ตอนที่ 96 ที่ราบร่องลม
ซูหมิงถือหอกยาว เดินนำหน้าสุดของขบวน ด้านหลังของเขาเป็นชาวเผ่าไร้แสงเทวรูปหมานคุ้มกัน ด้านใน….ไม่มีผู้อาวุโส
เส้นทางเบื้องหน้ายังเหลืออีกครึ่งกว่าๆ ทว่าฝีเท้าของซูหมิงกลับมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ในป่าทึบ ฝากโลหิตเผ่าเขาทมิฬไว้จำนวนมาก ทั้งยังทิ้งวิญญาณความตายนับไม่ถ้วน
ยามนี้ นักรบหมานที่สู้ต่อไปได้ นอกจากซูหมิงกับเหลยเฉินแล้ว ยังมีซานเหิน ส่วนจ้าวเผ่ากับหนานซงมีชาวเผ่ามาประคอง เดินไปพลางรักษาไปพลาง ในใจของพวกเขาร้อนรน อยากจะรีบหายให้เร็วที่สุด
ทว่าเป่ยหลิงเสียคุณสมบัติในการต่อสู้ไปโดยสิ้นเชิง เขาเสียแขนหนึ่งข้าง โลหิตไหลจำนวนมาก หากไม่ใช่เพราะเฉินซิน เขาคงล้มไปนานแล้ว
ซานเหินในยามนี้โลหิตอาบชโลมไปทั้งตัว เดินอยู่ท้ายขบวนอย่างเงียบขรึม สีหน้าลังเลบ้างเป็นบางครั้ง ภายในมีความซับซ้อน และยังมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทุกครั้งที่เกิดความรู้สึกนี้ เขาจะกดหน้าอกตัวเองเอาไว้แน่น เหมือนกับว่าตรงนั้นมีพลังที่ค้ำยันให้เขาเดินต่อไป
บนท้องฟ้า การต่อสู้ระหว่างท่านปู่กับปี้ถูทำให้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ผ่านไปนานก็ยังไม่เลือนหาย จนกระทั่งกลางดึกผ่านไป ท้องฟ้าส่องสว่าง การต่อสู้ก็ยังคงดำเนินต่อไป ราวกับว่าหากไม่มีใครตายก็ไม่ยอมเลิก
รอยแยกบนผืนดิน ลำแสงเปล่งประกายจำนวนมาก รวมถึงเคล็ดวิชาหมานสังเวยชีวิตของหนานซง ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เพื่อถ่วงเวลาให้ชนเผ่าอพยพ ในช่วงที่ฟ้าสาง ชาวเผ่าเขาทมิฬล้วนเหนื่อยล้า พวกเขาเดินทางมาสองคืนติดแล้ว ท่ามกลางความหนาวเหน็บ พวกเขายืนหยัดได้ไม่นาน ทว่าก็ยังคงกัดฟันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วที่สุด
ท้องฟ้าสว่าง แสงตะวันสาดส่องบนผืนดิน กระทบบนตัวชาวเผ่าในป่าทึบ ทำให้มีความอบอุ่นเล็กน้อย ทว่าหิมะบนพื้นกลับหนาวทิ่มแทงกระดูก
“ด้วยความเร็วของพวกเรา พรุ่งนี้ยามรุ่งสางน่าจะถึงเผ่าร่องลม!” เหลยเฉินข้างหายซูหมิงกล่าวเสียงเบา
“ยังเหลือวันสุดท้าย!” เหลยเฉินกำหมัดแน่น
“ไม่ใช่หนึ่งวัน แต่เป็นครึ่งวัน!” ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่ ขณะเดินพลันกล่าวเสียงแหบพร่า
เห็นซูหมิงไม่เงียบขรึมอีก เหลยเฉินจึงแอบถอนหายใจโล่งอก เขาเป็นห่วงสภาพจิตใจของซูหมิงมาก
“เย็นวันนี้น่าจะถึงเขตปกครองเผ่าร่องลม หลังจากผ่านป่าทึบนี้ไปแล้วจะปลอดภัยขึ้นมาก” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
“หวังว่าวันนี้จะปลอดภัย…” เหลยเฉินหันกลับไปมองชาวเผ่าทุกคน เห็นท่าทางอ่อนล้าของพวกเขา ก็แอบถอนหายใจเบา ก่อนหันกลับมามองซูหมิงเบื้องหน้า แผ่นหลังผอมบางของซูหมิง ยามนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับเห็นสันภูผา
เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า หนึ่งชั่วยามให้หลัง มีเสียงอ่อนแรงดังมาจากกลุ่มคน เสียงสั่นไหวตามแรงลมทว่าเด็ดเดี่ยว
“ซูหมิง ทิ้งข้าไว้เถอะ” คนที่กลาวเป็น หลิ่วตี๋ผู้บรรเลงบทเพลงสวิน เดิมทีเขาบาดเจ็บสาหัส มีชาวเผ่าประคองเขามา ทว่าตอนนี้เขาไปต่อไม่ได้แล้ว ไม่อยากถ่วงขาชาวเผ่าคนอื่นๆ เขาพยามยืนขึ้น มองซูหมิงทีกำลังชะงักฝีเท้าหันกลับมามองเขา ใบหน้าเผยรอยยิ้ม ก่อนเดินไปนั่งลงข้างต้นไม้ใหญ่ ทำให้บาดแผลฉีก โลหิตหลั่งไหลอีกครั้ง
“พวกเจ้า…ไปเถอะ….” หลิ่วตี๋หยิบสวินกระดูกขึ้นมา ทาบริมฝีปากราวกับอยากบรรเลงบทเพลง ทว่ากลับไม่มีแรง เขานั่งมองท้องฟ้าอยู่ตรงนั้น รอความตายมาเยือน
ซูหมิงเงียบขรึม หลับตาลงก่อนลืมตาอย่างรวดเร็ว เขาไม่กล่าวสิ่งใด เพียงแต่มองหลิ่วตี๋อย่างลึกซึ้ง ก่อนหมุนตัวพาชาวเผ่าเดินหน้าต่อไป ระหว่างทางเริ่มมีชาวเผ่าทยอยขอให้ทิ้งพวกเขา เพราะไม่อยากถ่วงขบวนอพยพ
เป่ยหลิงก็คิดเช่นนั้น ทว่าเฉินซินร้องไห้พร้อมกับพยามแบกเขาขึ้นหลัง จึงไม่อาจกล่าวได้
ผู้นำกองรักษาการณ์ได้สติระหว่างทาง แม้เขาจะเสียขาทั้งสองข้าง ทว่าก็ยังมีแรงฝืนต่อสู้ได้ เขาอยู่บนแผ่นหลังของชาวเผ่าคนหนึ่ง ทว่าก็ไม่ได้ขอหยุด แต่เตรียมระเบิดเส้นเลือดของลำดับแปดขั้นรวมโลหิต เผื่อศัตรูที่ตามมาด้านหลังตลอดเวลา
ซูหมิงเงียบขรึมตลอด ทุกครั้งที่มีชาวเผ่าขอหยุด เขาจะไม่ห้าม ทว่ามือของเขากำแน่นขึ้นเรื่อยๆ เขาทราบดีว่า ท่านปู่มอบเผ่าเขาทมิฬให้กับเขา ก็เพื่อพาชาวเผ่าไปยังที่ปลอดภัย เขาจะต้องทำให้สำเร็จ
ในช่วงที่สีของท้องฟ้าเข้าสู่ยามโพล้เพล้ ความตื่นตัวของซูหมิงจึงผ่อนคลายลง พวกเขาเดินผ่านป่าทึบอ้างว้างมาได้ และเข้าสู่ที่ราบกว้างใหญ่ในเขตปกครองเผ่าร่องลม ตรงนี้นับว่าปลอดภัยกว่าในป่าทึบมาก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเขตเผ่าร่องลม หากนักรบเผ่าภูผาดำบุกเข้ามาโดยไม่ได้รับบัตรเชิญ เผ่าร่องลมจะต้องไม่ยินยอมแน่
เมื่อขาวเผ่าเขาทมิฬทุกคนเข้าสู่ที่ราบ จ้าวเผ่าและหนานซงฟื้นฟูพลังกลับมาเล็กน้อย ราวกับว่าจะต้องผ่านภัยพิบัติทุกสิ่งไปให้ได้ ทว่าทันใดนั้น แผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง ศูนย์กลางของมันน่าจะมาจากที่ห่างไกล แต่กลับส่งผลมาถึงตรงนี้ ทำให้สัมผัสได้อย่างชัดเจน
“ผนึกของจ้าวหมาน พังแล้ว…” หนานซงหลับตา ผ่านไปชั่วครู่จึงลืมตาขึ้นก่อนกล่าวเรียบๆ ได้ยินดังนั้น ชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคนล้วนตึงเครียดอีกครั้ง
“ด้วยความเร็วของเผ่าภูผาดำ จำต้องใช้เวลาสักระยะถึงจะตามทัน…..ทว่าก็มาถึงก่อนที่พวกเราถึงเผ่าร่องลมแน่ แต่หากพวกเราเดิมพันว่าเผ่าภูผาดำจะไม่กล้าเหยียบที่ราบร่องลม เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปสนใจ…” หนานซงกล่าวสบายๆ
