Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1069

ตอนที่ 1069 จุดเริ่มต้นของการสร้างความตื่นตกใจ

เพียงแค่วงแหวนอาคมทรงสามเหลี่ยมเล็กจ้อย ต่อให้มีพลานุภาพไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่มีทางขังซูหมิงที่มีเอ้อชางสมบูรณ์แบบ และเข้ามาแทนที่มันได้ แม้ร่างเอ้อชางของซูหมิง ในด้านขั้นพลังจะไม่อาจเทียบกับเอ้อชางที่ใหญ่คับจักรวาลในอดีต แต่ในด้านระดับชีวิตคือเท่ากัน

สิ่งที่ซูหมิงต้องการคือเวลา เมื่อเวลาผ่านไป ร่างแยกเอ้อชางจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งบรรลุถึงระดับสูงแบบในอดีต จนกระทั่ง…เหนือกว่าระดับสูงนั้น และบรรลุถึงจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงอย่างไรครั้งนี้ซูหมิงที่มีร่างจริงเอ้อชางก็ยังมีอีกฐานะหนึ่ง นั่นคือคนของเมี่ยเซิง!

เมี่ยเซิง ตามที่เขาเข้าใจคือชายชราที่มาจากฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ ระดับความแกร่งของขั้นพลังยากจะคาดเดา เป็นคนแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ซูหมิงรู้จัก

ผู้แข็งแกร่งแบบนี้ ซูหมิงสงสัยมาตลอดว่าเขา…ถึงจะมาจากฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ แต่ก็มีโอกาสสูงมากที่จะไม่มีพันธะใดๆ ทว่าเรื่องราวโดยละเอียด ซูหมิงเองก็ไม่มีเบาะแสมากนัก จึงยากจะรู้ความจริงได้

ทว่าสิ่งที่วนเวียนในใจเขายังมีอีกหนึ่งปัญหาที่คาดเดาเสมอมา นั่นคือเหตุใด ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนถึงเป็นศัตรูกัน

จุดนี้ ก่อนหน้าที่ซูหมิงจะได้เจอยุงยักษ์สีทอง เขาคลำหารูปธรรมไม่พบมาโดยตลอด ทว่าจากยุงสีทองกับน้ำโลหิตทองนั้น เขารู้สึกรางๆ ว่า…เหมือนจะคลำเจอความจริงเล็กน้อยแล้ว

ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนเป็นศัตรูกัน แต่หากระหว่างสองฝ่ายกินกันจะทำให้แกร่งขึ้น จุดนี้ซูหมิงสังเกตเห็นอย่างแจ่มชัดหลังจากเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิตกินโลหิตทองไป และตัวเขาเกิดเค้าลางว่าฟื้นฟูขึ้นเล็กน้อย

ดังนั้นแล้ว บางที…เหตุที่ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนเป็นศัตรูกัน อาจเป็นเพราะการกินกันเองจะทำให้ทั้งสองฝ่ายแกร่งขึ้น และหากทำลายล้าง ฝ่ายหนึ่งได้ อีกฝ่ายหนึ่งก็จะผงาดขึ้นเป็นใหญ่!

‘ผู้ฝึกฌานฝึกฝนเพื่อเติมเต็มข้อบกพร่องตัวเอง จนกระทั่งตัวเองสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ…’ ซูหมิงเก็บคำถามและการคาดเดานี้ไว้ลึกในก้นบึ้งหัวใจ ตอนนี้เดินออกมาจากวงแหวนอาคมแสงสามเหลี่ยมแล้ว สายตาก็มองบรรพชนสำนักสามคนตรงหน้า

“ก่อนหน้านี้พวกข้าไม่ระวังเอง จึงได้ล่วงเกินไปมาก หวังว่าองค์ชายจะให้อภัย เพราะหลังจากองค์ชายกลับมาจากแดนต้นกำเนิดจิตแล้วขั้นพลังก็สูงขึ้นมาก จนทำให้คนคิดไปต่างๆ นานาจริงๆ” ในสามคนนั้น ชายชราที่ก่อนหน้านี้เมตตากับซูหมิงประสานมือคารวะพลางพูดขึ้น

“ตอนนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ แล้ว สามวันจากนี้จะเริ่มพิธีแต่งตั้ง ถึงตอนนั้นจะมีการท้าประลองและทดสอบ ด้วยขั้นพลังขององค์ชาย สองจุดนี้ย่อมสบายอยู่แล้ว ข้าขอแสดงความยินดีกับองค์ชายไว้ ณ ที่นี้ก่อน” ชายชรายิ้มบางๆ สายตามองซูหมิงด้วยความเมตตา

