Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1233

ตอนที่ 1233 พระชายาหมาน

ซูหมิงยึดครองโลกแท้จริงดาราสัจธรรม รวมเป็นร่างแยกโลกแท้จริง แม้ที่นี่ จะไม่อยู่ในพื้นที่ของโลกแท้จริงดาราสัจธรรม แม้ที่นี่จะเป็นน้ำวนมรณะหยิน แต่ด้วยความสูงของระดับชีวิตซูหมิง มังกรจากกลิ่นอายมรณะเล็กจ้อยนี้จึงล่วงเกินเขาไม่ได้แม้แต่น้อย

เหมือนกับผู้อยู่เบื้องบน แม้จะไม่ใช่ทหารของตนอีก แต่ก็ยังล่วงเกินไม่ได้ง่ายๆ

หลังคำรามใส่มังกรแห่งกลิ่นอายมรณะจนหนีไปแล้ว ซูหมิงก็เดินเข้าไปใน รอยแยกทางเข้าโลกหมานด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าทันทีที่จะเข้าไปและร่างจะหาย ไปนั้น เขาพลันหน้าเปลี่ยนสี เหมือนจะเข้าใจยากเล็กน้อย ดูตกใจและประหลาดใจเล็กน้อย ไม่นานก็เกิดความตื่นตะลึง

ซูหมิงรู้สึกถึงพลังแห่งกฏชะตาเข้มข้นที่ยากจะบรรยาย กฏชะตานี้มีอยู่ราวๆ สองแสนสาย ทว่าระดับความเข้มข้นของทุกสายเทียบได้กับของผู้ฝึกฌานที่เขาประทับตราในโลกดาราสัจธรรมมากกว่าสามร้อยคน หรือพูดได้ว่าพลังแห่งกฏชะตาสองแสนสายนี้เทียบได้กับรวมพลังกฏชะตาจากผู้ฝึกฌานข้างนอกหกสิบล้านคน

เพียงเท่านี้ซูหมิงก็ตกตะลึงใหญ่แล้ว จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลังจากกฏชะตานอกเหนือจากสองแสนสายนี้ เขายังรู้สึกถึงกฏชะตาอีกราวๆ เกือบล้านสายกระจายกันอยู่ พลังจากกฏชะตาเหล่านี้ แม้จะเทียบไม่เท่ากับสองแสนสายนั้น แต่ทุกสาย ก็ยังพอๆ กับร้อยคนจากโลกข้างนอก

ทุกอย่างนี้จะไม่ทำให้เขาตกตะลึงได้อย่างไร หากเขาใช้งานกฏชะตาเหล่านี้ก็เท่ากับว่ามีกฏชะตามากกว่าร้อยล้านสาย กระทั่งเขายังส่งร่างแยกโลกแท้จริงลงไปเยือนเพื่อเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของโลกแท้จริงก็ยังได้

นัยน์ตาซูหมิงเป็นสมาธิ เขาก้าวเข้าไปในแผ่นดินหมานอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกถึงความข้นของกฏชะตาเหล่านี้อย่างชัดเจน แต่กลับไม่มีดวงจิตใดสูบได้ เพราะพลัง จากกฏชะตาเหล่านี้มีตราประทับอยู่ นั่นคือ…ตราประทับของซูหมิง

แทบเป็นทันทีที่ร่างเงาซูหมิงหายไป ณ โลกที่ตี้เทียนอยู่กลางน้ำวนมรณะหยิน ตี้เทียนที่นอนอยู่ในโลงลืมตาขึ้น ดวงจิตแผ่กระจายปกคลุมทั่วโลก

“ข้ารู้สึกถึง…กลิ่นอายพลังของซูหมิง!”

เมื่อดวงจิตตี้เทียนวนเวียนไปรอบๆ ทันใดนั้นปรากฏดวงจิตลงมาเยือนในโลกนี้ทีละสาย ทำให้ฟ้าดินเกิดเสียงครึกโครม มวลอากาศบิดเบี้ยวประหนึ่งเกิดวันสิ้นโลก

“ยังไม่ถึงเวลาออกไป เด็กคนนี้มาแล้ว…ปล่อยเขาไป…”

“น้ำวนมรณะหยิน…ห้ามรบกวน…”

“ผู้ติดตามแห่งซังผู…ตาย ปกปิดร่องรอยได้มากกว่า…”

“ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนมาเยือน สามรกร้างพังพินาศทั้งหมด จนกระทั่งมัน…มาถึง…ถึงจะเป็นเวลาที่พวกเราออกไป”

ดวงจิตเหล่านี้มีความแก่ชรา หลังสัมผัสกับดวงจิตตี้เทียนแล้วก็ค่อยๆ หายไป จากนั้นรอยแยกทางเข้าแปดโลกในน้ำวนมรณะหยินหุบลงแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับหายไปชั่วนิรันดร์กลางหลายหมื่นโลก

…………….

