Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1206

ตอนที่ 1206 กลับดาราสัจธรรม

เขาปล่อยให้ชาวเผ่ากระโจนเข้ามากัดร่างตนดั่งสัตว์ร้าย ฉีกเลือดเนื้อเขาแล้วก็กินเข้าไปทั้งเป็น ทำให้กลิ่นอายพลังที่เหมือนจะกำเนิดมาจากตัวชาวเผ่าเหล่านี้เข้มข้นกว่าเดิม ถึงขั้นที่เกิดความรู้สึกตื่นเต้น

ชายชราน้ำตาไหล เขาก้มหน้ามองเด็กคนหนึ่งกำลังกอดร่างตนและฉีกบ่าตนอยู่ นั่นคือ เด็กน้อยในเผ่าที่เมื่อกลางวันยังถามคำถามเขาอย่างไร้เดียงสา แต่ยามนี้…

ชายชราเงยหน้าคำรามด้วยความเศร้าถึงขีดสุด เขาตัวสั่น นัยน์ตาฉายแววบ้าคลั่งสิ้นหวังและแค้นจนไม่อาจบรรยาย เขายกมือขวาขึ้นตบตรงระหว่างคิ้ว ดวงตาพลันขุ่นมัว จิตสำนึกหย่อนยานถูกพลังแห่งบรรพชนวิญญาณของตัวเขาเอง ทำให้ตัวเขาเหลือเพียงสัญชาตญาณ

เพราะเขาสังหารชาวเผ่าตัวเองในยามที่มีสติไม่ได้

เมื่อจิตสำนึกหายไป เมื่อในร่างกายเหลือเพียงสัญชาตญาณ ดวงตาเขาสับสน มือขวาบีบคอเด็กน้อยคนนั้น ก่อนหมุนตัวพุ่งไปยังชาวเผ่าที่กำลังตรงมาหาเขา

การสังหารนองเลือดได้เริ่มขึ้นตอนนี้ ชาวเผ่าที่ควบคุมร่างกายไม่ได้แต่มีสติได้แต่มองท่านปู่ดับวิญญาณพวกเขาด้วยความเจ็บปวด

การสังหารดำเนินไปได้ไม่นาน เมื่อชาวเผ่าตายไปทีละคน เมื่อเสื้อคลุมชายชราคนนั้นค่อยๆ กลายเป็นสีโลหิต แผ่นดินนองไปด้วยเลือด ทั่วทุกสารทิศอัดแน่นไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ตอนนี้เองสายฟ้าสีแดงนั้นกับใบหน้ายักษ์เจ็ดใบหน้ารอบๆ บนฟ้ามองทุกอย่างด้วยความเย็นชา

ซูหมิงไม่ได้ตายเป็นคนสุดท้าย แต่แม้ร่างกายเขาจะไม่มีกลิ่นอายพลัง แต่วิญญาณเขายังอยู่ มองผ่านดวงตาที่เปิดอ้าก่อนตายก็ยังได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นรางๆ

จนกระทั่งซูหมิงเห็นว่าชายชราสังหารชาวเผ่าคนสุดท้ายแล้ว เขาตัวสั่นและเหมือนได้สติกลับมา เขากอดศพเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ดังก้อง ยามนี้เองเจ็ดใบหน้ายักษ์บนฟ้าหายไป รวมถึงสายฟ้าสีแดงนั้นก็ค่อยๆ หายไปด้วย

ทุกอย่างที่ซูหมิงเห็นตอนนี้กลายเป็นเลือนราง กลายเป็นน้ำวนยักษ์ดึงวิญญาณเขาออกจากร่างคนนั้นที่ตายไป ดูดเข้าไปในน้ำวน

เมื่อซูหมิงได้สติกลับมา เขารู้สึกเวียนหัว มืดฟ้ามัวดิน ราวกับทุกอย่างพลิกกลับ เวลาก็ดี อากาศก็ดี ทั้งโลกดูยุ่งเหยิง จนกระทั่งมีมือใหญ่ข้างหนึ่งคว้าแผ่นหลังเขาเอาไว้แน่นก่อนกระชากออกมาจากน้ำวนยักษ์

