทางเสียงของชาวเผ่าราวกับคนบ้า ความรู้สึกพร่ามัว ในสมองมีอยู่ความคิดเดียวคือรวมตัวกับชาวเผ่า
ไม่นาน บนพื้นหิมะกว้างโล่งต้นไม้บางตาเบื้องหน้า เขาเห็นเงาห้าคนกำลังห้อวิ่งมาจากในป่าทึบ เงาคนเหล่านี้ เขาคุ้นเคยดี
ในช่วงที่เขาสังเกตเห็นชาวเผ่าเหล่านี้ กำลังเสริมภูผาดำก็สังเกตเห็นจ้าวเผ่าผู้มีฐานะสูงส่งในชนเผ่าของพวกเขาเช่นเดียวกัน!
เพียงแต่ว่าจ้าวเผ่าในยามนี้ กลับดูจนตรอกอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นัยน์ตาหวาดกลัว โลหิตอาบไปทั้งตัว ทั้งยังเสียแขนทั้งสองข้าง กำลังเสริมภูผาดำเหล่านั้นล้วนหน้าถอดสี ประดุจเผชิญหน้ากับศัตรู เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะต้องหวาดกลัว พวกเขาไม่อยากเชื่อ จ้าวเผ่านำกองกำลังบุกมากมายเช่นนั้น ทว่ากลับเหลือเขาเพียงคนเดียว นอกจากนี้ท่าทางหวาดผวาของเขายังดูราวกับเจอเหตุการณ์น่าสะพรึงสุดขีด
“ช่วยข้าด้วย!” หลังจากเห็นชาวเผ่าเหล่านั้นแล้ว จ้าวเผ่าภูผาดำพลันเกิดความรู้สึกดีใจอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางความสิ้นหวัง ทว่าขณะที่ชาวเผ่าเหล่านั้นกำลังเข้ามา กลับมีสายรุ้งยาวสีแดงปรากฏขึ้นหลังจ้าวเผ่าภูผาดำ ด้วยความเร็วของมัน พริบตาเดียวก็เข้าประชิดตัว ขณะชาวเผ่าเหล่านั้นกะพริบตา แสงสีแดงเข้าโอบล้อมจ้าวเผ่าภูผาดำ เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและไม่ยินยอม
ร่างกายจ้าวเผ่าภูผาดำถูกผ่าตรงส่วนเอว โลหิตแตกกระเซ็นขณะกำลังวิ่งทะยาน ก่อนล้มลงกับพื้น ขาของเขากระตุก แต่นัยน์ตาส่วนท่อนบนยังคงฉายแววปีติยินดี สิ้นหวัง และเงียบสงัดหลอมรวมเข้าด้วยกัน เป็นความน่าสะพรึงที่ทำให้ผู้พบเห็นเป็นต้องขมขื่น
ยามนี้กำลังเสริมภูผาดำเหล่านั้นล้วนจิตใจสั่นสะท้าน สีหน้าตื่นตระหนก ใบหน้าขาวซีด จ้าวเผ่าสิ้นใจตรงหน้า นี่เป็นเหตุการณ์ที่พวกเขาไม่เคยประสบมาชั่วชีวิต หัวใจพวกเขาจึงสั่นไหว ความกลัวปกคลุมไปทั้งตัว
เขาเห็นแสงสีแดงที่สังหารจ้าวเผ่ากลายเป็นเงาคนผอมบาง เงาดังกล่าวโยนคันศรทิ้ง ในมือถือหอกยาว ด้านหลังมีแสงจันทร์เป็นเส้นประดุจเสื้อคลุม ขณะปลิวไสวมันแผ่ขยายไปไกลสิบกว่าจั้ง
เขาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อย่างน้อยก็ดูเป็นเด็กหนุ่ม สีหน้าเรียบเฉย ภายใต้แสงจันทร์สงบนิ่ง รูปร่างผอมบางราวกับซ่อนความน่ากลัวที่กลืนกินทุกสรรพสิ่ง ทำให้นักรบภูผาดำเหล่านั้นตื่นกลัวอย่างอย่างหาที่เปรียบมิได้