ณ แผ่นดินหมาน ท้องฟ้าไม่ใช่สีครามอีก แต่เป็นสีเหลืองดิน หากมองดีๆ จะสังเกตเห็นรางๆ ว่าเหมือนมีวงแสงสีเหลืองดินวงหนึ่งกลางฟ้า หลอมรวมกับ แสงตะวันสาดส่องลงบนมหาสมุทร

ทั้งผืนดิน มองไปเป็นทะเลกว้างใหญ่ คลื่นทะเลสูงเป็นสีดำดั่งน้ำหมึก ดำจนรวมเป็นปึกแผ่น คลื่นลูกใหญ่ราวกับของเหลวต่างๆ ผสมเข้าด้วยกัน…

มีหมู่เกาะอยู่จำนวนมาก มองไม่เห็นแผ่นดิน บางทีหมู่เกาะที่ค่อนข้างใหญ่ก็อาจเรียกว่าแผ่นดินใหญ่ของที่นี่แล้ว

สี่แผ่นดินใหญ่ในตอนนั้น จากการเปลี่ยนแปลงพันปี หรืออาจจะผ่านการทำลายล้าง ที่ลึกซึ้งบางอย่างมาเลยทำให้แผ่นดินใหญ่ที่นี่แตกออกเมื่อไรไม่รู้ ไม่จมลง กลางมหาสมุทรก็กลายเป็นเกาะโดดเดี่ยวไปแล้ว

เผ่าหมานก็ดี เผ่าเชมันก็ดี และยังมีคนที่ถูกเรียกว่าหมานชั่วร้าย แผ่นดินใหญ่ที่อาศัยอยู่ในตอนแรก ยามนี้สืบเชื้อสายต่อไปบนหมู่เกาะกลางทะเลมรณะ…

ไม่มีการแบ่งแยกแผ่นดิน ไม่มีความต่างของพื้นที่ สำนักในอดีตไม่หายไปก็ตกต่ำลง มีน้อยมากที่รุ่งเรือง ชนเผ่าในอดีตไม่หายสาบสูญไปก็ถูกฝังในทะเลลึก ดังนั้นแล้ว…วันนี้หลังผ่านมาพันปี จะเห็นชนเผ่ากลางโลกเผ่าหมานน้อยมาก สำนักขนาดใหญ่ก็มีไม่มากแล้ว

ส่วนใหญ่…คนจากทุกชนเผ่ากับสำนักที่อยู่บนเกาะเดียวกันจะสร้างขุมอำนาจและพันธมิตรขึ้นมาใหม่

มองจากมุมมองประวัติศาสตร์ เผ่าหมานได้ผลัดเปลี่ยน เดินออกจากยุคสมัยชนเผ่า และออกจากยุคสมัยสำนักเข้าสู่ยุคของทุกคนรวมกัน ไม่จำกัดสำนักหรือชนเผ่า แต่เป็นอีกเส้นทางหนึ่ง

เรื่องราวมากมายถูกจมอยู่ตรงส่วนลึกของมหาสมุทร ซากศพจำนวนมากซ่อนอยู่กลางซากปรักหักพังของทะเลลึก และก็มีความเสียดายและแสวงหามากมายที่เมื่อผ่านไปพันปีแล้ว บ้างก็ผ่านไป บ้างก็หายไปตามสายลม…

“เทพหมานรุ่นหนึ่งเลี่ยซานซิวให้เผ่าหมานเราผงาดขึ้นสิบล้านปี เทพหมานรุ่นสองชีวิตไม่ยืนยาว เป็นต้นเหตุให้แดนหมานแยกออก เทพหมานรุ่นสามยังเหลือ ดวงวิญญาณ ทว่าน่าเสียดายอาณาประชาราราษฎร์หาไม่พบ เทพหมานรุ่นสี่… เทพหมานรุ่นสี่…” เสียงเยาว์วัยค่อยๆ ดังก้องมาจากพื้นราบกลางภูเขาแห่งหนึ่งบนหมู่เกาะขนาดกลางบนทะเลมรณะ

ที่นั่นมีเด็กน้อยอายุราวเจ็ดแปดขวบอยู่สิบกว่าคนกำลังนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าขมขื่น เด็กคนหนึ่งในนั้นยืนอยู่ ตอนที่เล่าถึงเทพหมานรุ่นสี่ เห็นได้ชัดว่าเขาลืมไปแล้ว ก่อนมองชายชราที่นั่งขัดสมาธิตรงหน้าพวกเขาด้วยความหวาดกลัว

