ตอนที่ 119 เป็นเขา!
ชายฉกรรจ์ดื่มสุราเห็นสตรีผู้นี้ก็พลันมีสีหน้าดีใจ ยืนขึ้นราวกับอยากกล่าวอะไรบางอย่าง แววตานางเย็นชา มานั่งอยู่ตรงข้ามชายฉกรรจ์ ดวงตาสองข้างกวาดมองไปรอบๆ มองผ่านตัวซูหมิงราวกับไม่สนใจอะไร
“ใช้ได้หรือไม่?” ชายฉกรรจ์ดูร้อนรนนัก ไม่นั่งลง แต่กล่าวเสียงเบา
“เจ้าคุณสมบัติไม่พอ แต่ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งวันเพื่อพิสูจน์ตัวเอง”
ซูหมิงเดินจากไปแล้ว นี่เป็นประโยคที่เขาได้ยินก่อนไป การสนทนาของคนทั้งสองเหมือนไม่ได้ปิดเป็นความลับอะไร ทว่าซูหมิงไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่น แม้เขาจะมองออกว่าระหว่างชายฉกรรจ์กับสตรีมีความลับอะไรบางอย่าง แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับเขา
หนึ่งคืนเงียบสงบ ยามรุ่งอรุณวันที่สองมาเยือน ซูหมิงลืมตาจากสมาธิ เมื่อจัดระเบียบเครื่องแต่งกายแล้วจึงเดินออกจากห้อง เมืองเขาหานในยามเช้าตรู่มีหมอกบางๆ เดินมาด้านนอกราวกับเหยียบหมอก ให้ความรู้สึกแปลกยิ่งนัก
จากที่ได้สังเกตและฟังเมื่อวาน ซูหมิงเข้าใจเมืองเขาหานมากขึ้นเล็กน้อย เขาเดินอยู่บนถนน แหงนหน้ามองเมืองเขาแห่งนี้ เมืองแห่งนี้มีจำนวนสี่ชั้น ตอนนี้เขาอยู่ชั้นสี่เป็นจุดต่ำที่สุด มีพื้นที่กว้างขวาง
ชั้นสามเหนือขึ้นไปมีการกำหนดขั้นพลัง หากขั้นพลังไม่พอย่อมขึ้นไปไม่ได้ ส่วนชั้นสองและชั้นหนึ่งจำเป็นต้องมีฐานะที่มั่นคงถึงจะเข้าไปได้
“ด้านบนชั้นหนึ่งตรงส่วนยอดเขา เป็นหอคอยเด็ดดาวของเมืองนี้ ที่นั่นมีแต่ขั้นชำระล้างเท่านั้น อีกทั้งต้องเป็นแขกพิเศษของฝ่ายหนึ่งจากสามชนเผ่าถึงจะเข้าไปได้” ซูหมิงมองยอดเมืองภูเขาอยู่นานก่อนละสายตากลับ แล้วเดินเข้าไปในร้านค้าขายสมุนไพรต่างๆ ภายในชั้นที่สี่
ซูหมิงไม่ได้ซื้อสมุนไพรสำหรับหลอมโอสถวิญญาณผาและโอสถแดนใต้ เขามาเมืองเขาหานในครั้งนี้ หลักๆ คือเพื่อตามหาแผนที่เดินทางไปยังแดนพันธมิตรตะวันตก และยังมีสมุนไพรสำหรับการหลอมโอสถชิงวิญญาณ
ตลอดช่วงเช้า ซูหมิงเข้าออกร้านค้าเป็นว่าเล่น สมุนไพรที่นี่ค่อนข้างครบครัน ทว่าราคากลับแพงกว่าเผ่าร่องลมไม่น้อย ดีว่าซูหมิงได้เหรียญหินมาจากฟางมู่อยู่บ้าง จึงนับว่าร่ำรวย
“สมุนไพรสำหรับการหลอมโอสถชิงวิญญาณ ขาดอีกห้าชนิด…”
ยามเที่ยงวัน ซูหมิงกำลังขบคิด เดินไปทางเข้าชั้นสามของเมืองแห่งนี้ ตรงนั้นเป็นประตูบานใหญ่แข็งแกร่ง ภายในประตูมีแสงอ่อนขยับวูบวาบ ใกล้ๆ มีคนหลายสิบราวกับกำลังมุงดูอะไรอย่างออกรส
ซูหมิงเห็นนักรบหมานส่วนหนึ่งเดินเข้าไปในประตูอย่างราบรื่น แต่ก็มีไม่น้อยเหมือนขั้นพลังไม่ถึง ในช่วงที่เข้าไปถูกดีดกลับ แม้สีหน้าไม่ยินยอม ทว่าด้วยความจนปัญญา ไม่กล้าลองอีก จึงเดินกลับไปทางกลุ่มคนที่กำลังมุงดูเหล่านั้น ราวกับซื้ออะไรบางอย่าง จึงผ่านแสงอ่อนเดินเข้าประตูไปได้
