ตอนที่ 1090 หู่จื่อ
“องค์ชายเต้าหลินสังหารผู้หลงทางเจ็ดคน!”
“องค์ชายเต้าหานสังหารไปสามคน”
“องค์ชายเต้าขุยและเต้าหวาสังหารกันไปคนละสองคน” โลกข้างบนสำนักดารา สัจธรรม ณ แดนมวลอากาศพิธีแต่งตั้ง ตรงหน้าผู้ฝึกฌานสิบล้านคนบนแท่นดอกบัว ที่ใหญ่ที่สุด ตอนนี้มีนามสีทองโผล่ขึ้นมาห้านาม
ห้านามนี้เรียงกัน ทุกนามจะมีลำแสงจำนวนต่างกัน บนนามของเต้าหลินในนั้นมีเจ็ดลำแสง ส่วนคนที่เหลือมีราวสองสามลำแสง
นามของเต้าคงอยู่ท้ายสุด ข้างบนนามเขามีลำแสงเดียว
ผู้ฝึกฌานส่วนใหญ่ต่างจับจ้องนามเต้าคง แต่นานเข้าแล้วก็ปรากฏแค่ลำแสงเดียวตอนเพิ่งเริ่ม จากนั้นก็ไม่ปรากฏอีกเลย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตอนที่นามเต้าหลินปรากฏลำแสงสิบสาย นามเขาพลันขยับ แสงทองแล้วแผ่ขยายออก กลายเป็นน้ำวนยักษ์หมุนโคจร ภายในเผยเป็นอากาศ บิดเบี้ยวรางๆ จนเมื่ออากาศบิดเบี้ยวหายไป สิ่งที่เผยในสายตาคนสิบล้านคนก็คือภาพที่คนจำนวนหนึ่งคุ้นเคย
นั่นคือสงคราม เป็นสงครามของคนหลายแสนคนระหว่างพันธมิตรเซียนกับสำนักดาราสัจธรรมเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน
ภาพในน้ำวนดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกฌานทันที ราวหนึ่งเค่อผ่านไป นอกจากซูหมิงแล้ว นามของทุกคนกลายเป็นน้ำวนและปรากฏภาพของสงครามขึ้น
องค์ชายสี่คนในสงครามดูเล็กจ้อยจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง ทว่าการทดสอบนี้กลับต้องการให้พวกเขาใช้พลังและวิธีในการเปลี่ยนผลสงคราม
หากเป็นสงครามแพ้ก็ต้องเปลี่ยนให้ชนะ ถึงชนะไม่ได้ก็ต้องลดความเสียหายลง ถึงลดความเสียหายไม่ได้ก็ต้องให้พันธมิตรเซียนจ่ายในราคาที่สูงขึ้น
ส่วนสงครามที่ชนะก็ต้องขยายผลสงครามให้มากขึ้น ต้องทำให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
เป็นตอนนี้เองนามของเต้าคงปรากฏลำแสงสายที่สอง ความช้าของเขาเริ่มทำให้ ผู้ฝึกฌานรอบๆ ต่างเกิดการคาดเดาของตัวเอง แต่กลับไม่มีใครรู้ความจริง
ทะเลเต๋ารอบนอก ซูหมิงดึงทวนมุ่งสู่ชีวิตออกมาจากศพหนึ่งเนิบๆ อีกฝ่ายเป็นชายร่างกำยำ ดวงตาเป็นสีแดงหม่นไร้แวววาว ถึงจะสิ้นใจไปแล้วก็ยังคงจ้องซูหมิง จากกลิ่นอายพลังที่เหลืออยู่จึงคาดเดาได้ว่าก่อนหน้าที่ชายร่างกำยำจะถูกซูหมิงสังหาร มีขั้นพลัง…..เกือบขั้นกุม
ซูหมิงเก็บทวนมุ่งสู่ชีวิตแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในหมอกด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง มุ่งหน้าไกลออกไปเรื่อยๆ รอบตัวเขามีเสียงคำรามดังแว่วมาไม่หยุด และมีร่างเงาขยับวูบวาบไปมาอย่างต่อเนื่อง แต่เขาเพียงมองแวบหนึ่งแล้วก็ไม่ได้สนใจอีก ขั้นพลังผู้หลงทางเหล่านี้ยังไม่พอ ยังไม่ตรงตามความต้องการ