ชายชราสวมอาภรณ์เนื้อหยาบ เส้นผมขาว บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น กำลังมองเด็กคนนั้นที่กำลังหวาดกลัวด้วยสีหน้าเข้มงวด

“เทพหมานรุ่นสี่…เทพหมานรุ่นสี่…”

“เทพหมานรุ่นสี่ขับไล่พวกเซียน ดวงจิตและร่างกายเขาไม่มีวันสูญสลาย!” เด็กหญิงคนหนึ่งข้างเด็กชายคนนั้นถอนหายใจเบาแล้วพูดต่อทันที

หลังนางพูดจบ เด็กชายคนนั้นถอนหายใจอยู่ภายใน แต่ก็พูดเสียงดังขึ้นทันที

“ข้าก็นึกออกอยู่แล้ว ข้า…”

“เอาล่ะ!” ชายชราที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าเด็กกลุ่มนี้พูดขึ้นช้าๆ สิ้นเสียง เด็กเหล่านี้ต่างเชื่อฟังทันที

“พวกเจ้าคือบุตรของเผ่าหมาน พวกเจ้ามีสายเลือดของเผ่าหมาน จำข้อนี้ไว้ให้ดี จำเทพหมานรุ่นสี่ของเผ่าหมานเราให้ขึ้นใจ พวกเขายอมจ่ายทุกอย่างเพื่อให้เผ่าหมานเราผงาดขึ้น

โดยเฉพาะเทพหมานรุ่นหนึ่งที่สร้างความรุ่งเรืองให้กับเผ่าหมาน เทพหมานรุ่นสี่ใช้พลังของเขาคนเดียวรวมชนเผ่าหมานที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกัน และยังขับไล่ผู้ฝึกฌานแห่งเซียนที่กดขี่พวกเขาเยี่ยงทาสให้ออกจากแผ่นดินหมาน! เทพหมานสองท่านนี้ พวกเจ้าจงจำเอาไว้ชั่วชีวิต!” น้ำเสียงชายชราเด็ดขาดขึ้นเรื่อยๆ

เด็กเหล่านี้ต่างพยักหน้าทันใด พวกเขาจำนามของเทพหมานสี่ท่านเอาไว้ตลอด ไม่มีวันลืมชั่วนิรันดร์ ก่อนหน้านี้เด็กคนนั้นกังวลจริงๆ เลยลังเลอยู่เล็กน้อย

“พรุ่งนี้พวกเจ้าจะต้องทำพิธีชี้นำหมาน จะมีคุณสมบัติฝึกหมานหรือไม่ หลังจาก เติบใหญ่แล้วจะได้คำอวยพรจากพระชายาหมาน จะสำเร็จการฝึกชะตาชีวิตหรือไม่ก็ต้องดูที่โชควาสนาของพวกเจ้าแล้ว…” น้ำเสียงชายชราไม่เข้มงวดอีก แต่มี ความเมตตา

“ข้าอยากเป็นผู้ฝึกชะตาชีวิต!”

“ข้าก็อยากเป็นผู้ฝึกชะตาชีวิตเหมือนกัน นั่นคือชนเผ่าที่เทพหมานรุ่นสี่ฝากฝังเอาไว้ บิดาข้าก็เป็นผู้ฝึกฌานชะตาชีวิต…” เด็กเหล่านี้ต่างตื่นเต้นและพากันส่งเสียงดัง เสียงเยาว์วัยดังก้องในยามเช้าตรู่ หลอมรวมกับเสียงกระทบคลื่นจากรอบๆ แล้วดังแว่วไกลออกไป

“การจะเป็นผู้ฝึกฌานชะตาชีวิตไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ชะตาชีวิตคือชนเผ่าที่ ท่านเทพหมานรุ่นสี่ซูหมิงฝากฝังเอาไว้ด้วยตัวเองก่อนจะหายตัวไป…ผู้ฝึกฌานใน ชนเผ่านี้ใช้ชะตาชีวิตผงาดฟ้า ใช้การฝึกฝนแห่งชะตาชีวิตเปลี่ยนการหมุนย้อนของฟ้าดิน หากไม่มีจิตใจที่กล้าหาญก็ไม่มีทางฝึกชะตาชีวิตได้ และไม่คู่ควรจะเป็น ผู้ฝึกชะตาชีวิต” ชายชรากล่าวเนิบช้า ขณะเอ่ยยังเงยหน้าขึ้นมองไกลออกไป

มองไปตามสายตาจะเห็นว่ากลางมหาสมุทรที่ไม่ถือว่าห่างจากที่นี่ไปไกลมากนักมีหมู่เกาะอยู่แห่งหนึ่ง