“พวกเราจะเดิมพันไม่ได้” ซูหมิงชะงักฝีเท้า มองไปทางป่าทึบด้านหลัง ก่อนหันไปมองจ้าวเผ่าที่อาการดีขึ้นเล็กน้อย มองร่างซูบผอมของเขา มองใบหน้าที่ราวกับเสียเลือดเนื้อไปจำนวนมาก
“จ้าวเผ่า ตลอดทางนี้ข้าไม่เคยห้ามพวกชาวเผ่าที่ขอให้ทิ้งพวกเขา เพราะนั่นเป็นการตัดสินใจของพวกเขา…แต่ตอนนี้ ถึงเวลาของข้าแล้ว” ซูหมิงกล่าวพลางเดินไปหลังขบวน
จ้าวเผ่าเขาทมิฬ ชายฉกรรจ์วัยสี่สิบกว่าปีมองซูหมิง ลาซูที่เขาไม่เคยสนใจมาก่อนคนนี้กลับสร้างความตื่นตะลึงให้กับเขา เขาถอนหายใจเบาแล้วพยักหน้า
“ข้าก็จะอยู่เหมือนกัน” เหลยเฉินเดินออกมาอย่างไม่ลังเล ยืนอยู่ข้างซูหมิง
ซูหมิงมองเขา เขาก็มองซูหมิงเช่นเดียวกัน ทั้งยังแสยะปากยิ้มซื่อๆ
“เจ้าเคยบอกว่าข้าจะตายก่อนไม่ได้ หากตาย พวกเราสหายก็ต้องตายพร้อมกัน”
“ข้าก็จะอยู่” หนานซงสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าแก่ชรายามนี้มีรอยย่นมากขึ้น ทั้งยังมัวหมอง แฝงไว้ด้วยเลือดฝาดผิดปกติ
“ข้าด้วย!” ผู้นำกองรักษาการณ์ผู้เสียขาทั้งสองข้าง ยามนี้กล่าวขึ้นหนักแน่น
“ข้าก็จะอยู่เหมือนกัน!” เป่ยหลิงเบือนหน้าหนี ไม่มองน้ำตาของเฉินซิน เขามองซูหมิงพลางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
“ผู้นำกองรักษาการณ์ เจ้าจะอยู่ไม่ได้ เจ้าจะต้องช่วยจ้าวเผ่าปกป้องชาวเผ่า….อีกอย่าง เมื่อเจ้าไปถึงเผ่าร่องลมแล้ว ยังต้องไปสอนพวกลาซูยิงธนูด้วย……” คนที่กล่าวคือซานเหิน
ชายฉกรรจ์ผู้เงียบงันตลอดเวลาเดินออกมาจากกลุ่มคน ปกติเขาเป็นคนเงียบๆ ทว่ายามนี้พอกล่าวขึ้น กลับเด็ดขาดจนน่าเหลือเชื่อ
“ส่วนเจ้าเป่ยหลิง…..” ซานเหินเดินมาอยู่หน้าเป่ยหลิง สีหน้ากลับมาเป็นปกติ
“ลุงซานเหิน ข้า…..” เป่ยหลิงกำลังจะกล่าว ทันใดนั้น กลับเห็นซานเหินชูมือขึ้น แล้วสับตรงคอของเป่ยหลิง ทำให้คำพูดของเขาหยุดชะงัก ทิ้งตัวลงหมดสติ
“เจ้าเป็นความหวังในอนาคตของชนเผ่า จะไปไม่ได้…ข้าจะอยู่เอง” ซานเหินกล่าวเรียบๆ เดินไปทางหนานซง มองใบหน้าของชาวเผ่าคุ้นตาทุกคนอยู่นาน ก่อนก้มหน้าลง
จ้าวเผ่าเขาทมิฬเงียบขรึม เดินไปเบื้องหน้า หยิบกระดูกสัตว์ขนาดเท่ากำปั้นเด็กมาจากอกเสื้อ มันมีสีขาวดูธรรมดายิ่งนัก ก่อนยื่นมันให้กับซูหมิง
“รับมันไว้ กระดูกนี้มีเป็นคู่ ความพิเศษของมันคือเมื่อสีของมันเปลี่ยนเป็นสีแดง นั่นหมายความว่าพวกข้าถึงเผ่าร่องลมอย่างปลอดภัยแล้ว”
ซูหมิงรับมาอย่างสุขุม แล้วเก็บรักษาในอกเสื้อ จ้าวเผ่ามองคนที่เลือกอยู่เหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง ถอนหายใจเบา ก่อนหมุนตัวพาชาวเผ่ามุ่งหน้าไปทางเผ่าร่องลมด้วยความเด็ดเดี่ยว ชาวเผ่าเขาทมิฬธรรมดาเสียไปไม่เยอะ ทว่าทุกอย่างที่พวกเขาเห็นตลอดทาง กลับทำให้ชาวเผ่าทุกคนหันกลับไปมองเงาคนทั้งสี่ น้ำตาไหลไม่หยุด
