Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1007

Svtasr

ตอนที่ 1007 วิชานี้เคลื่อนย้ายภูผา

ช่วงที่ออกจากมิตินี้ ก็เป็นอย่างที่ซูหมิงคาดการณ์ไว้ เขามาโผล่อยู่บนแท่นเหยียบวิญญาณของชายขอบชั้นสอง จากหกแท่นก่อนหน้านี้เหลืออยู่ห้าแท่นแล้ว

จากการตายของเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว แท่นเหยียบวิญญาณห้าแท่นที่ลอยอยู่กลางอากาศ ตอนนี้มีกลิ่นอายความเหี้ยมโหดกระจายออกมา

ซูหมิงควบคุมร่างสมบัติล้ำค่าเดินออกมาอย่างสงบนิ่ง แล้วนั่งขัดสมาธิลง

บนแท่นเหยียบวิญญาณห้าแท่นนี้ ยามนี้มีสามแห่งว่างอยู่ คนที่มาก่อนซูหมิงมีเพียงจูโหย่วไฉคนเดียว เขานั่งเงียบๆ หลับตาแน่นิ่งอยู่

ซูหมิงกวาดสายตามองไป ขมวดคิ้วเล็กน้อย ครั้งนี้ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองกับ จื่อหลงเจินเหรินยังไม่มา

‘จากชายขอบชั้นสองไปจะโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ เพราะจะมีมิติสมบัติล้ำค่าโผล่มา เพราะยิ่งเข้าไปลึกเท่าไรมิติก็ยิ่งน้อย ดังนั้นการที่คนไปโผล่ในมิติเดียวกันจึงกลายเป็นเรื่องปกติ

ดังนั้นแล้ว การแย่งชิงจึงดุเดือด’ ซูหมิงครุ่นคิด เป้าหมายของเขาไม่ใช่สมบัติ ล้ำค่าอะไร แต่เป็นใจกลางเตาหลอมลำดับห้า เขาอยากไปดูว่าซูเซวียนอียังอยู่หรือไม่

หากอยู่ก็จะเข้าใจทุกอย่าง หากไม่อยู่….ซูหมิงอยากรู้ว่าอีกการคาดเดาของตนจริงหรือไม่ กระทั่งตอนที่นึกถึงตรงนี้ ในใจเขายังเกิดความเจ็บปวด

เพราะการคาดเดาที่สองของเขาคือใจกลางเตาหลอมลำดับห้ามีศพร่างหนึ่ง เป็นสตรีที่ก่อนตายยังคงกอดบุตรของนางเอาไว้ ถึงตายก็จะปกป้องลูกน้อยของตน

นางคือมารดาผู้หนึ่ง เป็นมารดาที่ทั้งแปลกตาและก็คุ้นเคยคนเดียวในชีวิตซูหมิง

ความจริงแล้วความทรงจำเกี่ยวกับมารดาตรงส่วนลึกในใจเขามากเกินกว่าบิดาไปไกล ถึงอย่างไรในภาพความทรงจำมายาที่แดนประหลาดวงแหวนบูรพา ภาพนั้นที่เห็นก็สั่นสะเทือนวิญญาณเขา ทำให้เขาลืมไม่ลงแม้เพียงนิด

ระหว่างเงียบงันนี้ ซูหมิงรอชายร่างกำยำคิ้วเหลืองกับจื่อหลงเจินเหรินมาอย่างเงียบๆ

เวลาค่อยๆ ผ่านไป หลังผ่านไปราวสองวัน ทันใดนั้นแท่นเหยียบวิญญาณสามแท่นที่เหลือก็มีสองแท่นเปล่งแสงสว่างพร้อมกัน จึงดึงดูดให้ซูหมิงเพ่งมองไป

เขาเห็นว่าบนแท่นเหยียบวิญญาณสองแท่นปรากฏร่างคนแทบจะพร้อมกัน ร่างสองร่างสมจริงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายลมหายใจต่อมาแสงก็หายไป เมื่อเผยร่างออกมาอย่างสมบูรณ์แล้ว นั่นคือหวงเหมยกับจื่อหลง

ตอนที่ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองปรากฏตัว เขากระอักเลือดมาครั้งหนึ่ง ร่างโซเซถอยไปหลายก้าว เกือบจะก้าวออกจากแท่นเหยียบวิญญาณ

ส่วนจื่อหลงหน้าซีดขาว ทว่าจิตสังหารในแววตากลับเข้มข้นอย่างยิ่ง หลังปรากฏตัวแล้วก็ถอยหลังไปหลายก้าว ตอนที่ฝืนหยุดนิ่ง เขาพลันเงยหน้าขึ้นจ้องชายร่างกำยำคิ้วเหลืองตาเขม็ง