บนเกาะนั้นดูเด่นตาที่สุด เป็นรูปปั้นชายหนุ่มยักษ์รูปหนึ่ง เขาสวมเสื้อคลุมขาวสีดำ เอามือไพล่หลัง เส้นผมและอาภรณ์

เหมือนถูกลมพัดขึ้น เขาเพ่งมองไกลออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง ทั้งรูปปั้นยังแผ่กระจายแรงกดดันรุนแรง

แรงกดดันปกคลุมไปรอบๆ ทำให้ในระยะหมื่นลี้รอบพื้นที่ทะเลไม่มีสัตว์ทะเลใดๆ กล้าเข้ามาใกล้เลย ตัวที่เข้าใกล้จะอ้อมไปเองอย่างรวดเร็ว

เห็นได้รางๆ ว่าใต้รูปปั้นบนของเกาะนั้นมีร่างเงากำลังคารวะอยู่ไม่น้อย…

พวกเขามีสีหน้าฮึกเหิมและเต็มไปด้วยความจริงใจ รูปปั้นตรงหน้าพวกเขา ในสายตาคนอื่นคือเทพหมานรุ่นสี่ แต่ในสายตานับรบหมานทั้งหมดบนเกาะนี้ รูปปั้นนี้คือจิตวิญญาณของพวกเขา เป็นบรรพบุรุษของพวกเขา เป็นเทพที่มอบความหวังในการมีชีวิตให้รวมถึงสร้างเผ่าชะตาชีวิตขึ้น

เผ่าชะตาชีวิต ห้ามล่วงเกิน เผ่าชะตาชีวิต ผงาดขึ้นด้วยตัวเอง!

เวลาพันปี แม้ตอนนี้หมู่เกาะเผ่าชะตาชีวิตจะยังมีขนาดเท่าเดิม แต่ผู้ฝึกฌาน เผ่าชะตาชีวิตในนั้นกลับมีมากถึงสามหมื่นคน และที่นี่…ถูกเรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์กลางเผ่าชะตาชีวิต

ความจริงแล้ว หมู่เกาะที่มีรูปปั้นซูหมิงแบบนี้กลางทะเลมรณะมีทั้งหมด สามสิบสามแห่ง ทุกแห่งล้วนมีผู้ฝึกชะตาชีวิตหลายพันไปจนถึงหลักหมื่น

พวกเขาไม่แทรกแซงสงครามระหว่างขุมอำนาจเผ่าหมานบนเกาะนับไม่ถ้วน ตำแหน่งพวกเขาเหนือกว่าทุกขุมอำนาจ คอยรักษาสมดุลโลกหมาน ปกป้องทะเลแห่งนี้ ศัตรูพวกเขามีสองอย่าง หนึ่งคือมหันตภัยจากสัตว์ที่จะปรากฏทุกช่วงเวลาในมหาสมุทรกว้างใหญ่

และอีกอย่างคือ…สิ่งมีชีวิตโลกข้างนอกที่จะลงมาเยือนเป็นบางครั้งจากใน วงแหวนสีเหลืองดินกลางฟ้า ทุกครั้งที่เกิดสองเรื่องนี้ คือเวลาที่ผู้ฝึกชะตาชีวิตจะเคลื่อนไหว

ในวันปกติ พวกเขาจะตั้งใจฝึกฝน คารวะรูปปั้น ยอมจ่ายชีวิตทั้งหมดเพื่อ เทพเจ้าของพวกเขา

ในสายตาชายชราคนนั้น ข้างหลังรูปปั้นอันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าชะตาชีวิตมีภูเขาลูกหนึ่ง บนภูเขามีพระราชวังยักษ์ที่ไม่เพียงหรูหรา แต่ยังอัดแน่นไว้ด้วยกลิ่นอายพลังเผ่าหมาน

รูปลักษณ์พระราชวังคล้ายกับวังจักรพรรดิต้าอวี๋ ตั้งตระหง่านสูงใหญ่อยู่กลางยอดเขา และยังมีแสงเปล่งมาจากในนั้น แสงนี้ไม่ได้สว่างแสบตา แต่เป็นแสงนุ่มนวล เป็นแสงไฟบนทะเลมรณะ ทุกช่วงเวลาจะมีผู้ฝึกฌานเผ่าหมานจากทุกหมู่เกาะบนทะเลมรณะไปคารวะ

เพราะในพระราชวังนั้นเป็นที่อยู่ของ…คนที่มีฐานะสูงสุดของแผ่นดินหมาน แม้ว่านางจะปฏิเสธ แต่ด้วยความที่เผ่าหมานต้องการความมั่นคง ดังนั้นนางเลยถูกคิดว่าเป็นพระชายาของเทพหมานรุ่นสี่ นามของนางคือ ฟางชางหลัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version