ไม่รู้ใครโบกมือเป็นคนแรก แต่ไม่นาน ชาวเผ่าทุกคนล้วนโบกมือลาพวกซูหมิงขณะน้ำตาไหลพราก พวกเขาทราบดีว่า ทั้งสี่คนนี้อาจจะไม่มีใครมีชีวิตรอดกลับมา พวกเขาทั้งสี่เหมือนผู้สละชีพเหล่านั้น ใช้ชีวิตเพื่อสร้างปราการเนื้อสุดท้ายให้กับชาวเผ่า
“พี่ซูหมิง” ขณะขบวนกำลังเคลื่อนตัว มีเสียงอ่อนเยาว์ดังขึ้น พบว่าเป็นเด็กหญิงนามถงถงวิ่งออกมา ซูหมิงเดินไปเบื้องหน้าก่อนย่อตัวลง ลูบผมแห้งเล็กน้อยของเด็กหญิง
“พี่ซูหมิง หลังจากเรื่องทุกอย่างผ่านไปแล้ว พอท่านปู่กลับมา ถึงตอนนั้นพี่ช่วยไปตามผีผีกลับมาได้หรือไม่”
ซูหมิงเผยรอยยิ้ม เขาหอมหน้าผากเด็กหญิง แล้วพยักหน้าให้ เด็กหญิงเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน มองซูหมิงพลันกระซิบข้างหูเขาเบาๆ
“พี่ซูหมิง ข้ามีความลับจะบอก แม้แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ยังไม่รู้ ผีผีก็ยังไม่รู้ ท่านจะต้องกลับมา หลังจากกลับมาแล้ว ข้าจะบอกท่าน” เด็กหญิงกล่าวพลางกัดริมฝีปาก พยามฝืนน้ำตา ก่อนหมุนตัววิ่งกลับไปทางกลุ่มคน
ซูหมิงเห็นเด็กหญิงวิ่งเข้าไปในกลุ่มชาวเผ่า โบกมือให้เขา เมื่อเหล่าคนค่อยๆ เดินห่างไปไกล รอยยิ้มบนใบหน้าจึงเลือนหายอย่างช้าๆ
โดยรอบเงียบสงัด ดวงจันทร์บนท้องฟ้าเด่นชัดขึ้น ในค่ำคืนนี้เป็นจันทร์เต็มดวง…ดวงจันทร์กลมลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า หลอมรวมกับความเงียบบนแผ่นดินแห่งนี้ แสงจันทร์สว่างจ้ากว่าครั้งก่อนยิ่งนัก สาดส่องลงบนพื้นราบ สะท้อนเงาคนทั้งสี่ ท่ามกลางความเดียวดาย กลับมีความแน่วแน่
ซูหมิงนั่งขัดสมาธิลง ข้างกายเขาเป็นเหลยเฉิน เบื้องหน้าเขาเป็นหนานซงกำลังหลับตา ส่วนซานเหินอยู่ไกล นั่งมองท้องฟ้าเพียงลำพัง ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เหลยเฉินมานั่งหลังข้า ขั้นพลังของเจ้าไม่พอ เวลาต่อสู้ไม่รวดเร็วและดุดัน ข้าจะให้เจ้ายืมโลหิต แล้วเจ้าจะได้ปลอดภัย” หนานซงกล่าวเรียบๆ
เหลยเฉินยืนขึ้น แล้วมานั่งขัดสมาธิหลังหนานซงทันที ไม่รู้ว่าหนานซงสำแดงเคล็ดวิชาอะไร พบว่ามีแสงโลหิตลอยขึ้นจากตัวพวกเขา ห่อหุ้มทั้งสองเอาไว้ด้านในจากนั้นไม่มีใครกล่าวสิ่งใดอีก พวกเขากำลังรอการมาเยือนของนักรบภูผาดำ
ซูหมิงนั่งลงอย่างเงียบๆ มือซ้ายหยิบหิมะบนพื้น จากนั้นนำมาล้างกลางฝ่ามือตรงที่ไม่เป็นบาดแผลจนสะอาด แล้วจึงหยิบขวดเล็กมาจากอกเสื้อ เทเม็ดโอสถสีโลหิตหนึ่งเม็ด กำเอาไว้ในมือ และหลับตาลง
สองชั่วยามผ่านไป ในช่วงที่ดวงจันทร์บนท้องฟ้าเด่นชัดมากที่สุด ซูหมิงที่กำลังหลับตามีความรู้สึกราวกับโลหิตในร่างกายกำลังเดือนพล่าน
“พวกมันมาแล้ว!” หนานซงกล่าว
ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น