ตอนที่ 1271 เหลยเฉิน!
อดีต…
‘ซูหมิง ข้าสำเร็จการชี้นำหมานแล้ว ฮ่าๆ ข้าฝึกฝนหมานได้แล้ว จากนี้ข้าจะเป็นนักรบหมาน เป็นอย่างไร ข้าเก่งกาจใช่หรือไม่’
อดีต…
‘ซูหมิง เจ้าวางใจเถอะ จากนี้ใครรังแกเจ้า ข้าจะทุบตีเขาเอง!’
อดีต…
‘ฮ่าๆ จากนี้ข้าเหลยเฉินคือคนที่จะเป็นเจ้าเผ่า ซูหมิงเจ้าต้องพยายามเข้า เจ้าจะเป็นจ้าวหมาน เผ่าเขาทมิฬจากนี้จะเป็นใต้หล้าของเราสองคนแล้ว’
‘เจ้าเป่ยหลิงน่ารังเกียจนั่น ซูหมิง คืนนี้เราหาโอกาสไปทุบตีเขาสักครั้งดีหรือไม่? แต่คิดว่าน่าจะสู้ไม่ไหว…’
‘ซูหมิง…ข้าคิดว่าข้าชอบคนคนหนึ่ง เป็นสตรีที่แกร่งมากในเผ่าของไป๋หลิง ข้ารู้สึกว่านางคู่ควรกับแววตาข้ามากจริงๆ ซูหมิง นี่เจ้าฟังอยู่หรือไม่’
‘ซูหมิง ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าอย่าเดินเร็วนักสิ ข้าจะบอกเจ้าให้ รู้หรือไม่ว่าตอนเจ้าไปเก็บสมุนไพร เจ้าคนข้างบ้านคนนั้นดันทำไฟไหม้บ้าน หืม? เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่ ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ…’
อดีต…
‘ซูหมิง ข้าจะไม่กลับเผ่าแล้ว…ข้าจะไปทางนั้นของภูเขา ที่นั่นมีหมานชั่วร้าย ข้าจะแกร่งขึ้น ข้าจะต้องแกร่งขึ้นแน่ ถึงต้องจ่ายมากเท่าใดก็ตาม!’
เสียงภายในกาลเวลาลอยขึ้นมาในความคิดซูหมิง เขามองผีเสื้อสีดำตัวนั้นเงียบๆ
‘พวกเรา…เปลี่ยนได้หรือไม่…’ จิตใจซูหมิงอยู่ในความซับซ้อน สายตาเหม่อมองผีเสื้อสีดำนั้น เขาหาสหายเก่าในแดนซางเซียงพบ แต่กลับไม่พบร่องรอยของอีกฝ่ายในสามรกร้าง
เขา คือสหายในวัยเยาว์ พูดได้ว่าเป็นเพื่อนแท้คนแรกในชีวิตซูหมิง สหายที่ชอบพูดมาก แต่กลับสาบานว่าจากนี้จะปกป้องตนคนนั้น สหายที่มีเป้าหมายเป็นเจ้าเผ่ามาโดยตลอดคนนั้น สหายที่เห็นคุณค่าของมิตรภาพและเติบใหญ่มาด้วยกัน
แต่เขาไม่ใช่เขา
ในภูเขาทมิฬ ครอบครัวที่ยากจะลืมที่สุดคือท่านปู่ ความรักที่ยากจะลืมที่สุดคือไป๋หลิง และมิตรภาพที่ยากจะลืมที่สุดคือ…เหลยเฉิน
ผ่านมาพันกว่าปี การเปลี่ยนแปลงของเวลา การผ่านของเวลาไม่ย้อนกลับไป อดีตอีก สหายในตอนนั้นเติบใหญ่เป็นคนแปลกหน้า เพียงแต่ความทรงจำก้นบึ้งหัวใจกลับฝังอยู่ที่นั่น ไม่ยอมลืม ไม่ยอมละทิ้ง มักจะหาพบท่ามกลางความเงียบเชียบ แต่กลับมีเพียงร่องรอย…มีเพียงร่องรอย
สิ่งที่ตามร่องรอยนั้นมาคือจุดแสงแห่งความทรงจำหลายจุด หนึ่งบันทึกเสียงตะโกนด้วยความเจ็บปวดประโยคนั้นบนโซ่เขาหานกลางเมืองเขาหาน
‘เจ้าไม่ใช่เขา เจ้าไม่มีทางเป็นเขา ข้าฝังเจ้าเองกับมือ นี่…นี่เป็นไปไม่ได้!’