ชายชราอีกคนด้านข้างก็ยิ้มพลางพยักหน้า จะเห็นได้ว่าการที่สำนักดาราสัจธรรมปรากฏผู้มีสายเลือดทอง พวกเขาที่เป็นผู้อาวุโสสำนักของสำนักดาราสัจธรรมย่อมต้องตื่นเต้นอย่างยิ่ง มีเพียงชายชราหน้าดำที่เงียบงัน

“ก่อนหน้านี้แซ่เต้าก็ได้ล่วงเกินไปเหมือนกัน หวังว่าผู้อาวุโสสำนักสองท่านจะไม่ถือสา” ถึงซูหมิงจะมีนิสัยเปลี่ยนไปมาไม่ปกติ แต่ชายชราสองคนตรงหน้าเกรงใจต่อเขามาก อีกทั้งสีหน้าชื่นชมยังสมจริงยิ่ง เขาจึงประสานมือคารวะกลับไป เขาเป็นคนเช่นนี้ หากเคารพเขา เขาก็จะไม่ใช้คำหยาบคายโต้ตอบ

ส่วนชายชราหน้าดำ ซูหมิงมองข้ามไปเลย

การได้สนทนากันแบบนี้ส่งผลให้ความขัดแย้งกันก่อนหน้านี้มลายหายไป หลังรับป้ายตราขององค์ชายมาแล้ว ซูหมิงก็ถือว่าได้กลับสำนักดาราสัจธรรมอย่างเป็นทางการ เขาประสานมือคารวะแล้วถึงหมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งยาวจากไป

เด็กสาวหม่าเฟยร่างผอมแห้งยังตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์ของซูหมิงก่อนหน้านี้ ตอนนี้นางรีบตามมาข้างหลังเขา ดวงตาเบิกโตแวววาว พิจารณามองซูหมิงตลอดเวลา สีหน้ามีความสนอกสนใจ

จนกระทั่งซูหมิงจากไป เมื่อแสงสีทองจากแผ่นดินใหญ่ที่สามจางหาย ชายชราสามคนนอกวิหารผู้อาวุโสสำนักต่างเงียบไปครู่หนึ่ง ชายชราที่เป็นมิตรกับซูหมิงมาตลอดก่อนหน้านี้เอียงศีรษะมองชายชราหน้าดำ

“อวี่หลิน เรื่องนี้เจ้าบุ่มบ่ามไปสักหน่อย”

ชายชราหน้าดำแค่นเสียงเย็นชา นัยน์ตาเผยประกายมืดหม่น

“ก่อนหน้านี้ข้าส่งคนไปแดนต้นกำเนิดจิตเพื่อตรวจสอบอดีตทุกอย่างของเขาที่นั่น อีกไม่นานก็จะกลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นจะรู้อย่างละเอียดเลยว่า เหตุใดขั้นพลังเขาถึงได้ทะยานขึ้นอย่างพุ่งพรวด” ชายชราหน้าดำแค่นเสียงหึแล้วพูดขึ้น

“ต่อให้รู้แล้วอย่างไร เขาทดสอบสายเลือดหลอมรวมวิญญาณแล้วเกิดแสงทอง นี่คือสัญญาณที่เหนือกว่าบรรพบุรุษ ตามข้อบังคับของบรรพบุรุษแล้ว ขอเพียงเขาไม่ทำเรื่องหักหลังสำนักดาราสัจธรรม เช่นนั้นจะก้าวก่ายเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเขามิได้” ชายชราอีกคนข้างๆ ขมวดคิ้วพูดขึ้น

“ข้าส่งคนไปแล้ว พูดมากไปจะมีประโยชน์อันใด รออีกสองสามวันคนที่ข้าส่งไปกลับมาก็จะได้ไขข้อสงสัยกันแล้ว ถึงอย่างไรสหายหลายท่านในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตก็ไม่ไปมาหาสู่กับพวกเราแม้แต่น้อย เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแดนต้นกำเนิดจิต ต้องรอให้ผ่านไปสักช่วงหนึ่งก่อน พวกเราถึงจะได้รู้กันเล็กน้อย”

ชายชราหน้าดำแค่นเสียงหึตอบกลับ จากนั้นหันกายเดินไปยังหอคอยสูงสำหรับการนั่งฌานของเขา ผู้อาวุโสสำนักอีกสองคนที่เหลือต่างมองหน้ากันและกันแล้ว ส่ายศีรษะเงียบๆ ก่อนจะกลับเข้าไปในหอคอยสูงของตัวเอง