แม้แต่จ้าวเผ่ายังตายตกในมือเขา จิตใจนักรบภูผาดำเหล่านี้เต็มไปด้วยความหวาดผวา ในแววตาตื่นตระหนกเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่มองพวกเขาที่อยู่ใกล้ศพจ้าวเผ่าภูผาดำในระยะสิบกว่าจั้งแม้แต่หางตา แต่กลับยืนอยู่ข้างศพ แล้วใช้หอกในมือตัดศีรษะของจ้าวเผ่าเหมือนกระทำกับสัตว์ จากนั้นถือเอาไว้ในมือ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองนักรบภูผาดำห้าคนที่เหลือ
ในแววตาของเขามีเงาจันทร์โลหิต ทั้งดูแปลกและแฝงไว้ด้วยความสงบนิ่งน่ากลัวจนต้องตัวสั่น ในช่วงที่เขามองไปทางนักรบภูผาดำ พวกเขาเหล่านั้นล้วนถอยหลังไปหลายก้าว มีเสียงโครมดังขึ้นในความคิดพวกเขา สายตานั่นทำให้หวาดกลัวยิ่งขึ้น
คนที่แม้แต่จ้าวเผ่ายังหวาดกลัว อีกทั้งยังตายลงต่อหน้า พวกเขาจะไม่ตื่นกลัวได้อย่างไร โดยเฉพาะซูหมิงในยามนี้ ด้านหลังมีเส้นแสงจันทร์ปลิวไสวยาวสิบกว่าจั้ง เปล่งแสงเย็นเยือก
หนึ่งในห้าคน ยามนี้มีชายฉกรรจ์อายุราวสี่สิบปี ตัวสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำ หน้าตาของเขาคล้ายกับจ้าวเผ่าภูผาดำ
“พี่จู๋!” ชายฉกรรจ์แผดเสียงคำราม พลันตรงเข้าหาซูหมิง นักรบภูผาดำด้านหลังของเขาพยายามยับยั้งความกลัวแล้วตรงเข้ามาเช่นเดียวกัน
ซูหมิงยืนอยู่ข้างศพจ้าวเผ่าภูผาดำ แววตาเย็นชา ในช่วงที่ชายฉกรรจ์พุ่งเข้ามา เขาสะบัดมือซ้ายเบาๆ ผงสีแดงสั่นไหวจากพลังโลหิตโปรยปรายเข้าใส่
ในช่วงที่ชายฉกรรจ์หน้าสุดเข้าประชิด เขาพลันตัวสั่นสะท้าน บนใบหน้ามีรอยแผลจากเส้นแสงจันทร์ไร้รูปปรากฏขึ้น โลหิตตรงบาดแผลราวกับเผาไหม้ในชั่วพริบตา ยังไม่ทันได้เปล่งเสียง ร่างกายก็พลันกลายเป็นหมอกโลหิตลอยสู่ฟ้า
“หมาน…หมานชั่วร้าย!”
“มันเป็นหมานชั่วร้าย!” เสียงร้องตกใจดังขึ้นระงม พบว่านักรบภูผาดำสี่คนสีหน้าพลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง ชะงักฝีเท้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นกลัว ภาพจ้าวเผ่าสิ้นใจก่อนหน้านี้ผุดขึ้น และยังมีความหวาดกลัวของจ้าวเผ่าก่อนตาย จึงพรั่นพรึงกันถึงขีดสุด
ขณะทั้งสี่คนล่าถอย ซูหมิงพลันเคลื่อนไหว!
เส้นแสงจันทร์ด้านหลังปลิวไสว ภายใต้จันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า เขาทะยานร่างเข้าใส่นักรบภูผาดำสี่คนที่กำลังตื่นกลัว…