ตอนที่ 1270 เติบใหญ่แล้ว พวกเราจะเปลี่ยนไปหรือไม่?
เฟิงหั่วถงจื่อก็ดี เอ้อทงเสินก็ดี พวกเขามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าหน้าตาซูหมิง คือ บุตรแห่งซาง เพราะรูปลักษณ์ของสามบุตรแห่งซางก็ไม่ใช่ความลับอะไรใน มหาโลกซางเซียง
แต่ว่า…ในเมื่อจำได้แล้ว ทว่าพวกเขาก็ยังลงมือ เพราะพวกเขาไม่ได้รับคำสั่งห้ามจากบุตรแห่งซางของโลกแท้จริงดาราโบราณ
ในเมื่อบุตรแห่งซางของโลกนี้ไม่ห้าม พวกเขาก็จะลงมืออย่างไม่ลังเลและแน่วแน่ หากภยันตรายมาถึง บุตรแห่งซางของโลกแท้จริงพวกเขาจะต้องมาแทรกแซงแน่
มิหนำซ้ำพอพวกเขาเห็นหน้าตาซูหมิงชัดแล้ว ตอนที่เห็นเงามายาผีเสื้อข้างหลัง ซูหมิงก็เตรียมตัวไว้แล้วว่าวันนี้จะต้องสังหารอีกฝ่ายอย่างลำบากแน่ สิ่งที่พวกเขา ต้องทำคือสยบด้วยพลานุภาพและโต้กลับ ต้องให้อีกฝ่ายรู้ว่าต่อให้เป็นบุตรแห่งซาง หากลบคนของพระราชวังหยกเฉยๆ พวกเขาย่อมไม่มีวันยอมแน่ และจะต้องถูก ตีโต้กลับ
สามผู้แข็งแกร่งของพระราชวังหยก อวี้ตี้เป็นใจกลาง เอ้อเสินถงกับเฟิงหั่วถงจื่อเป็นตัวหนุน ใช้วงแหวนอาคมห้าทิศผนึกขอบเขต ใช้มังกรสำรวจสามตัวผนึกสองมิติ ก่อขึ้นเป็นวงแหวนอาคมสังหารมหึมา
วงแหวนอาคมนี้พูดได้ว่ารวมพลังสุดยอดในโลกแท้จริงนี้ เรียกได้ว่าทุ่มกำลังเพื่อโจมตีคนคนเดียว
โดยเฉพาะอวี้ตี้ แม้ดวงจิตเขาจะยังไม่ใช่บรรพชนวิญญาณ แต่ก็เทียบกับ ผู้ยกระดับวิญญาณหนึ่งถึงสองครั้ง ขาดอีกก้าวเดียวก็จะเทียบเท่าขั้นไม่อาจกล่าว คนแบบนี้รวมพลังของทั้งพระราชวังหยกแล้วจึงอยู่สุดยอดของการสังหาร สามารถสั่นคลอนจักรวาล
หากเป็นซูหมิงตอนที่ยังไม่ยึดครองโลกแท้จริงดาราสัจธรรม เจอกับการล้อมสังหารแบบนี้เขาต้องตายแน่ ต่อให้มีเปลี่ยนเทพหมานก็ยากจะรอดชีวิต ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นหลุมพรางสังหารที่รวมพลังส่วนใหญ่ของหนึ่งโลกแท้จริง
หลังยึดครองโลกแท้จริงดาราสัจธรรมแล้ว ซูหมิงมีร่างแยกโลกแท้จริง ขั้นพลังเขาจึงไม่อาจคำนวณอยู่ที่ขอบเขตการยกระดับวิญญาณครั้งที่หนึ่งได้อีก ด้วยการใช้ดวงจิตบรรพชนวิญญาณเป็นเจตนารมณ์สวรรค์และใช้ดวงจิตโลกแท้จริงขับเคลื่อนบรรพชนวิญญาณ จึงทำให้เขาเหนือกว่าขอบเขตของผู้ฝึกฌาน บรรลุถึงขั้นเทียบเท่ากับเจ้าปกครอง
ซูหมิงในตอนนั้น หากเผชิญหน้ากับหลุมพรางสังหารแบบนี้ก็จะไม่พ่าย แต่หากจะโต้กลับก็ต้องจ่ายไปบ้างเช่นกัน ทว่าซูหมิงที่เข้ามาในมหาโลกซางเซียงต่างกับก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เขาได้รับดวงจิตโลกแท้จริงอีกดวงที่นี่ ในตัวเขา ดวงจิตของเขาเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า ดวงจิตโลกแท้จริงสองดวงก่อขึ้นเป็นแรงกดดันทำให้เขาเหนือกว่า ผู้ฝึกฌานไปอย่างสมบูรณ์ ระดับชีวิตยังบรรลุถึงขั้นเป็นรองเพียงดวงจิตสามรกร้าง
ซูหมิงในตอนนี้…เว้นแต่จะเจอกับผู้แข็งแกร่งขั้นไม่อาจกล่าวหลายคนลงมือพร้อมกัน มิเช่นนั้นแล้วยากจะพานพบศัตรู
