ตอนที่ 98 การตัดสินใจของเหลยเฉิน
ในช่วงที่เส้นเลือดขาดสะบั้น เหลยเฉินตัวสั่นเทา กระอักโหลิต
ส่วนซานเหินถูกหนานซงตบไปหนึ่งฝ่ามือ ใบหน้าขาวซีด โซเซถอยไปหลายจั้ง มีโลหิตไหลมาจากมุมปาก สีหน้าซับซ้อน เผยความเจ็บปวดละอายใจ จากนั้นก้มหน้าลงราวกับไม่กล้าเผชิญหน้ากับหนานซง
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พริบตาเดียวทุกสิ่งกลับตาลปัตร ซูหมิงจ้องซานเหิน ฝืนยิ้มปวดร้าว
ซานเหินใบหน้าขาวซีด กระอักโลหิตไม่หยุด พลันแหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้า เสียงของเขาอ้างว้าง เขาพลันหมุนตัวไป ไม่มองหนานซงกับซูหมิง แต่มองในป่าทึบ ก่อนวิ่งทะยานเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ซานเหินหายไปในป่าทึบพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกัน จ้าวเผ่าแสยะยิ้มราวกับคาดการณ์เอาไว้แล้ว เขาตรงเข้าหาหนานซง รวมถึงชายฉกรรจ์เสื้อคลุมดำที่ประมือกับหนานซงก่อนหน้านี้ ยังปล่อยหมัดเข้าใส่ผู้เฒ่า
สีหน้าหนานซงเศร้าโศก ใบหน้าไร้เลือดฝาด ร่างกายแห้งเหี่ยวเหมือนกระดูกก็มิปาน แผ่นหลังของเขายังมีดาบกระดูกจันทร์เสี้ยวแทงลึกอยู่ในร่าง มีเลือดไหลไม่หยุด
ในช่วงที่จ้าวเผ่าภูผาดำและชายฉกรรจ์เสื้อคลุมดำเข้ามาใกล้ หนานซงพลันหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะของเขาดูอ้างว้าง ทั้งตัวพลันสั่นสะท้าน ตรงกลางระหว่างคิ้วเปิดเป็นรอยแยก เงาดำแสงอ่อนพลันปรากฏ และตรงเข้าใส่ศัตรูที่กำลังใกล้เข้ามา
เงาดำพลันระเบิดในชั่วพริบตา กลายเป็นแรงกระแทกวงกว้าง เดิมทีชายเสื้อคลุมดำได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว ยามนี้จึงไม่อาจทนรับแรงกระแทกได้ ดวงตาแข็งทั้งสองข้างพลันแหลกละเอียด กระเด็นถอยพลางร้องด้วยความเจ็บปวด
ส่วนจ้าวเผ่าภูผาดำ ก็ไม่คิดเช่นเดียวกันว่าหนานซงจะทำเช่นนี้ได้ขณะบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งเขายังทราบด้วยว่าดาบโค้งในร่างของหนานซง อาบยาพิษร้ายแรงชนิดหนึ่ง มันจะทำให้เลือดแข็งตัว หยุดยั้งการระเบิดเส้นเลือดตัวเองได้ ฉะนั้นเมื่อครู่เขาจึงกล้าเข้าประชิดตัว
ดาบเล่มนี้เดิมทีเผ่าภูผาดำเตรียมไว้ให้จ้าวหมานเขาทมิฬ ทว่ากลับเกิดเหตุไม่คาดคิด จึงได้ใช้กับหนานซง
จ้าวเผ่าภูผาดำพ่นโลหิต เขาตามล่ามาตลอดทาง ยามนี้บาดแผลภายในไม่อาจระงับได้อีก ขณะกระอักเลือด กลิ่นอายพลังอ่อนลง กระเด็นถอยไปหลายสิบจั้ง สีหน้าดูตื่นตกใจ
ในช่วงที่เงาดำระเบิดตัวเอง หนานซงซึ่งกำลังยืนอยู่ดวงตาพลันเปล่งแสงสว่าง บาดแผลทั้งหมดราวกับหายเป็นปกติ เขาก้าวเดินไปเบื้องหน้า ตรงเข้าประชิดตัวชายเสื้อคลุมดำขณะล้มลงบาดเจ็บสาหัส ปล่อยหนึ่งหมัดเข้าใส่หน้าอกโดยที่อีกฝ่ายไม่อาจหลีกได้
เสียงโครมดังขึ้น ชายฉกรรจ์เสื้อคลุมดำตัวสั่นสะท้าน ตรงหน้าอกเป็นแผลฉกรรจ์ ดวงตามืดสลัว แล้วจึงสิ้นใจทันที