ภาพนี้อยู่ในสายตาซูหมิง เขาเข้าใจในทันที เห็นได้ชัดว่าสองคนไปอยู่ในมิติเดียวกัน และเกิดการแย่งชิงเพราะสมบัติล้ำค่าบางอย่าง ไม่รู้ว่า…ใครได้สมบัติล้ำค่านั้นไป

แต่ดูจากท่าทางจื่อหลงเจินเหริน ในใจซูหมิงมีคำตอบแล้ว

“เลวทราม!” จื่อหลงกล่าวเนิบๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหนาวเยือก

“เลวทรามแล้วอย่างไร” ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากแล้วหัวเราะ เสียงหัวเราะดูสุขสบายนัก มีท่าทีเหมือนตามเหตุผลควรจะเป็นแบบนั้น อยู่แล้ว

“ขอเพียงมีสมบัติชิ้นนี้อยู่ในมือ ถึงบาดเจ็บจากเจ้าก็ไม่เป็นไร!” ชายร่างกำยำ คิ้วเหลืองกล่าวพลางยกมือขวาขึ้น ในฝ่ามือปรากฏกำไลหยกอันหนึ่ง

กำไลเป็นหยกสีเขียวมรกต ด้านบนมีอักขระนับไม่ถ้วนเว้นนูน กำลังวนเวียนรอบกำไลหยก ยังผลให้กำไลหยกเปล่งแสงสว่างพร่างพราว ทั้งยังมีแรงกดดันรุนแรงแผ่มาจากกำไล เมื่อคนเห็นแล้วจะอดหรี่ตาลงมิได้

พอเห็นกำไลหยก จื่อหลงมีสีหน้ามืดทะมึนกว่าเดิม เขามองชายร่างกำยำคิ้วเหลืองอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้พูดออกไปอีก เพียงนั่งขัดสมาธิลงกำหนดลมหายใจ

ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองหัวเราะพลางเก็บกำไลหยก สายตากวาดมองรอบๆ มองข้าม จูโหย่วไฉไป ตอนที่มองซูหมิงก่อนเป็นคนแรก เขามีสีหน้าเป็นมิตร ยิ้มพร้อมพยักหน้า

ไม่อยากเชื่อว่าจะไม่ถามถึงเรื่องเกี่ยวกับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงแม้แต่น้อย!

‘เขากำลังหาพันธมิตร’ ในใจซูหมิงรู้อยู่แล้ว หากชายร่างกำยำคิ้วเหลืองไม่บาดเจ็บ เขาจะต้องไม่ปล่อยเรื่องที่บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงไม่อยู่ข้างกายซูหมิงไปง่ายๆ แน่ แต่ตอนนี้เขาบาดเจ็บจึงเลี่ยงเรื่องนี้ไป แต่แสดงเจตนาดีต่อซูหมิง หมายจะร่วมมือด้วย

ส่วนจูโหย่วไฉ ขณะเดียวกับที่ถูกชายร่างกำยำคิ้วเหลืองมองข้ามไป เขาดูไม่สนใจอย่างชัดเจน ซูหมิงกวาดสายตามองจูโหย่วไฉแวบหนึ่ง พบว่าอีกฝ่ายลืมตาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ กำลังเหม่อมองความว่างเปล่า

ท่าทางนี้ของเขาประกอบกับพลังที่แผ่ออกมา ก็ไม่แปลกที่จะไม่มีใครสนใจ แต่ ซูหมิงที่เห็นภาพนั้นกับตาในมิติก่อนกลับไม่ดูถูกจูโหย่วไฉอย่างเด็ดขาด

‘หากการคาดเดาของข้าเป็นจริง เช่นนั้นในคนเหล่านี้ คนที่น่ากลัวที่สุด…ไม่ใช่หวงเหมยกับจื่อหลง แต่เป็น…จูโหย่วไฉคนนี้!’ ซูหมิงพูดในใจ

ความจริงแล้วในสามคนนี้ จูโหย่วไฉมีความคิดคลุมเครือ ซูหมิงมั่นใจแปดส่วนว่าการคาดเดาของเขาเป็นจริง คนคนนี้จะต้องมีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับฉางเหอเจ้าของทวนสิ้นสูญอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าความใกล้ชิดของความสัมพันธ์ถึงระดับใด

ส่วนจื่อหลงกับหวงเหมย ซูหมิงเอียงไปทางจื่อหลงมากกว่า ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองดูเหมือนเบิกบานก็จริง ทว่าซูหมิงมักจะรู้สึกถึงความโหดเหี้ยบผุบๆ โผล่ๆ จากตัวเขา

