Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1169

ตอนที่ 1169 ศิษย์พี่ใหญ่

ซูหมิงมองฟ้ากระจ่างดาว ด้วยพลังเขา สายตาจึงมองไปได้ไกลยิ่ง มองผ่านพายุหมุนนอกระลอกคลื่นไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

เขาเห็นเฉินเหวินอยู่หน้าสุด เห็นซือหม่าอวี้ และก็เห็น…ตรงหน้าผู้ฝึกฌาน หลายพันคนที่ตามหลังสองคนนี้เป็นชายร่างกำยำไร้หัว กำลังก้าวเท้ายาว มือขวา กวัดแกว่งขวานตลอด พายุหมุนจึงม้วนถอยออกไปสองข้างพร้อมเสียงดังอึกทึก เผยเป็นเส้นทางหนึ่ง

ซูหมิงมองชายร่างกำยำไร้หัวด้วยสีหน้าตื่นเต้นและปลงอนิจจังตัดสลับกัน จากกันมาพันปี ตอนนั้นเขายังอ่อนวัยอยู่เล็กน้อย ตอนนี้เติบโตอย่างสมบูรณ์แล้ว ทว่าถึงจะจากกันนานกว่านี้อีก มิตรภาพระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ยังบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับสุราเก่าแก่ที่เก็บมานานหลายปี จะไม่มีวันหายไป

“ศิษย์พี่ใหญ่…” ซูหมิงพูดพึมพำ นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นเขามีสีหน้าตกใจระคนดีใจ นานมากแล้วที่ไม่เห็นความตื่นเต้น นี่เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างเติบใหญ่ขึ้น เพราะมิตรภาพจริงใจไม่จำเป็นต้องเผยออกมาข้างนอก มันอยู่ในใจ อยู่ในจิตวิญญาณ เป็นมิตรภาพระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เพียงสบตากันก็เข้าใจกัน!

ซูหมิงยกมือขวาขึ้นเก็บตั๊กแตนที่กำลังให้อาหารอยู่เมื่อครู่ไป ก่อนยืนขึ้นเดินหน้าไปช้าๆ ด้วยรอยยิ้ม ศิษย์พี่ใหญ่เขามาแล้ว นี่คือเรื่องน่ายินดียิ่งในชีวิต นี่คือการพบกันครั้งแรกหลังแยกกันพันกว่าปี เขาจะนั่งเฉยรอศิษย์พี่ใหญ่มาได้อย่างไร เขาจะเข้าไปต้อนรับเอง!

ซูหมิงเห็นศิษย์พี่ใหญ่ แต่ศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่เห็นซูหมิง จนกระทั่งผ่านไปสิบกว่า ลมหายใจ ชายร่างกำยำไร้หัวที่กำลังเดินทางกลางพายุหมุนพลันหยุดชะงัก ถึงจะ ไร้หัว ถึงจะไม่เห็นสีหน้า แต่มือที่กำขวานกลับสั่นเล็กน้อย

กลิ่นอายมารจากในตัวเขาหายไป เขายืนอยู่ตรงนั้น ใช้ดวงตาวิญญาณมองไกลออกไป ตรงส่วนลึกในใจเขาเผยรอยยิ้ม เผยความรู้สึกดีใจ

ตอนนี้พายุหมุนตรงหน้าเขาเกิดเสียงดังสนั่นพร้อมกัน ระลอกคลื่นสีขาวแผ่ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ภายใต้การขยายของระลอกคลื่น พายุหมุนเหล่านั้นม้วนถอยไปพร้อมกัน เผยเป็นผืนฟ้ากว้างใหญ่ ซูหมิงกลางฟ้ากำลังเดินเข้ามาทีละก้าวด้วยรอยยิ้ม

พอเฉินเหวินกับซือหม่าอวี้เห็นซูหมิงแล้วก็ประสานมือคารวะทันที

“คารวะนายท่าน!”

ซูหมิงในชุดคลุมดำปิดหน้าเดินเข้ามาช้าๆ จนผ่านเฉินเหวินกับซือหม่าอวี้มาอยู่ตรงหน้าชายร่างกำยำไร้หัว

ซูหมิงเงียบ ชายร่างกำยำไร้หัวก็เงียบ ทุกคนทั้งหมดรอบๆ ก็เงียบเช่นกัน

จนกระทั่งซูหมิงเปิดผ้าคลุมดำออก เผยเป็นใบหน้าแปลกตามากในสายตา ชายร่างกำยำไร้หัว ทว่าดวงตาบนใบหน้าแปลกตานี้กลับทำให้ขวานในมือชายร่างกำยำไร้หัวหายไป จากนั้นเขาก็กางสองแขนออก

ซูหมิงยิ้มและกางสองแขนออกเช่นกัน สองคนสวมกอดกันเป็นครั้งแรกหลังผ่านมาพันกว่าปีกลางฟ้ากระจ่างดาวต่อสายตาผู้ฝึกฌานหลายพันคน!