โลกพลันชัดเจนทั้งหมด เมื่อเขาถูกชายชราดึงออกมาจากในรอยแยกแล้ว ความรู้สึกวิญญาณกลับสู่ร่างและยังมีการสั่นไหวระหว่างจิตใจเพราะการข้ามผ่านอดีตและปัจจุบันทำให้เขาหน้าขาวซีดและถอยไปหลายก้าว ก่อนนั่งขัดสมาธิลงเพื่อปรับจิตใจให้นิ่ง

ผ่านไปพักใหญ่ถึงลืมตาขึ้น ก็ยังมีความรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย แต่ก็ทนความรู้สึกไม่สบายนี้ไหว ดวงตาเขาเต็มไปด้วย

เส้นเลือดฝอย หูสองข้างมีโลหิตไหล ยามที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นชายชราเผ่าวิญญาณสวรรค์กำลังเพ่งมองตน

“เจ้าเห็นอะไร?” ชายชราเห็นซูหมิงลืมตาจึงถามขึ้นในฉับพลัน แม้สีหน้าจะดูเหมือนจริงจังเล็กน้อย แต่ความจริงแล้วในใจเขาสนใจมาก เขารอวันนี้มานานมากแล้ว ไม่รู้กี่ปีมานี้ เขาหาคนที่จะไปดูอดีตมาโดยตลอดว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น เหตุใดตนถึงเป็นแบบนั้น

เขาจำตอนนั้นได้ไม่มากนัก เหมือนว่าความทรงจำช่วงนั้นถูกตัดขาดไป เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนตัด และเขาก็ปรารถนาจะรู้คำตอบทุกอย่าง

แต่จนกระทั่งซูหมิงมาถึง ก่อนหน้านี้เขาเคยลองมาแล้วหลายครั้ง แต่ทุกคนที่เข้ามาที่นี่จะล้มเหลวตอนยกระดับวิญญาณ ส่งผลให้เขาทำตามความคิดนี้ไม่ได้

การมาของซูหมิงก่อให้เกิดผลสำเร็จในที่สุด ทำให้เขาได้เห็นความหวัง

โดยเฉพาะตอนนี้ซูหมิงกลับมาจากอดีตแล้ว เขาจึงอยากรู้คำตอบอย่างยิ่ง

“หานตี๋…” ซูหมิงมองชายชราอย่างซับซ้อน เขาเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยเสียงต่ำ

สิ้นเสียงเขา ชายชราตัวสั่นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายแสงเด่นชัดจ้องซูหมิง

“ข้าจำนามนี้ได้ นั่นคือชาวเผ่ารุ่นเยาว์คนหนึ่งในเผ่าวิญญาณสวรรค์ เจ้า…”

“ร่างกายข้าไม่ได้เข้าไปในยุคสมัยโบราณ หลังวิญญาณข้าเข้าไปแล้วก็ไปหลอมรวมอยู่ในร่างเด็กหนุ่มนามหานตี๋ ได้เห็นท่านอธิบายเรื่องเต๋ารกร้างให้กับพวกเขาฟัง…” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก สายตามองชายชราพลางพูดช้าๆ

“จนกระทั่งท่านอธิบายเรื่องเต๋ารกร้างจบ…”

“วิหารเหล่าเทพปรากฏขึ้น…ท่านหลอมรวมกับเทพบรรพชนแถวที่เจ็ดนับจากล่างสุด…”

“สายฟ้าสีแดง…ใบหน้ายักษ์ที่รวมจากสัตว์รกร้าง…สายฟ้ามาเยือน…ชาวเผ่า แสนคนคลุ้มคลั่ง…” ซูหมิงกล่าวนิ่งๆ เล่าทุกอย่างที่เห็นในยุคโบราณโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย ชายชราตรงหน้าตัวสั่นพลางฟังเงียบๆ นัยน์ตามีความเจ็บปวดและหวนคะนึงคิด ราวกับว่านำคำพูดซูหมิงมารวมกับความทรงจำที่ขาดหายไป เชื่อมความทรงจำเข้าด้วยกันแล้วแผ่กระจายออกใหม่อีกครั้ง