ต่อให้เป็นหลุมพรางสังหารในตอนนี้ก็ไม่ทำให้ซูหมิงสนใจมากนัก เขามอง เฟิงหั่วถงจื่อกับเอ้อทงเสินทางซ้ายและขวาที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยแววตาเฉยชา และยังมีฝ่ามือที่ชูขึ้นของรูปปั้นโบราณสีทองพันจั้งที่ปรากฏกายอยู่ตรงหน้า ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้สีหน้าซูหมิงยังคงราบเรียบดั่งผิวน้ำ
“ไม่รู้จักประมาณตน” ซูหมิงเอ่ยเรียบๆ พร้อมแผ่ขยายดวงจิต เงามายาผีเสื้อ ข้างหลังพลันขมุกขมัวแล้วแผ่ขยายออกเป็นร้อยเท่าพันเท่า พริบตาเดียวมากกว่า ครึ่งฟ้ากระจ่างดาวถูกปกคลุมอยู่ในเงามายาผีเสื้อ
ในพื้นที่นี้มีทหารนภาอยู่เกือบล้านคน มีสามยอดผู้แข็งแกร่ง มีมังกรสำรวจรวมถึง แม่ทัพสี่ทิศ แทบเป็นทันทีที่เงามายาผีเสื้อปกคลุม ก็เหมือนกับว่าเวลาหยุดนิ่ง…
แต่ว่าจะหยุดแต่คนอื่นเท่านั้น ไม่รวมซูหมิง ซูหมิงเดินไปทางซ้ายหนึ่งก้าว ยกมือขวาขึ้นคว้าทวนยาวของฟงหั่วถงจื่อ ชั่วขณะที่สัมผัสก็เกิดเสียงระเบิดดังก้อง ทวนยาวนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะเดียวกับที่เฟิงหั่วถงจื่อมีสีหน้าหวาดกลัวทีละน้อย ซูหมิงเอานิ้วมือขวากดตรงระหว่างคิ้วฟงหั่วถงจื่อแล้ว
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นอีกครั้ง ฟงหั่วถงจื่อร่างสั่นสะท้านไปทั่วร่าง ซูหมิงในยามนี้หมุนตัวกลับแล้ว ตอนที่เงยหน้าขึ้นดวงตาขยับประกายวาว ดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วเปิดออกพร้อมมองไปทางเอ้อทงเสิน
ในดวงตาที่สามของซูหมิง ร่างเอ้อทงเสินถูกขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ข้ามผ่านอาภรณ์ ข้ามผ่านเลือดเนื้ออีกฝ่าย ไปเห็นจิตวิญญาณและมรดกที่แฝงอยู่ในสายเลือดเอ้อทงเสิน เมื่อดวงตาที่สามของซูหมิงปิดลง ดวงจิตที่เอ้อทงเสินไม่อาจต่อต้านพลันลงมาเยือน ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง ร่างเอ้อทงเสินสั่นไหวอย่างรุนแรง ซ้ำยังมีโลหิตไหล
ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตา ขณะเดียวกับที่ซูหมิงละสายตากลับ เขายกมือซ้ายขึ้น เอานิ้วมือชี้ไปทางฝ่ามือรูปปั้นโบราณที่เข้ามา พริบตาที่ปะทะ ฝ่ามือรูปปั้นโบราณ สั่นไหวก่อนแตกละเอียดเป็นเศษนับไม่ถ้วนกระเด็นไป
“ทุกสรรพสัตว์มอดดับ” ซูหมิงชักมือซ้ายกลับแล้วสะบัดไปแบบสบายๆ ทันใดนั้นผีเสื้อมายาที่ปกคลุมไปเกือบครึ่งฟ้ากระพือปีกเบาๆ จากนั้นเกิดระลอกคลื่นเหลือคณานับในฟ้ากระจ่างดาวอย่างเร็วไว จุดที่ผ่าน แม่ทัพสี่ทิศหรือคนยักษ์ร้อยจั้งสี่คนตัวสั่น เลือดเนื้อเกิดเค้าลางปริแตก เหมือนยากจะคงร่างกายให้สมบูรณ์เอาไว้ได้
ทหารนภากลุ่มละแสนคนข้างหลังพวกเขารวมทั้งหมดสี่แสนคนร่างสั่นสะท้านกลางระลอกคลื่นนั้น โลหิตไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด!
