ตอนที่ 103 จุดใกล้ฟ้ามากที่สุด
ซูหมิงยืนอย่างเงียบๆ มองซานเหิมล้มลงต่อหน้า สำหรับคนทรยศเผ่าเขาทมิฬคนนี้ ในใจซูหมิงสับสนยิ่ง การสังหารเขาไม่ได้นำมาซึ่งความสุข ทว่ามันกลับหนักหน่วงยิ่งกว่า
หากไม่ใช่เพราะเขาทำสิ่งต้องโทษถึงตาย ใครจะยอมสังหารคนในเผ่าตัวเอง หากไม่ใช่เพราะเขาทำชาวเผ่าล้มตายไปจำนวนมาก ใครจะยอมสังหารผู้อาวุโสที่ตนเคารพมาตั้งแต่เยาว์วัย
ซูหมิงมองตาซานเหินที่ยังเปิดอ้า ความมืดสลัวในแววตาราวกับมองเห็นจุดที่ซูหมิงไม่เห็น ไม่ทราบว่าก่อนตายเขาคิดอะไร
มือกำกระดูกเล็กในมือเปื้อนโลหิตเอาไว้แน่น ราวกับเป็นสิ่งที่เขายึดมั่นมากที่สุดก่อนตาย
ซูหมิงไม่รู้ว่าเหตุใดซานเหินจึงทรยศชนเผ่า คำถามนี้ไม่มีคำตอบ
เขาเดินไปเบื้องหน้าเบาๆ ย่อตัวลงมองศพซานเหิน เบื้องหน้าปรากฏภาพบุคคลนี้ไปล่าเขี้ยวสัตว์กลับมาเพื่อลาซูน้อย ความเมตตาและรอยยิ้มในแววตาของเขาท่ามกลางเสียงร้องดีใจของพวกลาซู
ซูหมิงใช้มือลูบเปลือกตาซานเหินเบาๆ ให้ปิดลง การกระทำของเขาอ่อนโยนยิ่งนัก ราวกับกลัวไปรบกวนซานเหินผู้ลาลับ จากนั้นถอนหายใจเบา ขณะซูหมิงกำลังยันกายขึ้น พลันสังเกตเห็นกระดูกขาเด็กในมือซานเหิน
“เพราะสิ่งนี้หรือไม่…” ซูหมิงหยิบกระดูกขึ้นมา เขามองไม่ออกว่ามันมีเบาะแสอะไร เพียงแต่เก็บมันเข้าไปในอกเสื้ออย่างเงียบๆ
ซูหมิงยืนขึ้น มองชนเผ่าที่คุ้นเคยรอบตัว ยามนี้ล่วงเลยกลางดึก ทว่าดวงจันทร์กลมบนท้องฟ้ากลับยังคงเข้มข้น แสงจันทร์สว่างสาดลงบนผืนดินกว้างใหญ่ ขับให้หิมะบนพื้นเด่นชัด ทำให้โลกใบนี้ไม่ดำมืด พอเห็นเลือนราง
ขณะกำลังจากไป ทันใดนั้น เขาเกิดความรู้สึกอบอุ่นตรงหน้าอก ซูหมิงก้มหน้ามอง พบว่ามันเป็นกระดูกเหมือนกัน ทว่ากลับเป็นกระดูกสัตว์ เป็นของที่จ้าวเผ่าเขาทมิฬมอบให้ก่อนแยกทางกัน
“หากสิ่งนี้เป็นสีแดง นั่นแสดงว่าเผ่าเขาทมิฬปลอดภัยแล้วหรือ?…”
ใบหน้าซูหมิงเผยรอยยิ้มหลังจากไม่ได้เห็นมานาน กระดูกในมือเขาเปล่งแสงสีแดงทั้งยังอบอุ่นเล็กน้อย
“ชาวเผ่าปลอดภัยแล้ว…” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ทว่าขณะนั้น บนยอดเขาเพลิงทมิฬห่างไกลออกไป กลับมีเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น
เขาแหงนหน้าขึ้นไปมอง พบว่าบนยอดสุดเขาเพลิงทมิฬ ยามนี้ระเบิดกระจาย ปลายยอดเขาแตกละเอียดเป็นชิ้น ส่งเสียงก้องกังวานแปดทิศ เขามองผ่านปลายยอดเขาที่ถล่มลง เห็นท่านปู่ที่กำลังประมือกับปี้ถู
เหมือนว่าท่านปู่กำลังล่าถอย เงาของเขาราวกับบาดเจ็บสาหัส
ด้านหลังของท่านปู่มีหมอกแดงจำนวนมาก ปรากฏเป็นเงาค้างคาวจันทรา นอกจากนี้บนตัวมันยังมีลักษณะเป็นคนแคระยืนอยู่
