ตอนที่ 1202 การสร้างของข้า
ดวงตาซูหมิงวาววับ เขาปล่อยให้อักขระนั้นเข้ามาใกล้และหลอมรวมเข้าไปในระหว่างคิ้ว ทันทีที่อักขระนี้หายไปในหน้าผาก ซูหมิงพลันใจสั่นสะท้าน พลังในร่างกายโคจรไปตามวงโคจรบางอย่าง ผ่านไปพักใหญ่ตอนที่ค่อยๆ หายไป เขาเห็นว่าร่างเงาชายหญิงบนฟ้ากลับเข้าไปในใบหน้ายักษ์นั้นก่อนหายไปจากบนฟ้า
“ตระหนักรู้พลังแห่งอักขระ เข้าใจความคิดของพวกเจ้า เปลี่ยนความคิดพวกเจ้าให้เป็นความปรารถนา ใช้ความปรารถนาของพวกเจ้าริเริ่มการสร้างของพวกเจ้า!” ชายชราชุดคลุมขาวกวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อเอ่ยเรียบๆ แล้วก็นั่งขัดสมาธิ ลงนิ่งไป
คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นรอบๆ ล้วนตกอยู่ในห้วงการตระหนักรู้เช่นกัน
ซูหมิงก็นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น หลับตาลงเงียบ ก่อนทำความเข้าใจกับคำพูดของชายชราและเรียนการสร้างรกร้างบรรพกาลวิชาที่แกร่งที่สุดของเผ่าหมานใหญ่
“ความคิดข้าคือความคิดแห่งเทพหมาน…” ซูหมิงกล่าวพึมพำ นี่คือความคิด ตอนแรกสุด เป็นความคิดที่เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ต่อเผ่าหมานตอนตนกลายเป็นเทพหมาน
ยามนี้ความคิดนี้แน่วแน่ในใจเขาแล้ว ขณะเดียวกันเขาเหมือนกับเห็น การไหลเวียนของเวลา เห็นการหมุนโคจรของตะวันจันทราและดารา เห็นชาวเผ่า บนแท่นราบรอบๆ บ้างจากไป บ้างมาใหม่
และยังเห็นว่ามีคนเหมือนเข้าใจพลังแห่งการสร้างรกร้างบรรพกาลจึงเปล่ง แสงสว่างจ้าแสบตา ขณะเดียวกันเขายังเห็นว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนชราใน เผ่าตายตกไป วัยกลางคนเป็นวัยชรา เด็กเป็นชายหนุ่ม จนกระทั่งไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ปี ชาวเผ่าทุกสมัยสืบสายเลือดกันที่นี่ คนบนแท่นราบเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปทีละกลุ่มเช่นกัน
ส่วนชายชราเสื้อคลุมขาวในอดีตคนนั้นสิ้นอายุขัยไปแล้ว จึงเปลี่ยนไปทีละคน…เทพบรรพชนบนฟ้าปรากฏตัวหลายครั้งในช่วงเวลานี้ และถ่ายทอดการสร้างรกร้างบรรพกาลให้หลายครั้ง
กระทั่งซูหมิงยังสังเกตเห็นว่าภายในกาลเวลาไม่รู้นานเท่าไร เทพบรรพชนที่มาเยือนเหล่านั้นต่างเริ่มไม่มีรอยยิ้ม แต่แทนที่ด้วยความมืดทะมึน แทนที่ด้วยความตื่นตระหนกอยู่ภายใน จนกระทั่งพวกเขามาเยือนไม่บ่อยอย่างในอดีตอีก แต่น้อยลงเรื่อยๆ
ทว่าต่อให้เป็นอย่างนั้นซูหมิงก็ยังจำได้ว่าตนได้รับการถ่ายทอดหนึ่งการสร้างรกร้างบรรพกาลกี่ครั้ง จวบจนวันหนึ่งเขาเห็นว่าเทพบรรพชนหายไป การขยายของ เผ่าหมานใหญ่เหมือนจะไม่รุ่งเรืองอีก จนวันหนึ่งเขาเห็นว่าบนฟ้าเกิดเสียงดังสนั่น ท้องฟ้าพังทลายลง…
ผืนฟ้าแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาเห็นเทพบรรพชนจำนวนมากมองแผ่นดินอยู่บนฟ้าเงียบๆ มองเผ่าหมาน มองเผ่าอื่นๆ มองเผ่าพันธุ์ที่พวกเขาสร้างขึ้น ซูหมิงก็มอง พวกเขาเช่นกัน
พวกเขามีสีหน้ามัวหมองและไม่อยากจาก แต่ก็ได้สร้างวิหารใหญ่เป็นตัวแทนการสืบทอดต่อของพวกเขาเอาไว้ ร่างกายพวกเขาหายไปบนฟ้า กลิ่นอายพลังพวกเขา…ค่อยๆ กลายเป็นอากาศธาตุ ตอนนี้เองมีสายฟ้าสีแดงผ่าลงมา ซูหมิงมองแวบเดียวก็จำได้ว่านั่นเหมือนกับสายฟ้าตรงระหว่างคิ้วสัตว์รกร้างแทบทุกประการ
สายฟ้านี้ผ่าลงมายังวิหารใหญ่ที่สร้างโดยเทพบรรพชน เกิดเสียงดังสนั่นฟ้า แม้วิหารยังไม่พังลง แต่กลับเกิดรอยแผลที่ไม่อาจสมานคืน….