และยังมีสามมังกรสำรวจข้างบน พวกมันเปล่งเสียงคำรามน่าอนาถาที่เหมือนถูกยืดยาวออกไปไม่รู้กี่เท่า ทั่วร่างขยายใหญ่เหมือนจะถูกระเบิดในพริบตา
แม้แต่ผู้ติดตามสามแสนคนข้างหลังพวกมันยังมีสีหน้าเจ็บปวดทีละน้อยในระลอกคลื่น
นี่ไม่ใช่กาลเวลาหยุดนิ่ง แต่เวลายังไหลผ่านไปช้าๆ มีเพียงซูหมิงคนเดียวที่ยังปกติ จนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งจะเอ่ยคำว่าทุกสรรพสัตว์มอดดับจบ
และเป็นตอนนี้เอง ไกลออกไปในฟ้ากระจ่างดาว มีดวงจิตสะเทือนฟ้าโผล่มา กำลังมาเยือนด้วยความเร็วสูงยิ่ง เห็นได้จากการสัมผัสต่อดวงจิตนี้ว่าคล้ายผีเสื้อ ตัวหนึ่ง มันต่างจากผีเสื้อที่สร้างจากดวงจิตซูหมิงอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นผีเสื้อที่เหมือนมีต้นกำเนิดเดียวกันในมหาโลกซางเซียง
“สหายอย่าสังหาร!” ชั่วพริบตาที่ผีเสื้อปรากฏกาย มีเสียงมืดทะมึนฝืนทะลวงผ่านกลางผืนฟ้าที่ทุกอย่างช้าลงเข้าไปในจิตใจซูหมิง
นั่นคือ บุตรแห่งซางของโลกแท้จริงดาราโบราณ!
ทว่าตอนที่เสียงนี้ดังแว่วมาก็สายไปแล้ว แทบเป็นพริบตาที่เสียงดังก้อง ฟ้ากระจ่างดาวรอบตัวซูหมิงที่ทุกอย่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าพลันกลับมาเป็นปกติ เมื่อเวลากลับมาดังเดิม เกิดเสียงร้องโหยหวนแสบแก้วหูกับเสียงระเบิดดังสนั่นราวกับพายุฝน และยังดังขึ้นเรื่อยๆ เพียงวูบเดียวก็เหมือนจะเกิดพายุฝนที่กวาดล้าง โลกแท้จริงดาราโบราณ
ท่ามกลางเสียงครึกโครม แม่ทัพสี่ทิศหรือคนยักษ์สี่คนร่างระเบิดออกพร้อมกัน เลือดเนื้อสาดกระจาย หลังสิ้นชีพไปแล้ว ทหารนภาสี่แสนคนที่ติดตามพวกเขา เกราะแตกกันทั้งหมด เลือดเนื้อกลายเป็นเถ้าธุลีในทันใด มองไม่เห็นโลหิต ไม่เห็น เศษซาก แต่หายไปในอากาศทั้งหมด
ต่อมาเป็นสามมังกรสำรวจข้างบน เสียงคำรามแหลมของพวกมันไม่ถูกยืดยาวอีก แต่กลายเป็นเล็กแหลม ร่างพวกมันระเบิดออกทั้งหมดท่ามกลางเสียงคำราม กลายเป็นโลหิตสีทองสาดกระจาย ขณะเดียวกันผู้ติดตามสามแสนคนที่แปลงกายจากเกล็ดของพวกมันตัวสั่นสะท้านแล้วแหลกสลายไป
ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตา ต่อมาเป็นเฟิงหั่วถงจื่อข้างซูหมิง ทวนยาวของเขาระเบิดออกทั้งหมด ร่างเขาแหลกเป็นเสี่ยงๆ ยังไม่ทันกระอักเลือด โลหิตก็จะกระจายมาจากร่างแหลกสลายก่อน ร่างเขากระเด็นถอยไปด้วยสีหน้าเหลือเชื่อและหวาดกลัว สีหน้าแบบนี้…กลายเป็นร่องรอยสุดท้ายในโลกนี้ของเฟิงหั่วถงจื่อ
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ร่างเขาแหลกเป็นชิ้นๆ…
เอ้อทงเสินกระอักเลือด เขาตัวสั่นไหวพร้อมกับถอยไปอย่างรวดเร็ว แต่เพียงถอยไปสามก้าว ดวงตาที่สามระเบิดออก ร่างกายดูเหมือนปกติ แต่มรดกในสายเลือดเขา วิญญาณไปจนถึงเลือดเนื้อทั้งหมดในร่างกายพลันกลายเป็นเถ้าธุลี มีเพียงภายนอกที่ดูเหมือนตอนแรก เขาเบิกตากว้าง สีหน้าเรียบนิ่งของซูหมิงกลายเป็นภาพสุดท้ายในความทรงจำเขา