ตอนที่ซูหมิงเล่าว่าชาวเผ่าแสนคนถูกสายฟ้ามุดเข้าไปในร่างและพุ่งออกไปพร้อมกันนั้น ชายชราเงยหน้ามองฟ้าเงียบๆ น้ำตารินไหล ยามนี้เขาคือผู้ฝึกฌานแก่กล้าที่สำเร็จการยกระดับวิญญาณแปดครั้ง และก็เป็นชายชราน่าสงสารที่สูญเสียชาวเผ่า เสียญาติพี่น้อง

“ภัยพิบัติรกร้างมาเยือนพวกเขา ทุกคนกลายเป็นส่วนหนึ่งของภัยพิบัติรกร้าง ข้า…ลงมือสังหารพวกเขา เพราะหากพวกเขาไม่ตาย หลังร่างพวกเขาแห้งลงแล้วจะถือกำเนิดสัตว์รกร้าง…” หลังซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง ชายชราพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงมี ความเศร้าและเจ็บปวดเด่นชัด

“พวกเขาเสียจิตสำนึก พวกเขาไม่ใช่พวกเขาอีก…ข้าสังหารพวกเขา ก่อนลงมือข้าสลายจิตสำนึกตัวเองไปเหมือนกัน ข้าจงใจไม่ให้นึกถึงเหตุการณ์นั้นไปชั่วนิรันดร์” ชายชรากล่างเบาๆ แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหัวเราะเสียงดัง ในเสียงหัวเราะมีความเศร้าและคลุ้มคลั่ง ซ้ำยังมีความเสียใจและสิ้นหวังไม่อาจบรรยาย

“เป็นเช่นนี้จริงๆ แทบจะตรงตามจริงดังที่ข้าคาดเดามาตลอดหลายปี เป็นเช่นนี้จริงๆ มิเช่นนั้นแล้ว เหตุใดหลังผ่านเรื่องนี้แล้วข้าถึงยกระดับวิญญาณครั้งที่เจ็ดอีกครั้ง… ข้านึกออกนานแล้ว จะต้องเป็นเช่นนี้แน่ๆ !” ชายชราแทบจะคลุ้มคลั่ง ขณะพูดพึมพำ ซูหมิงข้างๆ ลอบถอนหายใจอยู่ภายใน

เขาไม่ได้บอกชายชราว่าชาวเผ่าที่ถูกเขาสังหารแท้จริงแล้วยังมีสติ และเพราะ มีสติจึงรู้ชัด เห็นชัดว่าท่านปู่ที่พวกเขาเคารพสังหารพวกเขา

“เป็นแบบนี้จริงๆ นี่คือคำตอบที่ข้าตามหามาหลายปีและอยากยืนยัน ภัยพิบัติรกร้างปลอมเป็นเหล่าเทพ ล่อให้ข้ายกระดับวิญญาณ ปลูกเงารกร้างในตัวข้า เปลี่ยนจิตใจข้า ดีจริงๆ ภัยพิบัติรกร้าง!” ชายชราเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ในเสียงหัวเราะมีความบ้าคลั่ง ตอนที่เขาน้ำตาไหลยังทำให้ซูหมิงรู้ว่าตลอดหลายปีมานี้ชายชราเข้าใจทุกอย่างแล้ว

เขาเพียงแค่ต้องการคำตอบเพื่อยืนยัน แม้เขาจะมีคำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ต้องการยืนยัน เพราะเขาไม่อยากเชื่อมัน

ทว่ายามนี้ซูหมิงกลับมาและบอกสิ่งเหล่านี้ เลยทำให้ความลังเลเสี้ยวหนึ่งในใจชายชราถูกทำลายไป ให้เขารู้ว่าเดิมทีคำตอบอยู่ในใจตนมาตลอด

ซูหมิงมองชายชรา เขาพลันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชายชราถึงให้ภัยพิบัติรกร้างเกิดขึ้นกับตน เพราะว่า…เขาอยากแก้แค้น อยากท้ารบกับภัยพิบัติรกร้างเพื่อชาวเผ่า

“ข้าจะออกจากที่นี่พร้อมกับเจ้า ตอนที่ภัยพิบัติรกร้างของเจ้ามาถึง ข้าจะต่อต้านมันให้เจ้าเอง!” ชายชราสะบัดแขนเสื้อปิดซ่อนความคลุ้มคลั่งในแววตา จากนั้นมอง ซูหมิงด้วยความยึดมั่นและเด็ดขาดพร้อมเอ่ยขึ้นเนิบๆ