ซูหมิงเห็นทุกอย่างแล้ว
เขายังได้เห็นอีกว่าในสมัยที่เทพบรรพชนหายไปเกิดมหาสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ขึ้น ในสงครามนี้ เขาเห็นชาวเผ่าหมานใหญ่ตายตกไปทีละคน เห็นพวกเขาเปลี่ยนแท่นเซ่นไหว้วิญญาณเป็นแท่นยกระดับวิญญาณ เห็นชาวเผ่าแต่ละคนลองหาลำดับ จากวิหารเหล่าเทพเพื่อยกระดับเป็นบรรพชนวิญญาณ และก็ได้เห็นผู้คนตายไปจำนวนมาก
เขาเห็นเด็กน้อยในเผ่าไม่เล่นกันอีก ไม่ยิ้มอย่างเบิกบานใจและบริสุทธิ์อีก แต่ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ …
“ความปรารถนาของข้าคือให้เผ่าหมานผงาดขึ้น!” พอเห็นทุกอย่างแล้ว ซูหมิงพูดพึมพำกับตัวเองอยู่บนแท่นยกระดับวิญญาณ นี่คือความปรารถนาของเขา เป็นความปรารถนาที่เคยมีอยู่ แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นแน่วแน่อย่างยิ่ง
เขาหลับตาลง ยามที่ลืมตาอีกครั้ง กาลเวลาเหมือนผ่านไปอีกไม่รู้นานเท่าไร ตอนที่เผ่าหมานใหญ่ใกล้จะกลายเป็นซากปรักหักพัง เขาเห็นว่าบนแท่นของตัวเองมีคนเพิ่มมาคนหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร
เขาเป็นชายชราสวมเสื้อคลุมยาว ตรงหน้ามีกระดูกสันหลังสัตว์แถวหนึ่ง เขามองฟ้า ดวงตาไร้ประกายวาว มือขวาถือเศษหินชิ้นหนึ่งกำลังขูดกระดูกสันหลัง ส่งเสียง ดังแกรกๆ
เสียงนี้ดังก้องทำให้คนที่ได้ยินจะเกิดความปวดใจ แต่ตอนนี้ซูหมิงกลับใจสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาพบว่าชายชราคนนั้นดวงตาเลือนรางเล็กน้อย อีกฝ่ายเป็นคนตาบอด หน้าตาก็เหมือนกับคนตาบอดคนนั้นที่เขาพบบนแผ่นดินหมานทุกประการ แต่ตอนที่มองไปอีกครั้งกลับเหมือนท่านปู่เขา!