ขณะซูหมิงกำลังขบคิด จื่อหลงเจินเหรินพลันลืมตาขึ้น เมื่อยืนขึ้นและกวาดสายตามองไปโดยรอบแล้ว เขาจึงยกเท้าขวาขึ้นเหยียบบนแท่นเหยียบวิญญาณหนึ่งก้าว

เสียงโครมดังขึ้น เสียงนี้ดังกังวานไปรอบๆ จากนั้นชายร่างกำยำคิ้วเหลืองหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน

“คนมาครบแล้ว เหตุใดต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่ พวกเราไปมิติระหว่างชายขอบ ชั้นสองกับชั้นหนึ่งกันต่อเถอะ” จื่อหลงกล่าวเรียบๆ ตอนนี้เองมวลอากาศตรงหน้าเขาบิดเบี้ยว น้ำวนยักษ์โผล่ขึ้นมา

น้ำวนนี้ก็คือทางมุ่งหน้าไปสู่มิติระหว่างชั้นสองกับชั้นหนึ่ง

แทบเป็นขณะเดียวกับที่แท่นเหยียบวิญญาณของจื่อหลงเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง ก็มีเสียงคำรามของวิญญาณเพลิงแต่ละตัวดังมาจากอากาศรอบๆ เสียงดังแว่วมาไกลๆ เห็นได้ชัดว่าเสียงดังจากที่นี่ดึงดูดความสนใจของพวกมัน พวกมันกำลังตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

เสียงคำรามนั้นลอยล่องไม่มั่นคง การเกิดเสียงแบบนี้ในอากาศกว้างโล่งมีคำอธิบายเพียงสองอย่าง หนึ่งคือจำนวนวิญญาณเพลิงที่มาน้อยยิ่ง ส่วนอีกอย่างอาจจะมีจำนวนมาก จึงทำให้เสียงพวกมันก้องกังวาน จึงเกิดเป็นเสียงแบบนี้

“เมื่อครู่ยังว่าแซ่หวงเลวทราม ตอนนี้การกระทำของสหายจื่อหลงเท่ากับลดเวลาการพักของเราทุกคน หากจะเล่นงานแซ่หวง เจ้าแค่พูดก็พอ เหตุใดต้องทำให้สหายท่านนี้กับสหายจูลำบากด้วย ก็รู้อยู่ว่าระหว่างชั้นสองกับชั้นหนึ่งอันตรายอย่างยิ่ง ทุกลมหายใจล้ำค่ายิ่งนัก” ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองแค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยความมืดทึมน่ากลัว

จื่อหลงมองไปอย่างเย็นชา

“พูดมากเช่นนี้ หากเจ้าอยากอยู่ก็อยู่ไป คนที่ไม่มีเวลาพักไม่ใช่สหายสองท่านนี้ แต่เป็นเจ้าต่างหาก” นัยน์ตาจื่อหลงเจินเหรินขยับประกายคมกริบ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในน้ำวนที่ปรากฏข้างแท่นเหยียบวิญญาณ

นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายเบาบางจนไม่อาจตรวจจับ เขาไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับการกระทำของจื่อหลง หากเขาอยู่ในมุมมองของอีกฝ่ายก็ต้องทำแบบเดียวกัน

ระหว่างจื่อหลงกับหวงเหมย อาการบาดเจ็บของจื่อหลงดูจะเบากว่าเล็กน้อย ดังนั้นพักสักเล็กน้อยก็ฟื้นฟูกลับมามากกว่าครึ่งแล้ว แต่ทางหวงเหมย ตอนนี้สิ่งล้ำค่าที่สุดสำหรับเขาคือเวลา เขาต้องการเวลามากพอในการฟื้นฟู

การกระทำของจื่อหลงคือเหยียบบนแท่นเหยียบวิญญาณก่อนเวลา เสียงดังสนั่นที่เกิดขึ้นทำให้เวลาที่ชายร่างกำยำหวงเหมยต้องการลดน้อยลง ซึ่งแผนการนี้ก็ทำอย่างเปิดเผยและสง่าเช่นกัน

คล้อยหลังจื่อหลง ฟากจูโหย่วไฉยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า หนึ่งก้าวเดินไป แท่นเหยียบวิญญาณของเขาพลันเกิดเสียงครึกโครม เมื่อปรากฏน้ำวนขึ้นข้างๆ แล้ว เขาก็เดินหายเข้าไปในน้ำวนโดยไม่มองหวงเหมยแม้แต่หางตา

เสียงคำรามของวิญญาณเพลิงรอบๆ ดังเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ และเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ว่ามวลอากาศรอบๆ กำลังหมุนตลบอย่างว่องไว แฝงไว้ด้วยพลังที่หมายจะกลืนกินฟ้าดิน