สองคนนี้ไม่พูดใดๆ ขณะศิษย์พี่ศิษย์น้องกอดกัน พวกเขายังตบหลังกันและกันอย่างแรง เหมือนกับแสดงมิตรภาพพันกว่าปีออกมาจากการสวมกอดทั้งหมด

“เจ้าเติบใหญ่แล้ว” ศิษย์พี่ใหญ่ถอยไปหนึ่งก้าว เพ่งสายตามองซูหมิง ก่อนมีเสียงผ่านโลกมานานและปลงอนิจจังดังแว่วมาจากในร่างกาย เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยการหวนคะนึงคิด และยังมีความคิดแน่วแน่ที่ต่อให้ต้องทำลายล้างจักรวาลก็ต้องปกป้องศิษย์น้องของเขาแห่งยอดเขาลำดับเก้าให้ได้

ประโยคนี้กล่าวเพียงสี่คำง่ายๆ แต่ในสี่คำกลับแฝงไว้ด้วยความคิดในใจทุกอย่างตลอดพันปีมานี้ที่ศิษย์พี่ใหญ่แสดงออกไม่เก่ง แต่สี่คำนี้ ในน้ำเสียงผ่านโลกมานานมีการสั่นเล็กน้อย ภายนอกอาจจะไม่รู้สึกถึง แต่ซูหมิงสัมผัสได้อย่างชัดเจน

“เติบใหญ่แล้ว…” ซูหมิงมองศิษย์พี่ใหญ่พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม ภายในรอยยิ้มมีการหวนนึกถึงยอดเขาลำดับเก้า มีความคิดถึงต่อศิษย์พี่ และยังมี…การเฝ้าหาต่อบ้าน

ภายในระลอกคลื่น กลางพื้นที่ไร้พายุหมุน พวกเฉินเหวินกับซือหม่าอวี้สองคนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น บางครั้งจะเงยหน้ามองซูหมิงกับชายร่างกำยำไร้หัวข้าง วงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายไกลๆ

อีกด้านหนึ่งของเฉินเหวินเป็นผู้ฝึกฌานหลายพันคนนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบเชียบ แน่นิ่งไม่ขยับไหว

ตอนนี้ต่างไม่มีใครกล้ารบกวนซูหมิงกับศิษย์พี่ใหญ่แม้แต่น้อย

ซูหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ในมือมีไหสุราเพิ่มมาหนึ่งไห ส่วนอีกไหอยู่กับศิษย์พี่ใหญ่ เขาไม่ดื่ม แต่มักจะใช้มือขวาตบลงข้างบน สุราในไหจะหายไปมากกว่าครึ่ง

พอซูหมิงเห็นวิธีดื่มสุราแบบนี้แล้ว เขาก็มีสีหน้าเจ็บปวดเสี้ยวหนึ่งเพิ่มมา

เขาไม่มีวันลืมภาพที่ศิษย์พี่ใหญ่ตัดหัวตัวเองและกลายเป็นสิงกานตอนอยู่แผ่นดินหมาน ถึงเวลาจะผ่านมา แต่ความทรงจำในภาพนั้นยังคงอยู่ในใจ

“ตอนนั้นที่เจ้าถูกบีบให้เข้าแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต หลังข้าฟื้นแล้วก็ตัดสินใจว่าจะพาน้องรองกับหู่จื่อออกจากแดนหมาน จะไปยังผืนฟ้าของเผ่าเซียน และไปตามหาเจ้าที่แดนรกร้างต้นกำเนิดจิต!” ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวเสียงแหบแห้ง มือขวาตบบนไหสุราอีกครั้ง ดื่มน้ำสุราในนั้นจนหมด

“เจ้าคือศิษย์น้องข้า เป็นศิษย์น้องเล็กของพวกเรา ถึงพวกเราจะมีสายเลือดต่างกัน แต่พวกเราคือผู้ฝึกฌานแห่งยอดเขาลำดับเก้า โชคชะตาให้พวกเรามารวมกัน เช่นนั้นพวกเรา…ก็จะเป็นพี่น้องกันที่ข้นกว่าพี่น้องทางสายเลือดเป็นหมื่นเท่า

เจ้ายอมละทิ้งฐานะเทพหมานเพื่อพวกเรา ยอมไปแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต พวกเรา…คือศิษย์พี่ของเจ้า พวกเราจ่ายชีวิตเพื่อเจ้าได้!