สังเกตครู่หนึ่งแล้ว ซูหมิงเดินไปทางประตูเขา การมาของเขาทำให้กลุ่มคนใกล้เคียงมองไปทันที สีหน้าซูหมิงเรียบเฉย หนึ่งเท้าเดินเข้าไปในแสงอ่อน ทว่าทันใดนั้นเขาสัมผัสได้ถึงแรงขับไล่บนตัว ราวกับมีคนผลัก จึงโซเซถอยหลังหลายก้าว ไม่อาจเข้าไปได้
“จำกัดขั้นพลังคือลำดับแปดขั้นรวมโลหิต…” ซูหมิงขมวดคิ้ว ทราบจากแรงขับไล่ถึงคุณสมบัติในการขึ้นไปชั้นสาม
“พวกไร้ความสามารถแต่อยากจะลองอีกคนแล้ว เจ้า เจ้านั่นแหละ เข้ามา” สิบกว่าคนรอบตัว ตะโกนไปทางซูหมิงทันที
ซูหมิงมองไปด้วยความเย็นชา คนที่กล่าวเป็นชายวัยกลางคนอยู่เพียงลำดับห้าขั้นรวมโลหิตเท่านั้น เขาเห็นสีหน้าซูหมิงยามมองมาดูไม่เป็นมิตร พลันถลึงตามอง แสดงตราสีขาวชิ้นหนึ่งตรงเอว
“เฮ้ย ดูท่าคงจะไม่ยอม ตราผ่านทางเดิมทีต้องจ่ายหนึ่งพันเหรียญหิน แต่หากเป็นเจ้าต้องจ่ายหนึ่งพันสามร้อยเหรียญหิน!” ชายวัยกลางคนทำเสียงหึ หยิบเศษหินขนาดเท่าฝ่ามือจากอกเสื้อมาแกว่งในมือ
ซูหมิงละสายตา ไม่สนใจชายวัยกลางคนอีก แต่มองไปทางแสงอ่อนตรงประตูเขา ก่อนเดินเข้าไปอีกครั้ง การกระทำของเขา ไม่เพียงทำให้ชายวัยกลางคนยิ้มเยาะ แต่ดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบ รวมถึงชาวเผ่าจากทั้งสามเผ่าที่กำลังขายตราผ่านทางที่พากันมองตามไป หัวเราะเสียงดัง
“ไม่ได้เห็นคนอย่างนี้มาหลายวันแล้ว ฟางหลิน หนึ่งพันสามร้อยเหรีญหินก็ไม่ต้องขาย!”
“ไม่อยากเชื่อว่าเจ้านั่นจะเจอฟางหลิน เขาร่ำรวยแล้ว หากเป็นข้าสองพันเหรียญหินก็ไม่ขาย หากไม่ซื้อก็อย่าคิดจะเข้าไป ใครบอกให้เขาขั้นพลังไม่ถึงกันเล่า”
สิบกว่าคนเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าสนิทสนมกันเป็นอย่างดี ยามนี้ขณะหัวเราะมีการส่งสัญญาณลับ ไม่ให้มีใครขายในราคาต่ำ แต่กดราคาให้สูงขึ้น
เสียงหัวเราะของพวกเขา ดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบ โดยเฉพาะคนที่ผ่านประตูไม่ได้เหล่านั้น ส่วนใหญ่มีสีหน้าเห็นใจ
ซูหมิงเข้าใกล้ประตู ทว่าไม่ได้เข้าไปในทันที แต่ใช้มือขวากดบนแสงอ่อน สัมผัสถึงแรงขับไล่อีกครั้ง
“เจ้าจ่ายมาสองพันเหรียญ แล้วข้าจะให้ตราผ่านทางกับเจ้า เจ้าหนุ่ม ข้าจะบอกเจ้าให้เอาบุญ เจ้าไม่ใช่คนแรกที่หาเรื่อง วันนี้หากเจ้าไม่ซื้อ ก็ไสหัวไปตามกฎของพวกข้า ต่อให้ข้าไม่อยู่ เจ้าก็ต้องจ่ายเหรียญหินที่มากกว่าอยู่ดี……” ชายวัยกลางคนเผ่าบูรพาสงบพลันกล่าวเสียงดัง แต่ยังไม่ทันกล่าวจบก็ต้องหยุดชะงัก
ผู้คนรอบข้างเหล่านั้นพากันตื่นตะลึง ไม่ส่งเสียงหัวเราะอีก แต่มองไปทางประตูเขาอย่างเหม่อลอย สีหน้าตื่นตกใจ
เห็นกับตาว่าซูหมิงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู เพียงใช้มือขวากดลำแสงอ่อน แสงอ่อนกลับขยับประกายอย่างเด่นชัด ประหนึ่งมีพลังไร้รูปแล่นผ่านเข้าไปข้างใน ทำให้ม่านแสงราวกับถูกดึงเว้าลึกลง ระลอกคลื่นแตกกระเซ็น เหมือนกับไม่อาจทนรับไหว
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สามชนเผ่าเหล่านั้นที่กำลังขายตราผ่านทางสูดลมหายใจ ชายวัยกลางคนพลันมีสีหน้าขาวซีด เขารับเหรียญหินตรงนี้มานานหลายปี ทุกวันจะเห็นคนจำนวนมากเดินเข้าไป จึงมีประสบการณ์กว้างขวาง แสงอ่อนเว้าลึกลงไปเช่นนี้ พวกเขาเคยเห็นเพียงหลายสิบครั้งเท่านั้น ทว่าทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ ล้วนมาจากผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้าง!
ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้าง เมื่อเข้าประตูแสงอ่อนจะถูกดึงจนเหมือนฉีกขาดในที่สุด
ท่ามกลางความเงียบสงบของพวกเขา ม่านแสงประตูเขาเบื้องหน้าซูหมิงพลันเกิดรอยแยก ซูหมิงชักมือกลับอย่างช้าๆ และเดินเข้าไปอย่างสงบนิ่ง หลังจากผ่านรอยแยกแล้ว ม่านแสงประตูเขาจึงฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
นอกประตูเขาเงียบสงัด ชายวัยกลางคนทำทีสงบนิ่งแท้จริงตึงเครียด ชาวเผ่าสามเผ่าข้างกายเขาเหล่านั้น ล้วนเหม่อลอยไปชั่วครู่ มองไปทางชายวัยกลางคนอย่างเห็นใจ
“ล่วงเกินขั้นชำระล้าง…….ฟางหลิน ขอให้เจ้าปลอดภัยแล้วกัน”
“ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นขั้นชำระล้าง ดูแล้วอายุเท่าไรเชียว?”
“ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน ผู้อาวุโสท่านนี้ต้องเพิ่งมาเมืองเขาหานแน่”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นสับสนเล็กน้อย แม้พยามสงบนิ่ง ทว่าความหวาดกลัวในใจกลับทำให้เขาขายตราผ่านทางต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงจากไปอย่างเร่งรีบทันที นึกเสียใจภายหลังยิ่งนัก สายตาของเขาเฉียบคมมาโดยตลอด มิเช่นนั้นแล้วคงทำกิจการเช่นนี้ไม่ได้ เห็นๆ กันอยู่ว่าหลังซูหมิงถูกดีดกลับ แรงดีดจะเป็นตัวบอกถึงขั้นพลังของซูหมิงอยู่แล้ว เขาจึงได้ออกปากพูด ไม่คิดเลยว่าจะมองพลาด
“คะ…คงไม่ใช่คนชอบรังแกผู้อื่นหรอก เห็นกันอยู่ว่าเป็นผู้อาวุโส เรื่องมันผ่านไปแล้ว จะมาสร้างปัญหาให้ข้าทำไมกัน…..” ชายวัยกลางคนยิ่งคิดยิ่งคับอกคับใจ
ซูหมิงในยามนี้เดินเข้ามาในประตู เหยียบเข้าสู่ชั้นสามเมืองเขาหาน เขาหันกลับไปมองม่านแสงอ่อนในประตูเขาแวบหนึ่ง นัยน์ตาดูขบคิด
‘ดูท่าการควบคุมความละเอียดอ่อน น่าจะไม่ใช่สิ่งที่ขั้นรวมโลหิตธรรมดาจะเข้าใจได้…นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ข้าใช้พลังโลหิตจากการควบคุมความละเอียดอ่อน เข้าประตูมาอย่างง่ายดาย อีกทั้งแสงอ่อนยังเว้าลึก เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ’
ซูหมิงเดินไปเบื้องหน้าพลางขบคิด
ตรงหน้าเขาไม่ไกลเป็นชั้นสองของเมืองเขาหาน สิ่งก่อสร้างภายในมีไม่มาก คนเดินถนนก็น้อยลง ทุกคนล้วนเป็นลำดับแปดขั้นรวมโลหิตขึ้นไป กระทั่งสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นยังมีชั้นบรรยากาศไม่น้อย แรงต้านกระจัดกระจาย เห็นได้ชัดว่าภายในสิ่งก่อสร้างเหล่านี้มีผู้แข็งแกร่งควบคุมอยู่
แม้จะเป็นยามเที่ยงวัน ที่นี่กลับไม่ได้คึกคักเหมือนชั้นสี่ ซูหมิงเดินอยู่นอกร้านค้าเหล่านั้น แววตาพลันขยับประกาย สีหน้าดูแปลกใจเล็กน้อย ทว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว
มันเป็นร้านค้าจำหน่ายวัตถุดิบจากสัตว์ป่า มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ภายในร้านมีผู้อาวุโสนั่งอยู่หนึ่งคน กำลังหลับตา บนข้อมือขวาเขามีกระดิ่งสีดำหลายใบ ร้านค้าแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก กำแพงซ้ายขวามีแมงมุมขนาดเท่าจานถูกตอกด้วยตะปูไม้สีดำเก้าตัว ทั้งตัวแมงมุมเป็นสีม่วง ตายไปแล้ว แต่มันกลับมีเก้าขา!
ขาที่เก้าของมันเป็นสีแดงฉาน ต่างกับขาอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
“นี่มันหนึ่งในสามวัตถุดิบสำหรับการหลอมโอสถมอบจิต!” ซูหมิงละสายตากลับ เดินเข้าไปในร้าน ทว่าในช่วงที่กำลังเหยียบเข้าไป หมอกสามกลุ่มบนท้องฟ้าเมืองเขาหานพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ในร้านลืมตาขึ้น ไม่ใช่แค่เขา แทบทุกคนในชั้นสามล้วนจิตใจสั่นไหว มองขึ้นไปพร้อมกัน
พบว่าหมอกสามกลุ่มไหลเชี่ยวกรากอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน ภายในเมืองล้อมภูเขาแห่งนี้ บนชั้นหนึ่งภายในหอคอยเด็ดดาวตรงยอดเขา พลันมีเสียงระฆังเก่าแก่ดังก้องกังวานแปดทิศ
แก๊ง…..แก๊ง….แก๊ง…..
เสียงระฆังราวกับก่อให้เกิดคลื่นเสียงไร้รูป แตกกระจายเป็นวงกว้าง ไม่เพียงแต่ดึงดูดความสนใจของคนชั้นสามเท่านั้น ผู้คนบนชั้นสี่ต่างพากันส่งเสียงดังเกรียวกราว แม้แต่คนบนชั้นสองยังมองขึ้นไป
“เสียงระฆังสามครั้ง มีคนบุกโซ่เขาหาน!!”
“นานแล้วที่ไม่เห็นมีใครกล้าบุกโซ่เขาหาน! คนที่ล้มเหลวส่วนใหญ่ตายตก ทว่าหากสำเร็จก็จะบรรลุหนึ่งในเงื่อนไขของสามชนเผ่า!”
“เงื่อนไขเป็นแค่รอง สำคัญคือหากทำสำเร็จจะต้องได้เป็นประธานแขกพิเศษของเผ่าอย่างแน่นอน ฐานะสูงส่งกว่าแขกพิเศษธรรมดา กระทั่งข้ายังได้ยินมาว่า นี่เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่สำนักเหมันต์สวรรค์จะรับศิษย์จากเมืองเขาหาน!”
“ผู้บุกโซ่เขาหานจะบุกของเผ่าไหน?”
ซูหมิงได้ยินเสียงดังเกรียวกราวจากคนรอบข้าง พบว่าบอดยอดเขา ตรงใจกลางโซ่เหล็กเชื่อมทั้งสามเส้น ยามนี้มีเงาคนยืนอยู่หนึ่งคน
“เป็นเขา!” ซูหมิงเห็นเงาคนอย่างชัดเจน นัยน์ตาฉายแววขบคิด