ซูหมิงมองชายร่างกำยำคิ้วเหลืองที่มีสีหน้าทะมึนทึบด้วยสีหน้ารู้สึกผิดและเสียใจ เขาประสานมือคารวะหวงเหมย อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเสียงถอนหายใจ

หวงเหมยขมวดคิ้ว แต่ก็ยังพยักหน้าให้ซูหมิง รู้กันดีว่าตอนนี้ในสี่คนเขาล่วงเกิน จื่อหลงไปแล้ว ส่วนจูโหย่วไฉถูกเขามองข้ามไปอย่างสมบูรณ์ หากซูหมิงไม่แสดงเจตนาดีก็ช่าง เขาจะคิดเองว่าสังหารซูหมิงอย่างไรดี เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายร่วมมือกับจื่อหลง

แต่ตอนนี้ดูจากสีหน้าซูหมิง เขาก็กดความคิดอื่นลงไป ความคิดที่จะดึงซูหมิงมาเป็นพวกยึดครองพื้นที่ส่วนมากแล้ว

หลังจากคารวะหวงเหมย ซูหมิงยกเท้าเดินบนแท่นราบ ทันทีที่เกิดเสียงดังโครม ข้างแท่นเหยียบวิญญาณของเขาก็ปรากฏน้ำวนขึ้น ซูหมิงมองชายร่างกำยำหวงเหมยด้วยความรู้สึกผิดอีกครั้ง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในน้ำวน

เขาที่เข้ามาในน้ำวนแล้ว ความรู้สึกผิดในสีหน้าหายวับไป และถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา

ในเมื่อทุกคนกำลังใช้แผนการ เช่นนั้นซูหมิงก็ย่อมไม่เข้าปะทะตรงๆ การแสดงความเสียใจเมื่อครู่เป็นเรื่องลวงหลอกทั้งหมด เป้าหมายคือให้ชายร่างกำยำหวงเหมยดึงตนมาเป็นพวก เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว การคงอยู่ของเขาจะสำคัญมากไม่ว่ากับ จื่อหลงหรือหวงเหมยก็ตาม

บวกกับซูหมิงรู้เบื้องลึกของจูโหย่วไฉ และยังเห็นภาพในมิติก่อนหน้าอีก อย่างน้อยสุดก็มากกว่าหวงเหมยกับจื่อหลงมาก

หากกล่าวเช่นนี้ เขาซูหมิงอยู่ในจุดที่ไม่มีพ่ายแพ้แล้ว

จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดในกลุ่มผู้แข็งแกร่งเหล่านี้อย่างไร จุดนี้ด้วยปัญญาของซูหมิงจึงพอฟัดพอเหวี่ยงกับคนเจ้าแผนการเหล่านี้

‘ใกล้กับใจกลางเตาหลอมลำดับห้ามากแล้ว…’ ซูหมิงอยู่กลางน้ำวนพลางสัมผัสถึงการหลั่งไหลออกของพลังชีวิต สายตามองความขุ่นมัวในน้ำวนเงียบๆ ในใจเกิดความยึดมั่นและปรารถนาขึ้นมา

เขาอยากไปถึงใจกลางเตาหลอมให้เร็วที่สุด เพื่อไปดูว่าที่นั่น…มีมารดาในภาพมายาตอนนั้นอยู่หรือไม่

นี่คืออารมณ์กระวนกระวาย ซับซ้อน และความหวัง ทำให้จิตใจเขาสงบลงไม่ได้เล็กน้อย

ซูหมิงเดินออกจากน้ำด้วยอารมณ์แบบนี้ ตอนที่เดินมาสู่มิติใหม่ อารมณ์ความคิดทุกอย่างถูกภาพในมิตินี้บีบจนสลายหายไปหมด ดวงตาสองข้างดุดันขึ้นมาทันใด

ในมิตินี้ เขาเห็นจื่อหลง เห็นจูโหย่วไฉ ตอนนี้สองคนล้วนจ้องแผ่นดินของมิตินี้เหมือนกับซูหมิง หน้าเปลี่ยนสี ดูจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

บนแผ่นดินมีภูเขาสูงเสียดเมฆลูกหนึ่ง สีภูเขาเป็นสีฟ้า แสงสีฟ้าไม่มีสิ้นสุด ปกคลุมภูเขานี้ บนยอดเขามีแท่นราบราวหลายจั้ง ด้านบนแท่นราบวางตำราเหล็กไว้ม้วนหนึ่ง!

“ในตำรานั้นบันทึกวิชาไว้ชนิดหนึ่ง วิชานี้มีนามว่า…เคลื่อนย้ายภูผา” เสียงแก่ชราจากยอดเขาพลันดังไปทั่วมิติแห่งนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version