เจ้าไม่รู้หรอกว่าหลังเจ้าไปแล้ว ตอนที่ข้าฟื้น ข้าเห็นหู่จื่อร้องไห้คนเดียวไม่รู้กี่ครั้ง เขาดื่มสุราพลางมองถ้ำของเจ้า…แล้วก็ศิษย์พี่รองของเจ้า เขาเปลี่ยนไปมาก เวลา ส่วนใหญ่จะมีสีหน้ามืดทะมึน ข้ารู้ว่าเขาเกลียดตัวเองที่พลังไม่มากพอ เขาเกลียดตัวเองที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไม่ได้

เพราะความเกลียดแบบนี้ก็อยู่ในใจข้าเหมือนกัน!

หลังเจ้าไปและพวกเราทยอยกันตื่นขึ้น พวกเราสามคนเลยตัดสินใจว่าชีวิตจากนี้ไป ไม่ว่าต้องจ่ายด้วยอะไร พวกเราจะต้องแกร่งขึ้น จะต้องแกร่งขึ้นไม่หยุด ต้องควบคุมชะตาตัวเองให้ได้!” ศิษย์พี่ใหญ่พูดเสียงแหบ ก่อนยกมือขวาขึ้น มีไหสุราโผล่มา อีกหนึ่งไห จากนั้นตบมือลงไป น้ำสุราในนั้นหายไปจนหมด

ซูหมิงมองศิษย์พี่ใหญ่เงียบๆ มองชายร่างกำยำไร้หัวตัวสูงใหญ่ยิ่งตรงหน้า มองเขาด้วยรอยยิ้ม ภายในรอยยิ้มมีการไหลผ่านของเวลา แฝงไว้ด้วยความหมายที่ทำให้ซูหมิงยึดมั่น

เพราะว่าคนตรงหน้าเขาเป็นของจริง เป็นไม่กี่คนในชีวิตเขาที่มีอยู่จริงๆ จริงที่ว่าไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตวิญญาณ เป็นความหมาย เป็นมิตรภาพต่อเขาซูหมิง

ทุกอย่างเป็นของจริง

หลังผ่านเรื่องราวต่างๆ ในอดีต ผ่านแผนการของซูเซวียนอี ซูหมิงไม่กล้าเชื่อว่าอะไรคือจริงอะไรคือหลอกอีก เพราะหากเชื่อ หากจริงจัง เช่นนั้นหากทุกอย่างเป็นเรื่องลวงหลอก มันจะทำร้ายเขาอย่างสาหัสยิ่ง

แต่ว่าตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ ตั้งแต่วันนั้นที่ขึ้นยอดเขาลำดับเก้าจนถึงวันนี้ เขาแน่วแน่มาตลอดว่ายอดเขาลำดับเก้าเป็นของจริง ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง หู่จื่อเป็นของจริง!

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใจเขา เป็นสิ่งที่เขายอมจ่ายทุกอย่างเพื่อปกป้อง นี่คือ สมบัติล้ำค่าในชีวิต

ซูหมิง เขาเคยสังหารจนเป็นนิสัย เคยเลือดเย็น เคยบ้าคลั่ง แต่มีน้อยคนมากที่จะเข้าใจว่าภายในใจเขายังมีความเปราะบาง จุดเปราะบางนี้คือญาติพี่น้อง คือทั้งหมดของยอดเขาลำดับเก้า

“พวกท่าน…ออกจากแผ่นดินเผ่าหมานอย่างไร?” ซูหมิงมองศิษย์พี่ใหญ่ เขารู้สึกถึงกลิ่นอายมารจากตัวศิษย์พี่ใหญ่ นั่นไม่ได้รวมออกมาจากการสังหารง่ายๆ แต่จะต้องสังหารอยู่กลางทะเลโลหิตนานปีถึงจะรวมออกมามากขนาดนี้ได้

“แผ่นดินเผ่าหมาน…” ศิษย์พี่ใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง

“เจ้าไปทะเลดาราต้นกำเนิดจิตเพื่อพวกเราได้ พวกเราก็ยอมดวงจิตโบราณสมควรตายในแดนมรณะหยินนั่นเพื่อออกมาตามหาเจ้าเช่นกัน ยอมเป็นตัวหมากเขาไปทำสงครามกับแผ่นดินอื่นๆ ในแดนมรณะหยิน ทำตามคำสั่งไปเรื่อยๆ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องรองกับหู่จื่อผ่านไปอย่างไร พวกเขาไม่ได้บอก อีกทั้งหู่จื่อยังจงใจลืมความทรงจำส่วนนั้นไปแล้ว

แต่ข้ารู้ว่าในสงครามนั้น ข้าสังหารมานับไม่ถ้วน…พลังข้าเพิ่มขึ้นจากการสังหาร ถึงขั้นพลังข้าจะไม่สูง แต่สิ่งที่แกร่งที่สุดในพลังข้าคือกลิ่นอายมาร!