‘เอาไข่กระทบหิน…’ นี่คือความขมขื่นและเข้าใจที่ลอยขึ้นมาในภาพสุดท้ายก่อนที่ภาพจะแหลกเป็นเสี่ยงๆ แล้วหายไป
คนที่สิ้นชีพเป็นคนสุดท้ายคืออวี้ตี้รูปปั้นโบราณสีทองพันจั้ง ฝ่ามือเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ เศษสีทองเหลือคณานับม้วนพุ่งเข้าปะทะกับร่างเขา แม้แต่ร่างพันจั้งยังเกิดเสียงครึกโครมดังสนั่น ทั่วร่างแตกออกก่อนม้วนไปข้างหลัง เศษสีทองเหล่านั้นกลายเป็นน้ำทะเลสีทอง ในเวลาเดียวกันหลังรูปปั้นโบราณแตกออก มีเสียงคำรามที่ยากลำบากยิ่งเหมือนลอดผ่านฟันดังก้องมาจากในร่างรูปปั้นโบราณ
จนกระทั่งรูปปั้นโบราณแตกออกทั้งหมดจึงเผยเป็นอวี้ตี้ข้างใน เขากระอักเลือดต่อเนื่องกันเจ็ดครั้ง ทุกครั้งตัวเขาจะถอยไปสามก้าว เมื่อถอยไปยี่สิบเอ็ดก้าวแล้ว อวี้ตี้หน้าขาวซีด ระหว่างที่เงยหน้าขึ้น สีหน้าเขามีความหวาดกลัวและตื่นตระหนักถึงขีดสุด เขาเห็นว่ารอบตัว…
โดยรอบว่างเปล่า ทหารนภาแปดแสนคน…สลายไปกับอากาศ
เอ้อทงเสินสิ้นชีพ เฟิงหั่วถงจื่อก็สิ้นชีพ แม่ทัพห้าทิศสิ้นชีพ สามมังกรสำรวจก็เช่นกัน…
จนกระทั่งอวี้ตี้มองไปที่ซูหมิง เขาพลันเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะแหลมยิ่ง
ซูหมิงไม่พูดอะไร เพียงมองอวี้ตี้หัวเราะเสียงแหลมตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ในเมื่อคนเหล่านี้มาที่นี่ เช่นนั้นก็ลิขิตชะตาเอาไว้แล้ว
ขณะที่อวี้ตี้หัวเราะเสียงแหลมก็มีเสียงถอนหายใจดังอ้อยอิ่งมา ผีเสื้อที่อยู่ไกลออกไปขยับวูบเข้ามาใกล้ก่อนปกคลุมอวี้ตี้เอาไว้ภายในผีเสื้อมายา นี่เป็นผีเสื้อสีดำ ตัวหนึ่ง มันเหมือนกำลังมองซูหมิงผ่านผืนฟ้าอยู่ไม่ไกล
“สหายที่ไม่ใช่ของโลกนี้…ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับเจ้า…ข้าจะพาเขาไป” น้ำเสียงซึ่งมาพร้อมกับความรู้สึกแห่งเวลาแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาเนิ่นนานกับความซับซ้อนที่ซูหมิงสัมผัสได้ดังก้องอยู่ในผืนฟ้าแห่งนี้
ซูหมิงมองผีเสื้อตัวนั้น ดวงตาสองข้างจริงจังขึ้นมาทีละน้อย เขาเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับผีเสื้อตัวนี้ ความรู้สึกอยู่ในส่วนลึกความทรงจำ นั่นคือเศษเสี้ยวที่คงอยู่มานานมากๆ
และยังมีเสียงนี้ มันทำให้ความจริงจังในแววตาซูหมิงกลายเป็นซับซ้อนในท้ายที่สุด ราวกับว่าคำพูดในเสียงนี้แฝงไว้ด้วยความซับซ้อน หรืออาจพูดได้ว่านี่คือความซับซ้อนของสองคน
‘ซูหมิง คนเราเปลี่ยนกันได้…’
‘ทุกอย่างเปลี่ยนได้ตามการเติบโตและเรื่องราวที่ประสบ…บางทีวันหนึ่ง ข้าอาจจะเปลี่ยนไป…ข้าคิดว่า…เจ้าเองก็อาจจะเปลี่ยนไปเช่นกัน…’
‘ซูหมิง เมื่อพวกเราเติบใหญ่แล้วจะเปลี่ยนไปหรือไม่?’