Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1205

ตอนที่ 1205 ความจริง

ซูหมิงมองชายชรา เขาคุ้นตาชายชราคนนี้ นั่นคือชายชราผู้โดดเดี่ยวแห่ง เผ่าวิญญาณสวรรค์ที่ส่งเขามาที่นี่ ตอนนี้ความเมตตาในสีหน้าอีกฝ่ายมีความต่าง อย่างยิ่งกับความทะมึนทึบเป็นบางครั้งของชายชราในความทรงจำซูหมิง

เขาเข้าใจ วันนี้น่าจะเป็นวันสุดท้ายก่อนที่ชายชราเผ่าวิญญาณสวรรค์ยกระดับวิญญาณครั้งที่เจ็ด จากนี้จะเป็นมหันตภัยของทุกคนในเผ่าวิญญาณสวรรค์

ภายใต้มหันตภัยนี้ ทุกสิ่งมีชีวิตในเผ่านี้ ชาวเผ่าวิญญาณสวรรค์ทุกคนรอบตัวจะกลายเป็นวิญญาณโดดเดี่ยว ถูกท่านปู่ของพวกเขาสังหารด้วยมือตัวเอง

ซูหมิงก้มหน้าลงต่อสายตาและคำพูดของชายชราในยุคโบราณ ก่อนเลือกนั่งอยู่ที่หนึ่ง

ชายชราคนนั้นยิ้มพลางส่ายศีรษะและไม่ได้ถามต่อ แต่มองเด็กทุกคนในเผ่ารอบตัวด้วยสีหน้าเมตตามากขึ้น เขารู้ว่าคนเหล่านี้ตรงหน้าตนคือความหวังในอนาคตของเผ่า

“เต๋ารกร้าง เจตนารมณ์แห่งสวรรค์คือรากฐานของหมื่นสรรพสิ่ง เหมือนกับ ชาวเผ่าของเผ่าวิญญาณสวรรค์ แต่ความจริงแล้วพวกเจ้าคือส่วนหนึ่งของเต๋ารกร้าง

ความหมายของเต๋ารกร้างคือทุกคนสำเร็จเต๋ารกร้างได้ และก็ไม่ใช่ทุกคนที่สำเร็จเต๋ารกร้าง นี่คือความหมายเดิม มีความซับซ้อนเล็กน้อย พวกเจ้าไม่ต้องเข้าใจจริงๆ ก็ได้ ขอเพียงจำเอาไว้ในใจ บางทีในอนาคตอาจมีหนึ่งในพวกเจ้าที่เข้าใจว่าอะไรคือเต๋ารกร้าง” ชายชรากล่าวช้าๆ ใช้การถ่ายทอดความรู้ด้วยวิธีนี้

ซูหมิงมองชายชรา เขามองแวบเดียวก็รู้ว่าตอนนี้พลังชายชราอ่อนแอกว่าอนาคตมาก แต่ถึงจะมีความต่างมากกว่านี้อีก ตอนนี้ชายชราก็เป็นบรรพชนวิญญาณ อีกทั้งยกระดับวิญญาณสำเร็จมาหกครั้งแล้ว เพียงแต่ว่าเขาในตอนนี้มีสีหน้าสุขสบาย มิใช่ในอนาคตที่มีความเหงากับเศร้าโศกในความเฉยชา

เวลาผ่านไป ไม่นานยามกลางคืนก็มาถึง ชายชราอธิบายเต๋ารกร้างจนจบ ภายในชนเผ่ายามค่ำคืน ทุกแห่งถูกจุดด้วยคบเพลิง กลางแสงเพลิงนั้น ส่องสะท้อนออกมาเป็นความมืดและสว่างตัดสลับกันในชนเผ่า

ซูหมิงนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของเผ่า มองดาวบนฟ้า มองคบเพลิงในเผ่าด้วยสีหน้าขบคิด

‘คนที่สังหารชาวเผ่าคือชายชราคนนั้น จุดนี้เขาเองก็รู้ดี สำคัญคือเขาเสียสติตอนข้ามผ่านภัยพิบัติรกร้าง…เขาอยากให้ข้ากลับมาเพื่อบอกความจริงทุกอย่างที่เห็นกับเขา ตัวเขาน่าจะมีคำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่มั่นใจนักเลยให้ข้ามาดูด้วยตาตัวเองเพื่อยืนยันคำตอบในใจ