‘สังหารผู้หลงทางแค่สิบคน จากนั้นจะสุ่มเข้าไปในสงคราม แต่สงครามก็แบ่งเป็นเล็กใหญ่ มีอ่อนแข็ง แล้วจะวัดจากอะไร บางทีอาจจะเกี่ยวกับขั้นพลังสิบคนนี้’ ดวงตาซูหมิงแวววาว นอกจากผู้โจมตีคนแรกที่บรรลุถึงเจ้าปกครองโลก ตอนปลายแล้ว คนที่เหลือเขาตั้งใจว่าจะโจมตีผู้หลงทางระดับยอดฝีมือ
ถึงอย่างไรด้วยการคาดการณ์ของซูหมิง สนามรบที่เขาอยากไปต้องไม่ธรรมดา อันดับแรกจากขนาดก่อนจะต้องเป็นสงครามของผู้ฝึกฌานมากกว่าล้านคน นี่ยังไม่ใช่จุดสำคัญ สิ่งสำคัญคือในสนามรบ ทางพันธมิตรเซียนจะต้องมีคนเสื้อคลุมดำโผล่มา วิชาที่เหมือนหยิบดวงจันทร์มาจากบ่อนั้นตัดสินทิศทางสงครามได้ ทำให้บรรพบุรุษ ไถซานแห่งสำนักดาราสัจธรรมต้องเคลื่อนไหว
ซูหมิงคิดมาตลอดว่านอกจากบรรพบุรุษไถซานแล้ว ในสงครามจะต้องมี ผู้แข็งแกร่งสำนักดาราสัจธรรมคนอื่นแน่ ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น ตอนนี้เดินหน้าไปราวหนึ่งก้านธูป นัยน์ตาเขาเป็นสมาธิ เขาเห็นร่างเงาหนึ่งภายในหมอกข้างหน้า ระลอกคลื่นพลังที่แผ่มาคือขั้นกุม
ซูหมิงพุ่งเข้าไปยังร่างเงานั้นอย่างไม่ลังเล
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งหลายชั่วยามต่อมา ภายใต้สายตาของผู้ฝึกฌานสิบล้านคนข้างนอก พวกเขาเห็นว่าบนนามเต้าคงปรากฏลำแสงเจ็ดสายแล้ว ลำแสงเพิ่มขึ้นช้ามาก แต่ทุกคนกลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตอนที่มองลำแสงเจ็ดสายจะเกิดความรู้สึกอึดอัด คล้ายกับว่า…..ลำแสงเจ็ดสายนอกจากสายแรกแล้ว ทั้งหมดต่างกับลำแสงขององค์ชายสี่คนอย่างมาก
แต่ต่างกันที่ใดกลับมองด้วยตาเนื้อไม่เห็น
พวกเขามองไม่ออก แต่ชายชราหน้าดำข้างหลังเป้ยปัง รวมถึงผู้อาวุโสสำนักอีกสองคนกลับรู้ชัดถึงเรื่องนี้ยิ่ง
“เขากำลังโจมตียอดฝีมือผู้หลงทาง…..” ชายชราหน้าดำสีหน้ามืดทะมึน แววตาเกรี้ยวโกรธ
‘เป็นคนที่หลักแหลมมาก มองวิธีการเข้าเขตสงครามที่ต่างกันได้เร็วขนาดนี้ และยังหาวิธีควบคุมขนาดสงครามได้อย่างง่ายดาย’ เป้ยปังเพ่งมองลำแสงเจ็ดสายบนนามของเต้าคงพลางเอ่ยในใจ