กลางหอคอยสูงของชายชราหน้าดำ เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้น ภายในหอคอยเงียบสงบนี้ ตัวเขามีสีหน้าทะมึนอย่างยิ่ง เหตุที่เขาสร้างปัญหาให้เต้าคง นั่นเป็นเพราะว่าเต้าคงได้รับแต่งตั้งเป็นองค์ชาย ทว่าคนสายเลือดของเขาก็มีคนได้รับแต่งตั้งเป็น องค์ชายเช่นกัน ดังนั้นกำจัดเต้าคงทิ้งไปจะดีที่สุด

แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีผลเช่นนี้ ไม่เพียงกำจัดเต้าคงไม่ได้ แต่กลับเสริมอำนาจให้เขาอีก ผ่านเรื่องนี้ไป เกรงว่าคงมีคนสำนักดาราสัจธรรมไม่น้อยที่รู้เรื่องสายเลือดทอง

“สายเลือดทอง…” ชายชราหน้าดำดวงตาขยับประกายเบาบาง ยามยกมือขวาพลันปรากฏแผ่นหยกหนึ่งขึ้นในมือบีบเบาๆ แผ่นหยกก็หายไปในทันที

‘ข้าจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ด้วยขุมอำนาจของพันธมิตรเผ่าเซียน จะต้องสนใจเต้าคงสายเลือดทองผู้นี้มากแน่’ ชายชราหน้าดำยิ้มมุมปากบางๆ

‘นอกจากนี้แล้ว เต้าคงจะต้องมีความลับในแดนต้นกำเนิดจิตไม่น้อยแน่ คนที่ข้าส่งไปก็เป็นผู้รักษาการณ์ที่กลับมาจากในแดนต้นกำเนิดจิต ให้เขาตรวจสอบจะต้องพบความลับที่คนจำนวนมากไม่รู้อยู่แน่นอน มานับเวลาดูแล้ว น่าจะกลับมาตอนพิธีใหญ่ ถึงตอนนั้นข้าจะพูดความลับของเต้าคงในแดนต้นกำเนิดจิตต่อหน้าศิษย์สำนักดารา สัจธรรมทั้งหมด…

บางทีข้าสงสัยคนเดียวอาจยังไม่พอ แต่หากทำให้ศิษย์สำนักดาราสัจธรรมทุกคนสงสัยด้วย ต่อให้เขามีสายเลือดทองก็ต้องให้คำชี้แจงมา

ข้าจะใช้เรื่องนี้ทำลายฐานะองค์ชายของเขาก่อนได้รับการแต่งตั้งอย่างแท้จริง!’ ชายชราหน้าดำยิ้มเยาะ หลับตาลงช้าๆ เขาเฝ้าปรารถนายิ่งว่าเมื่อคนที่ส่งไปแดน รกร้างต้นกำเนิดจิตกลับมา จะได้ผลสรุปใดมาบอกกับศิษย์สำนักดาราสัจธรรมทุกคน

ซูหมิงออกจากแผ่นดินใหญ่ที่สาม กลับมายังบ้านเกิดของเต้าคงซึ่งเป็นแดนที่เต็มไปด้วยน้ำทะเล สิ่งที่ต้อนรับเขาก็ยังเป็นเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจและตื่นเต้น จนกระทั่งฟ้ามืด แผ่นดินใหญ่ถึงค่อยๆ เงียบลง

ยามค่ำคืน ซูหมิงนั่งอยู่บนหน้าผาเพียงลำพัง ข้างหูมีเสียงคลื่นกระทบแว่วมาเป็นระลอก ตรงหน้าเป็นมหาสมุทรที่มองไปไม่มีสิ้นสุด ถึงจะเป็นยามค่ำคืน ถึงแสงจันทร์จะไม่สว่าง แต่ก็ยังสามารถเห็นความยิ่งใหญ่ของน้ำทะเล ได้กลิ่นคาวของสายลมทะเล

สวี่ฮุ่ยนั่งอยู่ข้างกายซูหมิง มองทะเลเป็นเพื่อนเขา สุนัขตัวใหญ่สองตัวร่างแปลงกระเรียนขนร่วงกับมังกรยมโลกนอนหมอบอยู่ข้างๆ ซ้ำยังหาวหวอด

ซูหมิงมองทะเลพลางนึกถึงเผ่าหมานที่ถูกทะเลจม นึกถึงยอดเขาลำดับเก้า นึกถึงเหล่าศิษย์พี่ ตอนนี้ไม่รู้ว่าพวกเขายังอยู่เผ่าหมานหรือไม่ บางทีอาจออกมากันแล้ว…

ซูหมิงส่ายศีรษะ ถึงอย่างไรเวลาก็ผ่านไปพันกว่าปีแล้ว ไม่ได้เจอหน้าพวกเขามานานมาก ระหว่างกันและกันนอกจากความทรงจำแล้วก็ไม่มีภาพอื่นอีก