ภัยพิบัติรกร้าง…คืออะไรกันแน่ เหตุใดถึงทำให้คนเสียสติ’ ซูหมิงมองเรื่องราวที่ตนมาที่นี่ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ตอนนี้มองฟ้าพลางรอเวลาผ่านไปเงียบๆ

ในค่ำคืนมีสายลม มันพัดคบเพลิงจนเกิดเสียงดังซ่าๆ คืนนี้ไม่มีชาวเผ่าคนใดพักผ่อน แต่ตอนที่ใกล้จะถึงเที่ยงคืน ชาวเผ่าทุกคนต่างมาอยู่ใต้แท่นยกระดับวิญญาณยักษ์กลางเผ่า ชาวเผ่าเกือบแสนคนล้วนเงยหน้ามองแท่นยกระดับวิญญาณสูงในยามค่ำคืน มองท่านปู่ของเผ่า เพราะอีกไม่นานเขาจะยกระดับวิญญาณครั้งที่เจ็ดแล้ว

ซูหมิงเองก็มองอยู่ในกลุ่มคนเงียบๆ เช่นกัน เขามีเวลาเพียงสองวันในยุคสมัยโบราณเท่านั้น ตอนนี้ผ่านไปวันหนึ่งแล้ว เขาเข้าใจว่าเหตุร้ายจะเกิดขึ้นในคืนวันสุดท้าย

ดวงตาสองข้างวาววับ แต่กลับมองเห็นรูปลักษณ์ชายชราบนแท่นยกระดับวิญญาณไม่ชัด เห็นเพียงเค้าโครงเลือนราง

เวลาผ่านไปช้าๆ ยามเที่ยงคืนค่อยๆ ใกล้เข้ามา แต่ซูหมิงกลับขมวดคิ้ว ตัวเขาเป็นบรรพชนวิญญาณ แม้กลับมายุคโบราณแล้วก็ยังรู้สึกว่าตนเป็นบรรพชนวิญญาณ แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกว่าวิหารเหล่าเทพจะปรากฏเลย

นัยน์ตาซูหมิงฉายแววลังเล ตอนนี้เองมีเสียงตะโกนดังแว่วมาจากบนแท่นยกระดับวิญญาณกลางความมืดข้างบน ต่อมาชาวเผ่าวิญญาณสวรรค์ทั้งหมดโดยรอบต่างมีสีหน้าฮึกเหิมและตะโกนไปพร้อมกัน

“วิญญาณสวรรค์!”

“วิญญาณสวรรค์”

เสียงดังกึกก้องราวกับหลอมรวมกับเสียงตะโกนของชายชราบนแท่นยกระดับวิญญาณข้างบนกลายเป็นเสียงดังสนั่นกึกก้อง ทันใดนั้นผืนฟ้าจากมืดมิดเกิดแสงสว่าง กลางแสงสว่างนี้ปรากฏวิหารสยบวิญญาณขึ้นเจ็ดหลัง พอล้อมรอบแล้ว ชาวเผ่า บนพื้นต่างโห่ร้องด้วยความฮึกเหิมยิ่งกว่าเดิม ฟ้าดินเกิดเสียงดังสนั่น ก่อนปรากฏวิหารยักษ์หลังหนึ่ง

ซูหมิงคุ้นหน้ำตาวิหารนั้น นั่นคือ วิหารเหล่าเทพ

พอเห็นถึงตรงนี้ ปมคิ้วเขาคลายออกช้าๆ เขามองวิหารเหล่าเทพนั้น มองร่างเงาสีทองสองพันกว่าคนทยอยกันปรากฏมาแล้ว ความมืดทั้งหมดโดยรอบจึงถูกขับไล่ออกไปกลางแสงทอง เกิดเป็นแสงสว่างของเหล่าเทพ