ภาพนี้ทำให้เขานึกถึงเขาแดนหมานที่อีกฝ่ายเคยบอกกับเขา
ซูหมิงรู้สึกถึงระลอกคลื่นแก่กล้าจากตัวชายชรา ระลอกคลื่นพลังนี้คือพลังที่ทำให้ซูหมิงตกใจ และสิ่งที่ทำให้เขาหรี่ตาแคบลงคือชายชราคนนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับชายชราคนตาบอดบนแดนหมาน แต่ซูหมิงรู้สึกถึงกลิ่นอายพลังของบรรพชนวิญญาณจากตัวเขา
ซูหมิงเห็นกับตาว่าชายชราคนนั้นฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว เขายกมือซ้ายขึ้นตบบนแท่นยกระดับวิญญาณ ฉับพลันนั้นแท่นวิญญาณสั่นสะเทือน ทั่วแผ่นดินสั่นไหวไปด้วย ท้องฟ้าสั่นสะท้านเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวทั่วทั้งโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างถึงที่สุด
ยามกลางวันเปลี่ยนเป็นโพล้เพล้ มีหิมะตกจากบนฟ้า ทั้งแผ่นดินกลายเป็นแปลกตา แม้แต่แท่นยกระดับวิญญาณยังกลายเป็นแท่นบวงสรวงสูงแห่งหนึ่ง ใต้แท่นบวงสรวงนี้มีชาวเผ่าหมานสวมชุดคลุมดำหลายแสนคน แต่ละคนต่างคุกเข่าคารวะเงียบๆ ไกลออกไปเป็นพระราชวังยักษ์แห่งหนึ่ง…
ชั่วพริบตาที่ซูหมิงมองไปรอบๆ เขาตัวสั่นไปครู่หนึ่ง เขาคุ้นเคยกับทุกอย่าง นี่คือ…พระราชวังต้าอวี๋ที่เคยเห็นบนแดนหมาน!
“แกรก แกรก…” เสียงนี้ดังก้องไปรอบๆ ลอยล่องอยู่กลางสายลมหิมะ ผ่านไปนาน ก็ยังไม่หายไป สายลมหิมะบนฟ้ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หิมะถูกสายลมม้วนตลบวนเวียน ไปรอบๆ
“ยังมีความหวังหรือไม่…ยังมีหรือไม่…” เสียงตะโกนแก่ชราด้วยความห้าวหาญกลางสายลมหิมะ แฝงไว้ด้วยความเศร้าและไม่ยอมดังมาจากชายชราคนนั้นที่ ซูหมิงมองอยู่
สายลมหิมะพัดเข้ามาส่งเสียงครืนๆ ราวกับตอบคำพูดของชายชรา และก็แยกเสียงนี้ออกเป็นส่วนๆ ก่อนกลบไว้กลางสายลมหิมะ
“หากยังมีหวัง แล้วความหวังอยู่แห่งหนใด หากไร้ซึ่งความหวัง เหตุใดถึงทำให้ ข้าเห็น!” ชายชราเหมือนเสียสติ เขาแทบจะตะโกนออกจากลำคอ เสียงตะโกน ดังกังวานกลางสวรรค์เก้าชั้น ซูหมิงเหม่อมองทุกอย่าง เงียบไม่พูดใดๆ
หิมะตกหนักกว่าเดิม
“ในเมื่อเจ้าให้ข้าได้เห็น มันจะต้องมีหวังอย่างแน่นอน แต่ว่าความหวัง…มันอยู่ ณ ที่ใด!”
“วันนี้แสงอรุณกลับผิดทิศ ไท่ทั้งสามบุกเบิกดินแดน พายุหิมะหวนคืนมา ชั่วนิรันดร์หนึ่งคราข้าจะเป็นจ้าวแห่งหมานอีกครั้ง!” ชายชรายกมือซ้ายขึ้น ทำสัญลักษณ์มือ ทันใดนั้นซูหมิงเห็นว่าพายุหิมะรอบตัวพลันรวมเข้าด้วยกันเป็น มังกรหิมะตัวหนึ่งเงยหน้าคำรามพุ่งขึ้นฟ้าไป
แต่ช่วงที่มังกรหิมะพุ่งขึ้นฟ้าไปนั้นเหมือนกับปะทะปราการไร้รูปหนึ่งชั้น และคลับคล้ายว่ามีดวงจิตหนึ่งลงมาเยือนทำให้มังกรหิมะสลายไป
ชายชราเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้า เขากัดปลายลิ้นพ่นโลหิตมาหนึ่งคำ ขณะเดียวกันชาวเผ่าหมานหลายหมื่นคนข้างล่างแท่นบวงสรวงต่างกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตไปพร้อมกันขณะคุกเข่าคารวะกันทุกคน โลหิตพวกเขารวมกันอย่างรวดเร็วรวมถึงของชายชราคนนั้นก่อนพุ่งขึ้นฟ้าไปพร้อมกัน พอหลอมรวมกับมังกรหิมะแหลกสลายแล้วก็กลายเป็นมังกรโลหิตประหนึ่งอาบชุ่มไปด้วยเลือด แบกรับเสียงคำรามและความในใจของชาวเผ่าหมานหลายแสนคนพุ่งขึ้นฟ้าไปอีกครั้ง
เสียงครึกโครมดังสนั่น มันทะลวงผ่านปราการไร้รูปนั้นไปยังฟ้าที่ไกลยิ่งกว่า ก่อนพลันหยุดชะงักครู่หนึ่ง…
ทันทีที่หยุดชะงัก มังกรโลหิตเหมือนเห็นภาพหนึ่งในฟ้านอกปราการ
ในภาพนั้นมีเพียงอย่างเดียว…นั่นคือผีเสื้อตัวหนึ่งกำลังบินอยู่นอกฟ้า…
โครม!