ทว่าหนานซงไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาพลันมองไปทางจ้าวเผ่าภูผาดำไม่ไกลนัก สีหน้าเรียบเฉย ก่อนขยับร่างเข้าประชิด สีหน้าจ้าวเผ่าภูผาดำตื่นกลัว ร้องเสียงหลงล่าถอยอย่างฉับไว เมื่อเข้าใกล้นักรบภูผาดำอีกห้าคนที่เหลือแล้ว จึงจับคนหนึ่งในนั้นโยนไปทางหนานซงอย่างไม่ลังเล
นักรบภูผาดำคนนั้นร้องโหยหวน ทว่ากลับถูกเสียงระเบิดจากทั่วร่างกลบมิด กลายเป็นหมอกโลหิตแผ่กระจายเป็นวงกว้าง จ้าวเผ่าภูผาดำร้องลั่นด้วยความลนลานและตื่นกลัว
“ถอย!” ขณะกล่าว เขาพร้อมคนทั้งสี่พุ่งทะยานเข้าไปในป่าทึบโดยไม่สนสิ่งใด ภายใต้การคุ้มกันจากนักรบภูผาดำสี่คนที่เหลือ พวกเขาหวาดกลัวสุดขีด โดยเฉพาะความแข็งแกร่งของหนานซงที่ทำให้พวกเขาเหลือเชื่อ
ในความคิดของจ้าวเผ่าภูผาดำ ชีวิตของเขาล้ำค่า จะมาทิ้งตรงนี้ไม่ได้ อีกทั้งเขายังทราบว่า กำลังเสริมภูผาดำระลอกต่อไปกำลังมา ขอแค่กลับไปรวมตัวได้ ทุกอย่างก็จะปลอดภัย
“คิดหนีรึ!” หนานซงไม่มองนักรบภูผาดำที่กำลังระเบิดตัวเองอยู่เบื้องหน้าแม้แต่หางตา เขาโบกมือขวา หมอกโลหิตที่กำลังระเบิดพลันหายไป หลังเท้าเหยียบลง ก็ใช้สองมือกดลงบนพื้น ทำให้เกิดแผ่นดินไหวตรงใส่พวกจ้าวเผ่าภูผาดำ มือโคลนยักษ์พุ่งขึ้นมาทางจ้าวเผ่า ด้วยความบ้าบิ่นของเขา เขาผลักนักรบข้างกายเข้าไปแทนอีกครั้งเพื่อหลีกหนีความตาย ทว่าจิตใจของเขาสิ้นหวังไปหมดแล้ว จึงวิ่งทะยานเข้าไปในป่าทึบพร้อมกับคนทั้งสามโดยไม่หันกลับไปมอง
“เผ่าภูผาดำที่เสียเกียรติ ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า!” หนานซงไม่ได้ไล่ตาม เพียงแต่ยืนนิ่ง แผดเสียงก้องไปทางป่าทึบ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ลมหายใจ ยามนี้ซูหมิงตรงเข้ามามองหนานซง หลังจากเผ่าภูผาดำหนีไปแล้ว ร่างกายของเขาดูอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
“ชนเผ่าน่าจะปลอดภัยแล้ว….เผ่าภูผาดำระลอกต่อไปไม่น่าจะมาถึงเร็วๆ นี้ พวกมันตายไปจำนวนมาก น่าจะคิดถอยกันบ้างแล้ว” หนานซงยืนนิ่ง รอยแยกตรงกลางระหว่างคิ้วเขาเปล่งแสงสีเทา
“ข้าทำตามสัญญาของปู่เจ้าแล้ว…ทดแทนบุญคุณชีวิตในตอนนั้น…”
หนานซงมองซูหมิง ใบหน้าเผยรอยยิ้ม
“ปู่หนานซง……” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา
“ตามจริงแล้ว ต่อให้ซานเหินไม่ทำร้ายข้า ข้าก็ยืนหยัดได้อีกไม่นาน ตอนแรกก่อนตายคิดว่าจะใช้เคล็ดวิชาเชือกดำของข้ารักษาบาดแผลให้กับพวกเจ้า ทั้งยังคืนอายุขัยส่วนหนึ่งที่ข้าสูบมาจากเหลยเฉินด้วย ทว่าตอนนี้ข้าทำไม่ได้แล้ว” หนานซงถอนหายใจเบา แหงนหน้ามองท้องฟ้า บนนภาห่างไกลยังอบอวลไปด้วยหมอกแดง มีเสียงระเบิดดังมาไกลๆ เขาทราบดีว่าโม่ซังกำลังยืนหยัดอยู่