การต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อมานานยิ่งนัก เดิมทีจ้าวหมานภูผาดำเพียงใช้ขั้นพลังชำระล้างของเขา ก็สามารถเข่นฆ่าจบสงครามได้อย่างรวดเร็ว
ทว่าสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือ กระทั่งถึงตอนนี้โม่ซังก็ยังต่อสู้กับเขา และที่สำคัญที่สุด ในความคิดของเขา แม้ว่าโม่ซังจะยังไม่ทะลวงสู่ชำระล้าง ทว่าเคล็ดวิชาหมานส่วนใหญ่เขาไม่เคยพบมาก่อน อีกทั้งยังมีอานุภาพเหนือกว่าขั้นชำระล้าง!
หากไม่ใช่เพราะเขาครอบครองวิชาหมานชั่วร้าย คอยสูบพลังชีวิตจากผืนดินอยู่เรื่อยๆ เกรงว่าการต่อสู้ครั้งนี้คงจะยากเข็ญนัก
ยามนี้โม่ซังถูกอัดจนปลิว ปี้ถูพลันพุ่งออกมาจากตัวค้างคาวจันทรา
ตรงเข้าประชิดโม่ซัง เขาในยามนี้ไม่กล้าใช้ค้างคาวจันทราอีก เพราะก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุการณ์ค้างคาวจันทราเสียการควบคุม มันทิ้งเงามืดอยู่ในใจเขา แฝงไว้ด้วยความตื่นกลัว
กระทั่งตัวเขาเองยังไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด โลหิตหมานในกายถึงได้ร้อนรนขึ้นเหมือนเสียการควบคุม อยากทะลวงออกจากร่าง นี่เป็นเพียงอันดับรองเท่านั้น สิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุดคือจิตใจตนเกิดการอาการชั่ววูบไม่หยุด สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความคิดของเขา แต่เป็นเพราะสายเลือดในกายฉุดดึง ราวกับอยากไปสถานที่บางแห่งเพื่อคารวะ
หากไม่ใช่เพราะมีขั้นชำระล้างคอยกดทับเอาไว้ เกรงว่าการต่อสู้ครั้งคงดำเนินต่อไปไม่ได้
ซูหมิงยืนอยู่ในชนเผ่า หลังจากเห็นแล้วจึงพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความเงียบขรึม เขาห้อเหยียดไปทางภูเขาทมิฬ เขาบินไม่ได้ และเข้าร่วมการต่อสู้บนอากาศไม่ได้เช่นเดียวกัน ทว่าเขาไปยืนบนยอดเขาทมิฬได้ เพราะตรงนั้น เป็นจุดที่ใกล้ฟ้ามากที่สุด
มีแค่ตรงนั้นที่เขาอาจช่วยท่านปู่ได้ ขณะทะยานไป แววตาซูหมิงขยับแสงประหลาด ด้านหลังเป็นเส้นแสงจันทร์จำนวนมากปลิวไสว ประดุจแสงจันทร์กำลังเหาะ
‘ชาวเผ่าปลอดภัย ข้าไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว…ด้วยขั้นพลังของข้า ตามจริงไม่อาจเข้าร่วมสงครามระหว่างจ้าวหมานได้ จะไปก็มีแต่ทำให้ท่านปู่เป็นห่วงเสียเปล่าๆ ยากจะแบ่งความสนใจ’ สีหน้าซูหมิงเรียบเฉย เขาไม่แผดเสียงคำรามอีก แม้จะร้อนใจ ทว่าก็ยังใจเย็นเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้