มังกรโลหิตร่างสลายไปขณะร้องคำราม กลายเป็นหิมะสีโลหิตโปรยลงมาจากฟ้า อีกทั้งในยามนี้ ตอนที่ร่างมังกรโลหิตระเบิดออก มันยังเอ่ยมาเสียงหนึ่งที่ต่างกับเสียงคำรามของมันอย่างสิ้นเชิง!
“ตาย….”
ตอนที่เสียงนี้ดังก้อง ซูหมิงใจสั่นไหว ชายชราข้างกายมีโลหิตไหลมาจากมุมปาก เขาเอ่ยคำนี้เบาๆ
“ตายเสียแล้ว…” ตอนนี้เขาวางเศษหินในมือขวาลงบนกระดูกชิ้นที่สิบสามของสัตว์ร้ายตัวนั้นนิ่งๆ
“โลกที่ข้ามองเห็น พวกเจ้ามองไม่เห็น…มองไม่เห็น…ความหวัง…” ชายชราพึมพำอย่างขมขื่น เขาใช้เศษหินในมือขวาขูดกระดูกอีกครั้ง ส่งเสียงดังแกรกๆ
ร่างเงาเขาซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด หล่อหลอมกับเสียงนี้ แฝงไว้ด้วยความโดดเดี่ยวน่าเศร้ากับเสื่อมลง
“ความหวัง…ไม่อยู่ที่นี่ แต่อยู่ในภายภาคหน้า…” ชายชราพูดเบาๆ
ซูหมิงหลับตาลงอีกครั้ง ตอนที่ลืมตาขึ้น ภาพเปลี่ยนไปเป็นช่วงเวลาที่ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าไร ฟ้าดินเกิดเสียงครึกโครม หมอกหนาแน่นอยู่รอบๆ มีเสียงร้องก่อนตายดังก้อง ซูหมิงเหม่อมองพื้นดินแห่งนี้กลายเป็นซากปรักหักพังภายใต้มหันตภัย ตอนที่รอบตัวค่อยๆ เงียบลง เขายืนขึ้นเงียบๆ มองไปรอบๆ ก็เห็นวิญญาณนับไม่ถ้วน
วิญญาณเหล่านั้นเหมือนจะอยู่ที่นี่มาตลอดก่อนที่เขาจะมาที่นี่และยกระดับวิญญาณ พวกเขาเฝ้ามองซูหมิงเงียบๆ มาตลอด จนกระทั่งวันนี้ซูหมิงเพิ่งได้เห็นพวกเขา
นี่คือวิญญาณนับไม่ถ้วน มีจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านดวง เป็นวิญญาณชาว เผ่าหมานที่ตายไปทั้งหมด พวกเขาปรากฏเพราะซูหมิง คงอยู่เพราะซูหมิง เพื่อเป็นประจักษ์พยานการตระหนักรู้ของเขาและยกระดับเป็นบรรพชนวิญญาณ…
ซูหมิงมองพวกเขาเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ เขาถึงกล่าวเบาๆ ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย
“การสร้างของข้าคือจะสร้างเผ่าหมานใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง ให้วิญญาณพวกเจ้าได้มีที่พักผ่อน! นี่คือการสร้างของข้า และก็เป็นการสร้างของเทพหมานอย่างข้า!” พริบตาที่เขาเอ่ยออกไป วิญญาณทั้งหมดรอบตัวต่างคารวะเขาพร้อมกัน