ชาวเผ่าวิญญาณสวรรค์ข้างกายซูหมิงต่างหยุดโห่ร้อง แต่กลายเป็นตึงเครียดแทน ต่างมองชายชราบนแท่นยกระดับวิญญาณ ตอนนี้ชายชรายืนขึ้น ภายใต้แสงสว่างปกคลุมแบบนี้ ชาวเผ่าข้างล่างจึงเห็นหน้ำตาเขา

ชายชรามีสีหน้ามั่นใจ ราวกับเขารู้ลำดับของการยกระดับวิญญาณครั้งที่เจ็ด ตอนนี้ขยับวูบไหวกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยังเทพบรรพชนหนึ่งในแถวที่เจ็ดนับจากข้างล่าง

ซูหมิงมองภาพนี้อย่างมีสมาธิ ในความรู้สึกเขาอีกฝ่ายต้องสำเร็จแน่ จากนั้น ภัยพิบัติรกร้างจะมาเยือน เหตุไม่คาดคิดจะเกิดขึ้นตอนนั้น ดังนั้นแม้ตอนนี้ซูหมิงจะใจจดใจจ่อ ทว่าสายตาก็ยังมองเทพบรรพชนลำดับที่เจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดแถวล่างสุด แวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก นั่นคือเทพบรรพชนที่เขาหลอมรวมด้วยก่อนหน้านี้

พอมองไป เขาพลันหรี่ตาลง สีหน้าอึ้งงัน เพราะเขาเกิดความรู้สึกแปลกตามากกับ เทพบรรพชนลำดับที่เจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดในแถวล่างสุด เหมือนกับว่า…เทพบรรพชนคนนี้ไม่ใช่คนนั้นที่เขาหลอมรวมด้วย

เป็นที่รู้ว่าถึงจะห่างกันในด้านเวลา แต่ในเมื่อซูหมิงเคยหลอมรวมกับเทพบรรพชนคนนี้แล้ว เช่นนั้นระหว่างเขากับเทพบรรพชนคนนี้ย่อมมีความรู้สึกอยู่เสี้ยวหนึ่ง ความรู้สึกนี้ใช้การตระหนักรู้ของเขาเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายที่แม้แต่เวลายังตัดขาดไม่ได้ แต่เวลานี้เทพบรรพชนทำให้เขารู้สึกแปลกตา…

ชั่วพริบตาที่ความรู้สึกนี้โผล่ขึ้นมา ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายชราคนนั้นเข้าไปใกล้เทพบรรพชนที่ตนเลือกในแถวที่เจ็ดนับจากข้างล่าง ตอนนี้เองซูหมิงเกิดความคิดหนึ่งขึ้น

‘ไม่ถูกต้อง!’ ซูหมิงใจสั่นสะท้าน ความรู้สึกไม่ถูกต้องรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เว้นแต่เขาจะเข้าใจผิดไปจริงๆ ถึงแม้จะเคยหลอมรวมกันก่อนหน้านี้ ทว่าในยุคโบราณเขายังไม่รู้จักกับเทพบรรพชนคนนั้น แต่หากไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว…ก็มีคำตอบเดียวที่เขายังรู้สึกว่าเหลือเชื่อ

‘หรือว่าวิหารเหล่าเทพที่ปรากฏนี้…จะเป็นของปลอม!’ การคาดเดานี้ทำให้ซูหมิงรู้สึกเหลือเชื่อ แต่ยามนี้เอง ชายชราคนนั้นหลอมรวมกับเทพบรรพชนแถวที่เจ็ดนับจากข้างล่างแล้ว ทั่วร่างเปล่งแสงทองหมื่นจั้งขณะหล่อหลอม ซ้ำยังส่งเสียงคำรามต่ำ

ทุกอย่างดูเหมือนจริงอย่างยิ่ง อดทำให้ซูหมิงเกิดความลังเลต่อการคาดเดาและวิเคราะห์ของตนไม่ได้

เสียงโห่ร้องรอบๆ ดังก้องอีกครั้ง นั่นคือชาวเผ่าวิญญาณสวรรค์ทั้งหมดที่เห็นท่านปู่สำเร็จอีกครั้งแล้วก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ

ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง การคาดเดาของซูหมิงสั่นคลอนยิ่งกว่าเดิม แต่สั่นคลอนได้เพียงสามลมหายใจ เขาพลันหรี่ตาลง สูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ

แสงทองหมื่นจั้งอยู่บนฟ้า แต่ในมุมมองซูหมิง ชายชราแสงทอง…มีสีหน้าเจ็บปวดและตื่นกลัว เหมือนอยากจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่เหมือนทำไม่ได้ ผู้แข็งแกร่งทุกคนในเผ่าต่างเห็นภาพนี้เหมือนกัน

ขณะเดียวกันบนฟ้าเกิดเสียงระเบิดดังก้อง วิหารสยบวิญญาณเจ็ดหลังขยับไหวกลายเป็นใบหน้ายักษ์เจ็ดใบหน้า พวกมันร้องคำรามอย่างน่าประหลาดและดุร้าย ใบหน้ายักษ์เหล่านี้ทำให้ซูหมิงใจสั่นอย่างรุนแรง เพราะเขาคุ้นกับใบหน้านี้ นั่นคือใบหน้าที่รวมจากสัตว์รกร้างที่เขาเคยเห็น!

ต่อมาวิหารเหล่าเทพยักษ์ขยับไหวเช่นกัน กลายเป็นสีแดงฉาน ทั้งวิหารเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีแดงยักษ์สายหนึ่งพุ่งไปยังชายชรา

หากสายฟ้าสีแดงโจมตีใส่ชายชราเฉยๆ ก็คงไม่เป็นอะไร แต่ทันทีที่สายฟ้าปะทะตัวชายชราก็พลันแยกออกจนมีจำนวนเกือบแสนส่วนพุ่งลงไปยังพื้นดิน มุดเข้าไปในระหว่างคิ้วชาวเผ่าทุกคน ชาวเผ่าเหล่านี้ต่างตัวสั่นและเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า เสียงแหลม

ร่างซูหมิงก็ไม่ละเว้น หลังถูกสายฟ้านั้นมุดเข้ามาแล้ว ตัวเขาสั่นไหว เกิดความรู้สึกบ้าคลั่งขึ้น แต่ความรู้สึกนี้ไม่ได้รบกวนจิตสำนึก เพียงแค่เหมือนถูก ยึดร่างไปในขณะที่สติยังชัดเจน ทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้

ต่อมาซูหมิงเห็นว่าชาวเผ่าที่นี่รวมถึงตัวเองต่างลอยขึ้น ร่างเงาแสนคนพุ่งไปยังชายชราบนฟ้าด้วยดวงตาแดงก่ำและคลุ้มคลั่ง

ภายในร่างเงาเหล่านี้มีเด็กไม่น้อย แต่ยามนี้เด็กเหล่านั้นต่างมีสีหน้าเหี้ยมโหด ดวงตาแดงก่ำ ร้องคำรามดั่งสัตว์ป่า

ยามที่พุ่งออกไป ภายในร่างชาวเผ่าแสนคนพลันมีพลังมหาศาลที่เหนือกว่าพลังพวกเขาปะทุออกมา จากนั้นพุ่งไปหาชายชราประหนึ่งสัตว์ป่าที่เสียสติ ดูจากท่าทางพวกเขาแล้วเหมือนอยากจะกินชายชรา

มิหนำซ้ำในตัวชาวเผ่าแสนคนตอนนี้มีใบหน้าดุร้ายนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา คลับคล้ายว่ากำลังสูบเลือดเนื้อและวิญญาณชาวเผ่าเหล่านี้อยู่ ส่งผลให้ชาวเผ่าทุกคนร่างแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว ในดวงตาสีแดงโลหิตเหมือนว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งกำลังจะกำเนิดมาจากในร่างกายพวกเขา

ภาพนี้ทำให้ซูหมิงใจสั่นรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ร่างกายเขาก็เช่นกัน แต่เขาไม่ได้สนใจนัก เพียงเพ่งมองฟ้า เขาเห็นว่าชายชราคนนั้นลืมตามองชาวเผ่ารอบๆ ด้วยสีหน้าเศร้าโศก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version