‘หากไม่ใช่เพราะเรื่องที่ข้าควบคุมค้างคาวจันทราได้ก่อนหน้านี้ ข้าคงไม่ไป ทว่าตอนนี้ บางที…..ข้าอาจช่วยท่านปู่ได้จริงๆ!’ ซูหมิงกลายเป็นเส้นโค้งโลหิต นำพาเส้นแสงจันทร์จำนวนมากส่งเสียงลากยาวอยู่ในป่าทึบ
‘จุดที่ใกล้ฟ้ามากที่สุด เป็นจุดที่ใกล้จันทร์เต็มดวงเช่นกัน จะต้องทำเพลิงโลหิตแผดเผา!’ แสงสีแดงห้อเหยียดผ่านป่าทึบด้วยความเร็วสูง
ความคิดนี้ไม่ใช่ว่าซูหมิงเพิ่งนึกได้ มันเกิดขึ้นเลือนรางในช่วงที่เขาเห็นหมอกค้างคาวจันทราหลังปี้ถูเป็นครั้งแรก รวมถึงลวดลายหมานค้างคาวจันทราตรงกลางระหว่างคิ้วเขา พอได้ควบคุมค้างคาวจันทรา ความคิดนี้พลันเด่นชัดขึ้น
“ในห้ายอดเขาแห่งภูเขาทมิฬมีค้างคาวจันทราอยู่จำนวนมาก ตอนข้าทำเพลิงโลหิตแผดเผารู้สึกเหมือนว่าค้างคาวจันทราพวกนั้นดูร้อนรน?….หากข้าเดาไม่ผิด เช่นนั้นภายใต้ค่ำคืนจันทร์เต็มดวง ข้าต้องลองทำเพลิงโลหิตแผดเผาบนเขาทมิฬ แบบนี้จะทำให้พวกค้างคาวจันทราดูกระวนกระวายยิ่งขึ้น บางทีอาจส่งผลถึง…คนที่ฝึกฝนวิชาหมานเพลิงอย่างปี้ถู!” สงครามดุเดือดในช่วงหลายวันที่ผ่านมาสอนให้เขาสงบนิ่ง รู้จักความใจเย็นและเงียบขรึม
เขาไม่ไปยอดเขาเพลิงทมิฬ แต่ห้อเหยียดไปทางยอดเขามังกรทมิฬแทน สายรุ้งยาวสีแดงขยับวูบวาบผ่านป่าทึบ หากมองจะเห็นได้ว่าเส้นโค้งแดงสั่นไหวตลอดเวลา ไม่นานมันก็ข้ามป่าผืนนี้ เข้าใกล้ยอดเขามังกรทมิฬซึ่งเป็นหนึ่งในห้ายอดเขาแห่งภูเขาทมิฬ
ยอดเขาลูกนี้ ซูหมิงจำไม่ได้ว่าปีนมาแล้วกี่ครั้ง แทบทุกจุดเขารู้จักเป็นอย่างดี ในช่วงเข้าใกล้ พบว่าสายรุ้งแดงพลันลอยตัว กระโดดขึ้นยอดเขาลูกนี้ไม่หยุดหย่อน พริบตาเดียวก็มาถึงส่วนยอดเขา
ซูหมิงใช้ความเร็วสูงสุด อีกทั้งยังเลือกปีนหลังยอดเขามังกรทมิฬ เพื่อไม่ให้ท่านปู่โม่ซังกับปี้ถูที่กำลังประมือกันสังเกตเห็น
อีกอย่างพวกเขาทั้งสองกำลังต่อสู้กันบนท้องฟ้า คงไม่มีทางแบ่งความสนใจไปที่อื่นแน่ ทว่าปี้ถูกลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้รู้สึกตื่นกลัวจนไม่เป็นสุข โลหิตหมานในร่างกายเสียการควบคุมมากขึ้นในชั่วพริบตา เหมือนกับมันกำลังเดือดพล่าน ทำให้เขาหวาดกลัว รีบถอยหลังทันที ก่อนแบ่งความสนใจไปใช้พลังฝืนยับยั้ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นพรั่นพรึง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่!” ปี้ถูจิตใจสั่นไหว ทว่ายังไม่ทันได้ขบคิด ท่านปู่โม่ซังอาศัยจังหวะนี้ตรงเข้าใส่อีกครั้ง เขาในยามนี้จนตรอกแล้ว ดูเหนื่อยล้ายิ่งนัก ทว่าสู้มาจนถึงตอนนี้ ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะถอยก็ถอยได้ โดยเฉพาะเมื่อจิงหนานเผ่าร่องลมยังไม่ปรากฏตัว ทำให้ท่านปู่เกิดความรู้สึกกังวล