เมื่อเวลาผ่านไปอีกสองชั่วยาม เต้าหลินรวมถึงองค์ชายสามคนต่างก็ได้รับคะแนนในสงครามกันแล้ว โดยเฉพาะเต้าหลิน ถึงจะดูเป็นเพียงผู้ฝึกฌานธรรมดา แต่กลับอาศัยการสังหารจนกลายเป็นผู้นำขนาดย่อมฝ่ายสำนักดาราสัจธรรมในสงคราม มีผู้ฝึกฌานติดตามข้างกายเขาหลายร้อยคน จึงแทรกแซงสถานการณ์รบได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้ในที่สุดบนนามของเต้าคงปรากฏลำแสงสายที่สิบ ทันใดนั้นเองนามของ เต้าคงเปล่งแสงสีทองสว่าง ช่วงที่แสงสว่างขยายออก แสงทองพลันสว่างจ้าแสบตา สภาวะแสงสว่างจ้าแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับพวกเต้าหลิน เพียงชั่วพริบตาเดียวผู้ฝึกฌานสิบล้านคนต่างร้องด้วยความตกใจ
เพราะว่าไม่เพียงแค่แสงสีทองสว่างเกินกว่าพวกเต้าหลินสี่คน ขนาดน้ำวนที่เกิดขึ้นยังใหญ่กว่าพวกองค์ชายคนอื่นหลายเท่า เวลานี้ดูเด่นตายิ่งในมวลอากาศ มีความใหญ่เกือบพันจั้ง
ท่ามกลางเสียงครึกโครม น้ำวนเริ่มหมุนโคจร จากนั้นในผู้ฝึกฌานรอบๆ ก็มีคนสงสัยขึ้นมาในฉับพลัน
“เหตุใดน้ำวนขององค์ชายเต้าคงถึงใหญ่กว่าองค์ชายคนอื่นๆ สังหารผู้หลงทางสิบคนเหมือนกัน แต่เหตุใดถึงใหญ่แบบนี้!”
“ไม่ผิด หรือว่าจะมีคนแอบช่วยเขา ถ้าไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงต่างกันมากขนาดนี้”
ขณะที่เสียงสนทนาจากรอบๆ ดังกังวาน ก็มีเสียงแก่ชราน่าเกรงขามดังก้องไปเนิบๆ เพียงประโยคเดียวกลบเสียงสนทนาทั้งหมดในพริบตา
“สังหารจำนวนเท่ากัน แต่คนที่องค์ชายเต้าคงสังหาร นอกจากคนแรกแล้ว อีกเก้าคนล้วนเป็น….ผู้หลงทางยอดฝีมือขั้นกุม!”
ขณะเดียวกับที่ผู้ฝึกฌานทั้งหมดรอบๆ พากันเงียบ ภายในทะเลเต๋า ซูหมิงกด มือขวาบนศพร่างหนึ่ง ทันทีที่ยกมือขวาขึ้น ศพนั้นแห้งเหี่ยวกลายเป็นเถ้าธุลีหายไป
‘โครงสร้างพิเศษ เหมือนเคยถูกคนปรับแก้…..’ ดวงตาซูหมิงวาววับ เขาใช้พลังของเมล็ดพันธุ์ทำลายล้างชีวิตวิเคราะห์ว่าเหตุใดผู้หลงทางถึงบ้าคลั่ง
ขณะเงียบอยู่นี้รอบตัวเขาปรากฏน้ำวนยักษ์ขึ้น ระหว่างที่มันหมุนโคจรเสียงดังสนั่น องค์ชายเขาปรากฏระลอกคลื่นดุจดั่งฉากน้ำ ประหนึ่งว่าเขายืนอยู่บนผิวน้ำ จากนั้นเขาก้มหน้าลงไปมองก็เห็นว่าบนผิวน้ำปรากฏภาพหนึ่งขึ้นมา
ภาพนั้นคือสงคราม นั่นคือสงครามขนาดใหญ่ที่มีคนเข้าร่วมเกือบล้านคน ครั้นกวาดสายตามองไปแล้วเขากลับขมวดคิ้ว เพราะนี่ไม่ใช่สงครามที่เขาอยากไป
เขาตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอยหลังหนึ่งก้าว ถอยออกจากน้ำวนนี้ ชั่วขณะที่ออกจากน้ำวน น้ำวนก็หายไป ทุกอย่างกลับมาดังเดิม ดวงตาเขาขยับประกายวาว พอตรึกตรองอีกพักหนึ่งแล้วก็หมุนตัวห้อเหยียดหายไปในหมอก
ณ โลกข้างนอก น้ำวนจากนามของเต้าคงหายไปเผยเป็นนามของเขา ทว่าลำแสงบนนามก็หายไปทั้งหมด เหมือนว่าทุกอย่างเริ่มใหม่อีกครั้ง
ท่ามกลางเสียงดังเกรียวกราว ซูหมิงใช้ความเร็วทั้งหมดในทะเลเต๋า เวลาผ่านไป ทีละน้อย ครึ่งชั่วยามต่อมา ตอนที่เขาสังหารไปสิบคน ใต้เท้าเขาปรากฏน้ำวนขึ้น อีกครั้ง ครั้งนี้เสียงการโคจรน้ำวนดังยิ่งกว่าเดิม ผ่านไปครู่หนึ่ง ชั่วพริบตาที่ผิวน้ำ เกิดระลอกคลื่น เขาพลันหรี่ตาลง
นี่คือสงครามที่มีผู้ฝึกฌานเข้าร่วมเหนือกว่าล้านคน ทางฝั่งพันธมิตรเซียน ซูหมิงมองไปแวบแรกก็เห็นร่างเงายักษ์ใหญ่ไม่มีใครเปรียบ นั่นไม่ใช่ขนาดหมื่นจั้ง แต่มีความสูงเกือบแสนจั้ง
ร่างเงานี้ยืนอยู่กลางอากาศ ผู้ฝึกฌานใต้เท้าเป็นดั่งมดปลวก คนยักษ์นี้เอาสองมือกอดอก กำลังมองผู้ฝึกฌานล้านคนข้างล่าง มุมปากยังยิ้มเยาะและมีความน่าเกรงขามสูงส่ง
ตรงระหว่างคิ้วมีดาวเจ็ดดวงรวมเป็นวงกลม และเปล่งแสงอ่อนประหลาด
ข้างๆ คนยักษ์กลางผู้ฝึกฌานพันธมิตรเซียน มีคนหนึ่งที่ดูไม่เตะตาแม้แต่น้อยลอยอยู่ แต่กลับสวมเสื้อคลุมดำปิดบังใบหน้า เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ถึงจะไม่เห็นหน้าตา แต่ตอนที่ซูหมิงมองอีกฝ่าย เขาพลันนึกถึงคนเสื้อคลุมดำที่ปรากฏตัวอยู่นอกเผ่าตอนอยู่ภูเขทมิฬ
ความรู้สึกแบบเดียวกัน แต่คนเสื้อคลุมดำคนนี้แกร่งกว่าคนในตอนนั้นมาก เหมือนกับแสงจันทร์กับแสงหิ่งห้อย
‘เป็นสงครามนี้…..ไม่ถูกต้อง!’ ซูหมิงหรี่ตาลง เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ในความทรงจำเขา คนเสื้อคลุมดำกับคนยักษ์ที่มีดาวตรงระหว่างคิ้วไม่ได้ปรากฏในสงครามพร้อมกัน
แต่ตอนนี้กลับโผล่มาพร้อมกัน มีเพียงคำอธิบายเดียวนั่นคือสงครามนี้…..ไม่ใช่สงครามใหญ่ที่ทุกคนคุ้นเคย ที่นี่ไม่น่าจะมีบรรพบุรุษไถซานด้วย!
ซูหมิงกวาดสายตามองกลุ่มคนในภาพนั้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเขาไม่เจอบรรพบุรุษไถซาน
ซูหมิงตาหรี่ลง เขาลังเลครู่ชั่วครู่ ขณะกำลังจะเดินเข้าไปในม่านน้ำ เขากลับหยุดชะงักครู่หนึ่ง กระทั่งยังตัวสั่น นัยน์ตาเปล่งแสงด้วยความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สายตาเพ่งมองชายร่างกำยำคนหนึ่งกลางค่ายพันธมิตรเซียนในม่านน้ำ เขากำลังเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้า สีหน้าดูไม่สนใจใดๆ ข้างกายยังมีผู้ฝึกฌานติดตามอยู่ไม่น้อย!
ชายร่างกำยำคนนี้ดูซื่อๆ แต่ตอนนี้เหี้ยมโหด ถลึงตาสองข้างราวกระดิ่งทองแดง ขณะร้องตะโกนยังส่งเสียงดังไม่หยุด เขามักจะพุ่งเข้าไปในกลุ่มคนและกลับมาอย่างรวดเร็ว เป็นแบบจำลองที่เหมือนกับว่ามีพลังที่ไม่มีใครต่อต้านเขาได้
‘หู่จื่อ!’ แววตาซูหมิงตื่นเต้นขึ้นมา