“หากเจ้าเจอซานเหิน…ฝากเจ้าถามเขาทีว่าเพราะเหตุใด!” หนานซงเอามือไพล่หลัง หลับตายืนนิ่ง ร่างกายของเขาราวกับหยั่งรากลงดิน เบื้องหน้าเป็นป่าทึบ ด้านหลังเป็นรอยเท้าขบวนอพยพเผ่าเขาทมิฬ
ภายใต้ค่ำคืนแสงจันทร์ เงาแผ่นหลังของเขายืดยาว ยาวยิ่งนัก….ความเศร้าสลดอบอวลไปทั้งตัวซูหมิง เขามองหนานซงที่ไร้ซึ่งวิญญาณ ไม่ได้เข้าไปสัมผัสตัว เพียงแต่ถอยหลังคุกเข่า แล้วโขกศีรษะไปทางหนานซงสามครั้ง
“ซูหมิง…” เหลยเฉินพยามยืนขึ้น มาอยู่ข้างซูหมิง คุกเข่าลงด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจเช่นเดียวกัน เขาในยามนี้ไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไป แต่ดูสูงวัยอายุราวสี่สิบกว่าปี ผ่านไปพักใหญ่ มีลมแผ่วเบาพัดเข้ามา ผ่านหิมะบนพื้น ผ่านเส้นผมของหนานซงที่แม้สิ้นใจก็ยังสูงตระหง่าน และพัดผ่านหัวใจของเหลยเฉินกับซูหมิง
“ชนเผ่าน่าจะปลอดภัยแล้ว…เหลยเฉิน เจ้ากลับไปเถอะ” ซูหมิงยืนขึ้นอย่างเงียบๆ แววตาเย็นชา มองป่าทึบเบื้องหน้า
เหลยเฉินคลำตาขวาของตน ตาซ้ายมืดบอดไปแล้ว เขาเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนส่ายศีรษะ
“ข้าไม่กลับไปแล้ว”
“ข้าจะออกตามหาพลังที่ทำให้ข้าแข็งแกร่ง…มีเพียงแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นถึงจะไม่ถูกใครรังแก ถึงจะปกป้องชาวเผ่าและครอบครัวที่ข้าอยากปกป้องได้
ได้ยินว่าอีกด้านหนึ่งของที่ราบ ผ่านเขายักษ์ไปอีกหน่อยยังมีอีกชนเผ่าหนึ่ง มันอยู่ไกลมาก ทว่ากลับแข็งแกร่งกว่าเผ่าร่องลม…ข้าจะไปที่นั่น ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม ข้าจะต้องแข็งแกร่งให้ได้! แม้ว่าต้องเป็นหมานชั่วร้าย ข้าก็ยอม!”
เหลยเฉินมีสีหน้าเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ทั้งยังมีความบ้าบิ่น เพียงแต่ความบ้าอยู่ในส่วนลึกของแววตา ไม่เผยให้เห็นทางสีหน้า
“ซูหมิง เจ้าไม่เหมือนกับข้า หลังจากเจ้ากลับเผ่าร่องลมแล้วจะได้รับสิ่งที่ดีกว่า แต่พวกเราเป็นพี่น้องกัน…พี่น้องกันชั่วชีวิต…จงรอข้า สักวันหนึ่งหลังจากข้าแข็งแกร่งแล้วจะกลับมา!” เหลยเฉินหลับตากล่าวพึมพำ ตรงเข้ามากอดซูหมิงเอาไว้ ทั้งสองคนกอดกันอย่างเงียบๆ จนผ่านไปพักหนึ่ง เหลยเฉินถึงหัวเราะเสียงดัง ก่อนหมุนตัวพาแผ่นหลังสูงวัยเดินไกลห่างไปทางสถานที่ที่เป็นความเชื่อมั่นและความฝันของเขา ค่อยๆ เดินห่างไปทีละก้าว กระทั่งหายลับไปจากสายตาของซูหมิง
ซูหมิงมองเหลยเฉิน เขาไม่ได้ปรามอีกฝ่าย เพียงแค่มองตามหลังไปเท่านั้น เขาไม่ทราบว่าจะได้เจอเหลยเฉินอีกหรือไม่ ซูหมิงไม่รู้อนาคตแน่นอน
ผ่านไปนาน เขาจึงสะบัดเส้นผม ภายใต้จันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า ความสับสนของเขามีจิตสังหารเย็นเยือกเข้ามาแทนที่ เขามองไปในป่าทึบที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด สูดลมหายใจเข้าลึก
“ตอนนี้ ถึงเวลาที่ข้าต้องล่าพวกเจ้าแล้ว!”