ซูหมิงในยามนี้กำลังกระโดดอยู่บนยอดเขามังกรทมิฬ และมุ่งหน้าสู่ยอดเขา ทุกครั้งที่เขาผ่านรอยแยกบนเขา จะสัมผัสได้รางๆ ว่าในส่วนลึกรอยแยกมีค้างคาวจันทรากำลังกระสับกระส่าย
“ที่ข้าคิดไว้ไม่น่าผิด!” แววตาซูหมิงเป็นประกาย ปีนป่ายต่อไป จนกระทั่งเขามายืนอยู่บนปลายสุดยอดเขามังกรทมิฬ ลมหุบเขาพัดผ่าน เส้นผมของเขาปลิวไสว เสื้อหนังสัตว์ชำรุดสะบัดพึ่บพั่บ แต่เขายังคงยืนตรง มองหมอกแดงบนท้องฟ้าข้างยอดเขาเพลิงทมิฬ กับคนทั้งสองในนั้นที่กำลังขยับวูบวาบปะทะเข้าใส่กันและถอยห่างอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีเงางูเหลือมทมิฬกำลังแผดเสียงคำรามดังสนั่น
มีแรงต้านบังเกิดขึ้น ในช่วงที่ท่านปู่กับปี้ถูต่างสำแดงเคล็ดวิชาหมาน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยรอบ
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก นั่งขัดสมาธิลง พลันแหงนหน้าขึ้น ดวงจันทร์เต็มดวงเปล่งแสงสาดส่องในดวงตาซูหมิง ทำให้โลหิตในกายเขาเริ่มแผดเผา
“ท่านปู่ ซูหมิงจะอยู่กับท่าน!” เงาจันทร์โลหิตในดวงตาเด่นชัดขึ้น โลหิตในกายเดือดพล่าน สัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ขยายไปทั้งตัว ทันใดนั้น ซูหมิงกัดปลายนิ้วมือขวา จากนั้นนำมาป้ายในดวงตาซ้าย
เพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งที่สี่!
ในช่วงที่โลหิตตรงนิ้วมือของเขาป้ายเข้าไปในดวงตา ยอดเขามังกรทมิฬใต้ซูหมิงพลันสั่นไหว อีกทั้งยามที่มันเพิ่งเกิดการสั่นสะเทือน พบว่าทั้งห้ายอดเขาล้วนสั่นเช่นกัน ขณะเดียวกัน ภายในยอดเขาทั้งห้า ยามนี้ค้างคาวจันทราแผดเสียงคำรามอย่างฮึกเหิม อยากจะออกมาจากต้นไม้ใหญ่สีโลหิต พวกมันใช้เล็บข่วนต้นไม้อย่างบ้าคลั่ง จุดดวงตาสีแดงดูตื่นเต้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
พวกมันอยากออกมาเพื่อไปคารวะราชาของพวกมัน!
ยามนี้ ปี้ถูที่กำลังประมือกับโม่ซังในหมอกแดงบนท้องฟ้าพลันสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาขยับถอยอย่างรวดเร็ว สีหน้าดูตื่นกลัว โลหิตหมานในร่างกายเสียการควบคุม ปะทะอยู่ในร่างกายไม่หยุดหย่อน อาการกระสับกระส่ายเกิดขึ้นในจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้ตัวเขาคุมตัวเองมิได้ ปรารถนาจะไปทางยอดเขามังกรทมิฬเพื่อคุกเข่าคารวะ
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!” เส้นผมปี้ถูยุ่งเหยิง มีโลหิตไหลมาจากมุมปาก พยามฝืนอาการร้อนรนที่ทำให้เขาหวาดกลัว พร้อมกันนั้น สายตาของเขาเห็นเงาคนผอมบางกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขามังกรทมิฬ!