ตอนที่ 23 ตอนนี้มันตายแล้ว
ชายชราลืมตาขึ้นราวกับสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามา กวาดสายตามองซูหมิง สีหน้าเกิดความประหลาดใจ เมื่อมองอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงปิดเปลือกตาอีกครั้ง
ซูหมิงจ้องสิ่งของสีฟ้าบนผืนหนังสัตว์ มันมีลักษณะคล้ายถาด ตรงขอบแหลมคม เพียงแต่ด้านบนกลับมีรอยร้าวหลายจุด กระทั่งบางจุดลึกจนแทบทะลุไปถึงอีกด้าน
มันวางอยู่บนผืนหนังสัตว์อย่างสงบนิ่ง ทว่าบางครั้งก็ขยับแสงอ่อนวูบวาบ ทำให้ผู้ที่พบเห็นเป็นอันต้องเกิดภาพลวงตาคิดว่ามันมีชีวิต
ตรงกลางรอยร้าวตัดสลับกัน ซูหมิงเห็นว่าด้านบนมีภาพแกะสลักเป็นรูปหน้าปีศาจดุร้าย ลักษณะดูน่ากลัวยิ่งนัก
“มันเป็นศาสตราวุธแห่งหมานที่พังแล้ว เจ้าซื้อไม่ไหวหรอก” ขณะซูหมิงกำลังพิจารณา พลันได้ยินเสียงผู้สูงวัยดังขึ้น ซูหมิงแหงนหน้าขึ้นมองก็พบว่าเป็นเสียงของชายชราที่นั่งขัดสมาธิอยู่
“ศาสตราวุธแห่งหมาน?” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนหน้านี้เขาก็พอเดาได้แล้ว เพราะเขาเคยอ่านเจอในตำราหนังสัตว์ ศาสตราวุธแห่งหมานเป็นของล้ำค่ายิ่งนัก มีเพียงผู้แข็งแกร่งขั้นพลังชำระล้างเท่านั้นถึงจะมีสิทธิครอบครองหรือหลอมมันขึ้นมาได้ ส่วนขั้นพลังรวมโลหิตแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ถึงต่อให้มี ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นมรดกตกทอดกันในชนเผ่า อีกทั้งเผ่าที่ครอบครองยังต้องปกป้องของล้ำค่าชนิดนี้ให้ได้ มิเช่นนั้นจะถูกผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างชิงไป
“ของสิ่งนี้มันพังแล้ว ใช้ไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นศาสตราวุธที่ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างหลอมขึ้น ขายหนึ่งพันเหรียญ” ชายชรากล่าวขึ้นช้าๆ
ซูหมิงมองถาดสีฟ้าดังกล่าว นัยน์ตาฉายแววปรารถนาและชื่นชม ทว่าทั้งตัวเขามีเพียงห้าเหรียญหินเท่านั้น เขาซื้อมันไม่ไหวจริงๆ
ซูหมิงถอนหายใจเบาๆ แล้วมองถาดสีฟ้าอีกหลายครั้ง ก่อนเดินจากไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
“ไม่รู้ว่าเมื่อไรข้าถึงจะมีศาสตราวุธหมานเป็นของตัวเองสักที….”
ซูหมิงเดินต่อพลางกล่าวกับตัวเองในใจ ในตลาดแห่งนี้มีพ่อค้าแม่ขายใช้หนังสัตว์ทำเป็นแผงลอยจำนวนมาก ซูหมิงเดินจนครบหนึ่งรอบแล้ว แต่ไม่พบว่ามีศาสตราวุธหมานวางขายอยู่อีก ส่วนใบตาข่ายเมฆาเขาพอเห็นอยู่บ้าง มีคนมากหน้าหลายตาหมุนเวียนกันเข้ามาซื้อมัน ราคาค่อนข้างสูง หนึ่งต้นหนึ่งเหรียญหิน ราคาเทียบเท่ากับน้ำลายมังกรทมิฬ
เวลานี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม ใกล้โพล้เพล้ ตะวันยามอัสดงส่องแสงสุดท้ายอยู่ไกลๆ สาดส่องลงบนผืนแผ่นดินใหญ่ ทว่าผู้คนในตลาดกลับมากขึ้น ครึกครื้นยิ่งนัก
เห็นท้องฟ้ายามใกล้ค่ำ ซูหมิงจึงเดินทอดน่องไปมาในตลาดต่อ จนเข้ามาอยู่ในเขตกระโจม สินค้าในเขตนี้มีราคาสูงลิ่ว ทว่าคุณภาพสินค้ารับประกันได้ มีลูกค้าเข้าออกกันไม่น้อยทีเดียว
จากการเฝ้าจับตาดูของซูหมิง เขาพบว่าชาวเผ่าหมานที่มายังตลาดแห่งนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มาซื้อของ แต่กลับแบกตะกร้าสานเช่นเดียวกับเขา เดินเข้าไปขายสินค้าในกระโจม
ซูหมิงเห็นดังนั้น มุมปากยกเผยรอยยิ้ม ตลอดช่วงบ่ายนี้เขาเอาแต่เฝ้าสังเกต เก็บรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ เมื่อนำมาเรียงให้สอดคล้องกันแล้ว เขาจึงได้เข้าใจถึงกฎการซื้อขายของตลาดแห่งนี้มากขึ้น
ขณะนี้ท้องฟ้ามืดมิด ภายในตลาดเริ่มจุดคบเพลิงกันเป็นจำนวนมาก ซูหมิงอาศัยจังหวะนี้มาถึงมุมอับแสงจากคบเพลิง
เขามองรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง ก่อนวางตะกร้าสานลง หยิบหนังสัตว์ที่ห่อเอาไว้คลี่ออกแล้วสวมเป็นเสื้อทับใน จากนั้นนำหนังสัตว์ที่เตรียมเอาไว้ในตะกร้าสานมาสวมใส่ทั้งหมด สุดท้ายจึงหยิบหนังสัตว์สีดำคล้ายชุดคลุมยาวมาคลุมทับด้านนอกอีกที ห่อหุ้มจนมิดตัว
ซูหมิงในตอนนี้จึงมองไม่เห็นใบหน้าแท้จริง กระทั่งพอมองทั้งตัวแล้วดูเหมือนอ้วนตุ๊ต๊ะ เทียบกับร่างบอบบางของเขาก่อนหน้านี้ แทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ซูหมิงลองขยับตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนทำให้หนังสัตว์ที่หุ้มไว้เป็นชั้นๆ แน่นขึ้นอีก เขามองไปยังตะกร้าสาน ในนั้นยังมีของอยู่อีกหนึ่งสิ่ง เป็นของที่เขาเตรียมมาที่นี่โดยเฉพาะ แม้ว่าน้ำหนักจะมากจนทำให้ต้องทนแบกมาตลอดทางก็ตามที ทว่ามันมีประโยชน์ของมันอยู่
ซูหมิงแบกตะกร้าสานขึ้นหลัง ก้มหน้าลงเดินไปไม่กี่ก้าวก็ชะงัก เมื่อครุ่นคิดสักครู่พลันค้อมลำตัวลง จนมองดูคล้ายคนหลังค่อม เขาเร่งฝีเท้าเดินไปยังกระโจมที่ตนเลือกเอาไว้ก่อนหน้านี้
กระโจมดังกล่าวมีแสงไฟน้อยที่สุด อีกทั้งลูกค้าที่เข้าออกเมื่อช่วงบ่าย ส่วนใหญ่ต่างปกคลุมตัวมิดชิดเฉกเช่นซูหมิง ประหนึ่งไม่อยากให้ใครจำได้
แม้ว่าเขาจะมาตลาดแห่งนี้เป็นครั้งแรก ทว่าจากการสังเกตเมื่อช่วงบ่าย ทำให้เขาเข้าใจในรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ของที่นี่ได้มากกว่าครึ่ง
เมื่อมาถึงกระโจมที่ตนเลือก ซูหมิงไม่ได้เข้าไปในทันที แต่เดินไปมารอบๆ ตรงจุดอับแสงคบเพลิง สายตาคอยสังเกตกระโจมอยู่ตลอดเวลา
ผ่านไปไม่นาน มีบุคคลปริศนาอำพรางใบหน้าเดินออกมาจากในกระโจม แล้วเดินจากไปด้วยท่าทีเร่งรีบ
บุคคลลักษณะนี้ ซูหมิงเห็นมาไม่น้อยเมื่อช่วงบ่าย จนเขาเริ่มมั่นใจแล้วว่าผู้ที่เดินออกมาไม่น่าถูกใครตามล่าสังหาร ซูหมิงจึงอาศัยจังหวะที่ไม่มีแขกอยู่นี้ เร่งฝีเท้าไปยืนอยู่หน้ากระโจม ก่อนเปิดม่านหนังเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
เมื่อเข้ามาแล้ว ซูหมิงพลันสังเกตได้ว่ามีแววตาข้างหนึ่งกำลังจ้องมองมา เห็นเป็นชายวัยกลางคน เปลือยท่อนบนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ข้างกายมีหนึ่งคบเพลิง ทั้งส่องแสงและส่งเสียงเปาะแปะในเวลาเดียวกัน
ดวงตาข้างหนึ่งของชายวัยกลางคนเหลือเพียงโพรงอากาศ ทว่าอีกข้างหนึ่งกลับเฉียบคมกดดัน ยามนี้มองมาที่ซูหมิง นิ่งเงียบไม่กล่าวใดๆ
“แสงไฟมันแยงตาข้าเล็กน้อย” ทั้งตัวซูหมิงหุ้มด้วยหนังสัตว์ ไม่ต้องกังวลเลยว่าอีกฝ่ายจะเห็นใบหน้าแท้จริง ซูหมิงกล่าวขึ้นช้าๆ น้ำเสียงค่อนข้างแหบ แตกต่างจกาตอนกล่าวปกติเล็กน้อย
ชายฉกรรจ์ตาเดียวมองซูหมิงอยู่นาน ก่อนละสายตาไปทางอื่น ในความคิดของเขา นอกจากซูหมิงไม่มีพลังจากโลหิตแล้ว ส่วนที่เหลือก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นที่มาก่อนหน้านี้เลย
แม้จะสัมผัสไม่ได้ถึงโลหิตในกายของอีกฝ่าย ทว่ามายังกระโจมแห่งนี้ได้ ไม่รู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้า ซ้ำยังรู้ขนบธรรมเนียมดี จึงไม่น่าใช่บุคคลไร้ชื่อเสียง
เขากดมือขวาลงบนคบเพลิง ทำให้แสงพลันอ่อนลงไม่น้อย ในกระโจมมืดสลัวตามแสงที่อ่อนลง
“หยิบออกมา หากเป็นของดี ข้าจะให้ราคาที่เหมาะสมกับเจ้า” ชายฉกรรจ์ดึงมือขวากลับพลางกล่าวช้าๆ
ดวงตาซูหมิงขยับประกายแสงผ่านหนังสัตว์ที่อำพรางใบหน้า มองสังเกตชายฉกรรจ์อย่างละเอียด พลันหัวเราะเสียงดัง น้ำเสียงหัวเราะแหบพร่าเช่นเดียวกัน ก้องกังวานในกระโจมหนัง ทำให้ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้วเป็นปม
ซูหมิงชูมือขวาขึ้น กลิ่นหอมสมุนไพรพลันโชยขึ้น สิ่งของลักษณะกลมหนึ่งเม็ดพุ่งตรงเข้าใส่ชายฉกรรจ์ ก่อนถูกรับไว้ได้เพียงมือเดียว เมื่อยกขึ้นระดับสายตา ดวงตาขวาของเขาพลันเป็นประกาย แทบจะคุมเสียงลมหายใจของตนมิได้
“ของสิ่งนี้ราคากี่เหรียญหิน!” ซูหมิงถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“มันคือสมุนไพรอะไร? เจ้าไปได้มันมาจากที่ใด? แล้วมันมีสรรพคุณอย่างไรบ้าง?” ชายฉกรรจ์จ้องเจ้าสิ่งนั้นอยู่นาน แหงนหน้าขึ้นมองซูหมิง นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ
“ระหว่างทางที่ข้ามาที่นี่ ข้าพบเจ้าสัตว์ตัวนี้เข้า” ซูหมิงไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่กล่าวขึ้นทันควัน พลางวางตะกร้าสานลงข้างกาย ใช้มือขวาล้วงลงไป ทันใดนั้นตะกร้าสานพลันสั่นไหวชั่วครู่ ก่อนจะจับจิ้งจอกเตียวที่ถูกมัดเอาไว้ออกมาวางบนพื้น
สีหน้าจิ้งจอกเตียวหมดอาลัยตายอยาก ดวงตาทั้งสองข้างกลับเผยความเฉียบคมดุร้าย นอกจากนี้บนตัวมันยังมีบาดแผลเปิดอยู่เล็กน้อย ยิ่งโดนมัดยิ่งไร้ทางหนีรอด
ชายฉกรรจ์ตกตะลึง ไม่ทราบว่าคำกล่าวของอีกฝ่ายมีความหมายแฝงอย่างไรกันแน่ เขากวาดสายตามองจิ้งจอกเตียว มันก็เป็นเพียงสัตว์ป่าธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขาสักเท่าไหร่
“ข้าแค่เอามันติดไม้ติดมือมาด้วยเท่านั้น เจ้าดู มันยังมีชีวิตอยู่….” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ภายในกระโจมสลัวแห่งนี้ น้ำเสียงแหบพร่าราวกับมีความแปลกประหลาดแฝงอยู่
“เจ้ากำลังจะพูดอะไร?” ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้วขึ้น
“ข้ากำลังจะบอกว่า มันยังมีชีวิตอยู่ รู้หรือไม่ว่าข้าจับมันมาเพื่ออะไร? ก็เพราะว่าความอยากรู้อยากเห็นของมันมากไปหน่อย จึงเดินตามหลังข้าอยู่นาน…..”
ซูหมิงใช้มือซ้ายลูบบนตัวจิ้งจอกเตียวเบาๆ ทว่าพอผ่านจุดที่เป็นแผลสด มันพลันชะงักไปทั้งตัว!
ไม่มีเสียงร้องน่าเวทนา กระทั่งเสียงคำรามยังเกิดขึ้นเพียงแวบเดียว ก่อนร่างสลายกลายเป็นหมอกโลหิต ราวกับน้ำเลือดแผดเผาลุกโชน ภายใต้สายตาตะลึงค้างของชายฉกรรจ์ จิ้งจอกเตียวสลายหายไปทั้งตัว เหลือไว้เพียงกระดูกสีแดงดำตัดสลับกัน
“แต่ตอนนี้ มันตายแล้ว…” เพียงซูหมิงเคาะมือซ้ายลงไป โครงกระดูกพลันแหลกเป็นฝุ่นผงกระจายเต็มพื้น
ชายฉกรรจ์สูดลมหายใจเข้าลึก ยันกายขึ้นถอยไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว
นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัวและตื่นตะลึงที่ไม่อาจปกปิดได้ เขาชะงักงันอยู่นาน ก่อนมองซูหมิงอีกครั้ง ในแววตาแฝงไว้ด้วยความเคารพยำเกรง
“หมานชั่วร้าย…”
“หืม?” ซูหมิงทำเสียงขึ้นจมูก
ชายฉกรรจ์ตัวสั่นเทา ขณะกำลังจะอธิบาย กลับเห็นซูหมิงสะบัดมือเป็นเชิงว่าไม่ต้อง
“บอกข้า สิ่งที่เจ้าถืออยู่ในมือมีมูลค่ากี่เหรียญหิน! สรรพคุณของมันง่ายมาก หากใช้คู่กับสมุนไพรมันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสมุนไพรที่เจ้ากินได้หนึ่งส่วน! ส่วนเรื่องอื่น ข้าว่าเจ้าก็ดูอยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน” ซูหมิงกล่าวขึ้นช้าๆ
ใบหน้าชายฉกรรจ์ขาวซีด เหตุการณ์เมื่อครู่ยังทำให้เขาตะลึงไม่หาย แม้กระทั่งโลหิตในกายของอีกฝ่ายเขายังไม่อาจสัมผัสได้ ตอนสัตว์ป่าตัวนั้นอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่าย กลับสลายกลายเป็นหมอกโลหิตในชั่วพริบตา
“ของสิ่งนี้…” ชายฉกรรจ์ไตร่ตรองอยู่นาน ก้มหน้ามองเม็ดโอสถลูกกลมในมือ
“ผู้อาวุโส ของสิ่งนี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน….นี่….” ชายฉกรรจ์กล่าวขึ้นด้วยความลังเล หากเป็นแขกธรรมดา เขาจะไม่เป็นเช่นนี้แน่ ทว่ายามนี้เขาหวาดกลัวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงไม่กล้าล่วงเกินซูหมิง
“เจ้าทดสอบดูก่อนได้ หากไร้ผล ข้าจะจากไป แต่หากมีผล ค่อยว่ากันเรื่องราคา” น้ำเสียงซูหมิงไม่ทุกข์ร้อน นั่งลงและกล่าวช้าๆ
ชายฉกรรจ์โล่งอก หลังจากรับคำด้วยความนอบน้อมแล้ว จึงหยิบกระดิ่งใบเล็กจากอกเสื้อ เขย่าเล็กน้อยจนเกิดเสียงดังติ๊งติ๊ง
ซูหมิงมองไปยังกระดิ่งใบเล็ก รวดเร็วจนแทบไม่สังเกต มือซ้ายที่ซ่อนอยู่ในชุดคลุมหนังกำผงโอสถโลหิตเอาไว้แน่น