“ยังมีซานเหิน…” ซูหมิงหันกลับไปมองทางเผ่าร่องลม ตรงนั้นมีชาวเผ่าของเขาอยู่ บางทีตอนนี้ไป๋หลิงอาจจะยังอยู่ในเผ่าร่องลม
“สัญญา…” ซูหมิงขมขื่น หลับตาลง ในช่วงที่เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภายในเงียบสงบจนน่ากลัว เขาพลันก้าวเดินไปเบื้องหน้า แสงจันทร์โอบล้อมทั้งตัว ภายใต้ดวงจันทร์เต็มดวง เขาเหมือนกับเงามืดแห่งความตาย หายไปในป่าทึบ ห้อเหยียดล่าสังหาร
ไม่มีนักรบไล่ตาม ชาวเผ่าจะต้องถึงเมืองหินโคลนร่องลมได้อย่างปลอดภัยแน่นอน ตรงจุดนี้ซูหมิงมั่นใจได้ อีกทั้งเขายังทราบว่า การอพยพครั้งนี้หมดหน้าที่ของเขาแล้ว ได้ทำหมดทุกอย่างในสิ่งที่เขาทำได้ ทว่าเขาในยามนี้ ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่า เขาจำได้แม่นว่า ช่วงที่จ้าวหมานภูผาดำปรากฏตัว เขาเกิดความรู้สึกคุ้นเคย มีความคิดเลือนรางผุดขึ้นในหัว
ความคิดนี้เกิดขึ้นช่วงที่เขาเห็นท่านปู่กำลังถูกค้างคาวจันทรายักษ์จู่โจม ตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนกับตัวเองลอยขึ้น และกลายเป็นค้างคาวจันทราตรงเข้าใส่จ้าวหมานภูผาดำ ความคิดเลือนรางในหัวพลันชัดเจนขึ้น
“เคล็ดวิชาหมานเพลิง…ข้าฝึกฝนหมานเพลิง อีกทั้งค้างคาวจันทรายังแปลงกายมาจากชาวเผ่าหมานเพลิง ฉะนั้นข้าจึงยับยั้งมันได้! นอกจากนี้ ด้วยเพลิงโลหิตแผดเผาสามครั้ง จึงทำให้โลหิตของข้าเหมือนกับมีเปลวเพลิง ดังนั้น…ข้าน่าจะช่วยท่านปู่ได้!” ภายในแววตาเงียบสงบ มีเงาจันทร์โลหิตสีแดงฉานขยับวูบวาบ ดูน่าสะพรึงท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด
ร่างกายของเขาประดุจเส้นควันห้อเหยียดอยู่ในป่าทึบ
“ก่อนอื่น ข้าจะทำให้เผ่าภูผาดำเจ็บปวด! ให้พวกมันได้รู้สึกถึงความเสียใจของชาวเผ่าที่ตายไป…..ตอนนี้จ้าวเผ่าภูผาดำบาดเจ็บสาหัส อีกสามคนก็ไม่มีค่าพอให้กังวล…แล้วยังมีซานเหิน!” ซูหมิงกำหมัดแน่น ก้มหน้าลง จากนั้นหายวับไปในป่าทึบ
จากถูกล่าสังหารกลายมาเป็นล่าสังหาร จากเหยื่อกลายมาเป็นผู้ล่า ซูหมิงเปลี่ยนไปมากโดยที่เขาไม่รู้ตัว