หากพูดถึงการฝึกฝนจริงๆ สิ่งที่ข้าฝึกฝนคือมาร ฝึกฝนแม่น้ำวิญญาณสายหนึ่ง!” ศิษย์พี่ใหญ่พูดถึงตรงนี้ก็ยกมือขวาโบกไปบนฟ้า เพียงชั่วเสี้ยวพริบตา ผืนฟ้าเกิดเสียงดังสนั่น มีแม่น้ำยาวสายหนึ่งโผล่ขึ้นมา มันกว้างใหญ่ไม่มีสุดเขต ภายในมีสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่แน่ชัดกำลังร้องคำรามเสียงแหลมเล็กและต่อสู้ดิ้นรน

“ส่วนที่ข้าออกมาจากแดนมรณะหยินได้ก็เพราะ…มัน!” ศิษย์พี่ใหญ่ชักมือขวากลับมาคว้าตรงหน้าอก ตรงหน้าอกเปิดเป็นรอยแผลเหวอะหวะทันที โลหิตที่ไหลมาจากในนั้นรวมขึ้นเป็นตราประทับซับซ้อนตรงหน้าอก

ตราประทับนั้นดูเหมือนใบหน้าภูตผีกำลังหัวเราะเยาะ

“ตราประทับนี้มีนามว่าวิญญาณแห่งเงามืดรุ่งอรุณ มีแต่ต้องถูกประทับตรานี้และเป็นบุตรเซ่นไหว้แห่งมหาโลกเงามืดรุ่งอรุณเท่านั้น ดวงจิตโบราณพวกนั้นถึงยอมให้ข้าออกจากแดนมรณะหยิน

ศิษย์พี่รองของเจ้าก็เช่นกัน หู่จื่อ…ก็ด้วย

หลังพวกข้าออกจากแดนมรณะหยินก็แยกย้ายกันไป ข้าให้น้องรองเปลี่ยนสำนัก ให้เลือกฝึกฝนที่สำนักใดก็ได้ ด้วยร่างราชาภูตผี เขาจึงเปลี่ยนรูปได้เป็นพันเป็น หมื่นร่าง แฝงตัวเติบโตอยู่ในหมื่นตระกูล จนฝึกฝนเต๋าวิญญาณได้ถึงระดับสูง!

ข้าให้ศิษย์พี่สามเจ้าเข้าร่วมพันธมิตรเผ่าเซียน ให้เขาเติบใหญ่ขึ้น เพราะนิสัยเขาซื่อเกินไป และยังเป็นคนตรงมาก เรื่องนี้มีทั้งดีและเสีย แต่หากหยกไม่เจียระไนก็จะไม่เป็นอัญมณี ข้าต้องให้เขาลำบาก ให้เขาฝึกฝนอย่างหนักในสนามรบจนเกิดเป็นกฏวงแหวนอาคมที่คงอยู่ด้วยตัวมันเอง ให้เขา…เดินบนเส้นทางนั้นของเขาเอง!

ส่วนข้าเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์หนึ่ง กลายเป็นดาบคมกริบที่ฝึกฝนอย่างหนักของพวกเขา แต่จากนั้นข้าก็แว้งกัดพวกเขา แล้วได้ฝึกเต๋ามาร!

ที่ข้าให้พวกเราสามคนแยกกันก็เพื่อให้พวกเราใช้วิธีของตัวเองตามหาเส้นทางไปหาเจ้าที่แดนรกร้างต้นกำเนิดจิต หากไม่ใช่เพราะสงครามของสำนักดาราสัจธรรม พวกเราคงไปแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตนานแล้ว…” ศิษย์พี่ใหญ่เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบกลับเนิบๆ คำพูดเรียบนิ่ง กระทั่งฟังแล้วดูไม่มีความตื่นกลัว ทว่าซูหมิงที่เข้าใจนิสัยศิษย์พี่ใหญ่รู้ว่าในความจริงจะต้องยากเข็ญกว่าที่ศิษย์พี่ใหญ่พูดเป็นร้อยเท่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version