ฟ้าดินเกิดเสียงครึกโครม เมื่อสิ้นคำพูดชายชรา โลกของวิหารเหล่าเทพเกิดน้ำวนยักษ์ขึ้น มันหมุนโคจรพร้อมเสียงดัง

อึกทึก เห็นรางๆ ว่าในนั้นเหมือนมียันต์แผ่นหนึ่ง ซูหมิงมองแวบเดียวก็จำได้แล้วว่านั่นคือ ยันต์กดตะวัน

เพียงแต่ซูหมิงเห็นแค่แผ่นหลังยันต์ เห็นได้ชัดว่าด้านหน้ามันคือในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม

หากเข้าไปในน้ำวน ผ่านยันต์นั้น ก็จะออกจากโลกวิหารเหล่าเทพกลับโลกแท้จริงดาราสัจธรรม!

ซูหมิงกวาดสายตามองน้ำวนแล้วก็มองชายชรา

“ไม่เห็นผู้อาวุโสต้องทำเช่นนี้เลย ท่านยกระดับวิญญาณสำเร็จแปดครั้งแล้ว อีกครั้งเดียวก็จะก้าวสู่ขอบเขตเทพบรรพชน เรื่องนี้….”

“ข้ามีปราการจิตใจ ถึงยกระดับเก้าครั้งเป็นเทพ ข้าก็ไม่ได้เป็นเทพบรรพชนแห่งวิญญาณ แต่เป็นเทพแห่งภัยพิบัติรกร้าง เรื่องนี้เจ้ายังยกระดับวิญญาณน้อยอยู่ ภายภาคหน้าเจ้าจะเข้าใจเอง

มีแต่ทำลายปราการจิตใจเท่านั้น ไม่ว่าเป็นหรือตาย สำหรับข้าแล้วคือการหลุดพ้น! นี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้าจงใจให้ภัยพิบัติรกร้างเกิดกับตัวเจ้า เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า แต่ตอนที่ข้าช่วยเจ้าต้านภัยพิบัติรกร้าง สำหรับเจ้าแล้วมันจะเป็นประสบการณ์ที่ยากจะหาได้ จะมีประโยชน์ต่อเจ้าอย่างยิ่ง” ชายชราเงียบไปครู่หนึ่งก่อนส่ายศีรษะพลางตอบกลับช้าๆ

“ไปเถอะ นี่เป็นครั้งแรกในรอบไม่รู้กี่ปีที่ข้าออกจากที่นี่!” ชายชรามองซูหมิงแวบหนึ่ง ซูหมิงเงียบอยู่ชั่วครู่ เขาไม่พูดตอบอีก แต่ขยับวูบไหวพุ่งไปยังน้ำวนบนฟ้า ชั่วพริบตาก็เข้าไปในน้ำวน มุ่งหน้าไปยังยันต์กดตะวัน วูบเดียวก็เข้าไปตรงกลาง เขารู้สึกเหมือนพุ่งออกจากผิวน้ำ จนเมื่อทุกอย่างตรงหน้าชัดเจน เขาเห็นฟ้ากระจ่างดาวโลกดารา สัจธรรมที่คุ้นเคย!

มวลอากาศข้างกายบิดเบี้ยว ชายชราเผ่าวิญญาณสวรรค์ที่อยู่ในโลกแห่งวิหารเหล่าเทพมาแต่โบราณและไม่เคยออกมาเดินออกมาสู่โลกภายนอกเป็นครั้งแรก

“ที่นี่คือสมัยของพวกเจ้ารึ…พลังฟ้าดินเบาบาง ทุกสิ่งมีชีวิตเสื่อมทราม และยังมีกลิ่นอายพลังที่เต็มไปด้วยความคิดแห่งยมโลกของเผ่ายมโลกใหญ่อีก” ชายชรามองไปโดยรอบแวบหนึ่ง แล้วมองฟ้าไกลๆ พลางเอ่ยเรียบนิ่ง

“ตรงนั้นมีสงคราม”

ดวงตาซูหมิงวาววับ เขามองตามชายชราไป สีหน้าพลันฉายประกายเย็นชาและไร้เหตุผล

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version