“ชอบที่นี่หรือ” สวี่ฮุ่ยรวบเส้นผมที่ถูกสายลมทะเลพัด เอียงศีรษะมองใบหน้าเงียบขรึมของซูหมิงพลางถามขึ้นเบาๆ

“เจ้าล่ะ” ซูหมิงไม่ตอบ แต่ถามกลับ

“ข้าไม่ค่อยชอบเท่าไร” สวี่ฮุ่ยส่ายศีรษะ

“ที่นี่ไม่ใช่ของข้า น่าเสียดายที่อาจารย์ข้าเป็นสมาชิกพันธมิตรเผ่าเซียนไปแล้ว ข้าอยู่ที่นี่เลยรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย” สวี่ฮุ่ยถอนหายใจเบาๆ

“หากวันหนึ่งที่นี่เป็นของข้า ข้าก็คงชอบที่นี่เหมือนกัน” ซูหมิงพูดเรียบๆ

สวี่ฮุ่ยไม่ตอบ นางมองทะเลอย่างเงียบเชียบอยู่ครู่หนึ่งก็หันหน้าไปมองซูหมิงอีก สีหน้ามีความซับซ้อนวูบผ่าน ขณะกำลังจะกล่าวบางอย่าง ซูหมิงก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“เจ้ามีสีหน้าซับซ้อนบ่อยครั้งมาก ครั้งที่ชัดที่สุดคือตอนที่ข้าช่วยเจ้าในเตาหลอมลำดับห้า สวี่ฮุ่ย ทุกคนต่างมีความลับของตัวเอง…” ซูหมิงเก็บหินข้างกายขึ้นมาหนึ่งก้อนแล้วโยนไปเบาๆ หินตกลงไปในน้ำทะเล ถูกคลื่นจมลงไป

“ความลับนี้ก็เหมือนกับหิน เมื่อตกลงสู่ทะเลจะหายไป แต่หากอยากจะช้อนมันขึ้นมาก็ยากพอควร”

“ข้า…” สวี่ฮุ่ยลังเลเล็กน้อย

“ไม่ต้องพูด บางคำ ตอนไม่พูดเจ้าเป็นนาย แต่เมื่อพูดออกมาแล้ว เจ้าจะเป็นทาสมัน” ซูหมิงหันหน้าไปเพ่งมองสวี่ฮุ่ย

สวี่ฮุ่ยเงียบไปพักหนึ่ง กัดริมฝีปากล่างพลางก้มหน้าลงเอ่ยเสียงเบา

“รอเจ้าแต่งตั้งเป็นองค์ชายก่อน ข้าอยากจากไปสักระยะหนึ่ง ไปจัดการเรื่องของข้าสักหน่อย”

“ต้องการข้าหรือไม่?” ซูหมิงถามขึ้นอย่างจริงจัง

“ยังไม่ต้อง แต่หากถึงเวลาต้องการจริงๆ เจ้าจะรู้เอง” สวี่ฮุ่ยเงยหน้า มองซูหมิงพร้อมยิ้มเล็กน้อย ในรอยยิ้มมีความหลุดพ้นเพิ่มเข้ามา พันธนาการที่ถูกซ่อนเอาไว้ตลอดในอดีตหายไป

“รอยยิ้มแบบนี้ถึงจะงดงามที่สุด ถึงจะมีไฝค่อนข้างเยอะก็ยังงดงามเหมือนกัน” ซูหมิงแย้มยิ้ม

“ทำให้คนที่ดื่มสุราแพ้แม้กระทั่งสาวน้อยอย่างข้าพูดแบบนี้ได้ ข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติและโชคดีแล้ว” สวี่ฮุ่ยได้ยินคำพูดซูหมิงจึงตอบกลับทันที พูดจบก็ปิดปากหัวเราะก่อน ขณะเดียวกันดวงตาสองข้างหรี่โค้งเป็นจันทร์เสี้ยว คล้ายกับส่องสะท้อนร่วมกับจันทร์เสี้ยวที่ถูกเมฆบดบังบนฟ้า เผยออกมาเป็นเสน่ห์ที่งดงามยิ่งกว่า

กระเรียนขนร่วงเหลือบตามองซูหมิงกับสวี่ฮุ่ยแล้วแค่นเสียงในใจ แอบคิดว่าช่างทำให้เรื่องชายหญิงแปดเปื้อนจริงๆ หากเป็นท่านกระเรียน มันจะพุ่งกระโจนเข้าไปหาคนที่ชอบทันที จะไม่มาเสียเวลาเกี้ยวพาราสีมากมายแบบนี้

สุนัขมังกรยมโลกก็แค่นเสียงในใจ บ่นพึมพำกับตัวเองหลายประโยค

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version