และยังมีในอีกจุดหนึ่ง เสียงพึมพำและภาพของฝ่ายภูตผีรุ่นต่อไปที่จ้าวหมานของเผ่าแดนภูตพบกลายเป็นจุดในความทรงจำนั้น ขยับแสงอยู่ชั่วนิรันดร์
จนกระทั่งถึงจุดสุดท้าย นั่นคือภาพความลับสวรรค์จากวงแหวนอาคมธูปสวรรค์ ซูหมิงเห็นเขาตายจากไปด้วยสีหน้าละอายใจ
เงียบ เหมือนว่านอกจากความเงียบแล้ว ซูหมิงก็ไม่รู้ว่าจะแสดงความซับซ้อนและขมขื่นในใจอย่างไร ทุกอย่างนี้เหมือนยืนยันคำพูดโดยบังเอิญของเด็กสองคนที่วิ่งเล่นกันบนพื้นหิมะใต้ภูเขาทมิฬเมื่อพันกว่าปีก่อน
‘พวกเรา…เปลี่ยนได้หรือไม่?’
ตอนนั้นคำถามนี้หนักหนามากสำหรับเด็กสองคน หนักจนพวกเขาแค่นึกถึงเป็นบางครั้ง นี่เป็นแค่ความคิด ซ้ำยังแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจอนาคต ไม่เข้าใจสองเส้นทางกลางหมอกตรงหน้า ชีวิตนี้ยังมีการตัดสลับกันอีกหลายครั้ง ตอนที่ตัดสลับกันจะสูสีทัดเทียม หรือว่า…แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง
“ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับเจ้า ศัตรูของเจ้า…ไม่ใช่ข้า เขากำลังมา” ซูหมิงเงียบ ผีเสื้อสีดำนั้นก็เงียบเช่นกัน จนผ่านไปพักใหญ่ มีเสียงที่แฝงไว้ด้วยความซับซ้อนดังแว่วมาจากในผีเสื้อ
บางทีเขาที่เป็นบุตรแห่งซางของโลกนี้อาจจะรู้เรื่องราวมากกว่าคนอื่น เขารู้การคงอยู่ของสามรกร้าง รู้ว่าอีกฝากหนึ่งมีตัวเองอีกคน หรือไม่ก็ตัวเองอีกคนนั้นเปลี่ยนไปอย่างไร้รูป เขา…มีความทรงจำที่คนอื่นไม่รู้ต่อซูหมิงอยู่แค่ไหน
สรุปคือซูหมิงสัมผัสถึงความซับซ้อนในตัวเขา เขาเองก็ไม่ได้ปิดบัง
ขณะเงียบอยู่นี้ ผีเสื้อกระพือปีกม้วนอวี้ตี้ค่อยๆ จากไปไกล…
“เหลยเฉิน…” ซูหมิงพูดพึมพำ
ผีเสื้อที่บินไกลออกไปไม่หยุด เหมือนค่อยๆ หายไปกลางอากาศ
“เหลยเฉิน!” ซูหมิงเงยหน้าขึ้นทันที น้ำเสียงดังก้องราวฟ้าผ่า เอ่ยนามของสหายในวัยเยาว์ เอ่ยมิตรภาพที่ยากจะลืมที่สุดในภูเขาทมิฬ
ชั่วขณะที่ผีเสื้อสีดำจะหลอมรวมในมวลอากาศนั้นพลันหยุดชะงัก…
“ตอนนั้นเจ้าถามข้าว่าพวกเราเปลี่ยนไปได้หรือไม่ ข้าขอตอบว่า…ไม่ได้! เจ้าในตอนนั้นยังไม่ตอบ ตอนนี้ เจ้าบอกคำตอบของเจ้าได้หรือไม่” ซูหมิงมองผีเสื้อตัวนั้น นั่นคือมิตรภาพของเขา เป็นสหายคนแรกในชีวิต
เงียบ ผีเสื้อสีดำเงียบอยู่พักใหญ่ จนผ่านไปราวสิบกว่าลมหายใจเขาก็ยังเงียบ แต่หายเข้าไปในมวลอากาศ
ซูหมิงก้มหน้าลงด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจ เขารู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เขา แต่กลับยังถามออกไป เพราะเขาสนใจ สนใจเหลยเฉินที่ตอนนี้ยังหาไม่พบคนนั้น นั่นคือสหาย ในชีวิตเขา
นี่คือมิตรภาพ มันต่างกับครอบครัว เพราะหากบอกว่าในโลกนี้มีความรู้สึกใดที่คงอยู่นิรันดร์ไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นจะต้องเป็นมิตรภาพอย่างแน่นอน ดังนั้นมิตรภาพถึงไม่ได้บริสุทธิ์อย่างครอบครัว แต่ในการแสดงออกบางครั้งกลับเหมือนครอบครัว
มันต่างกับความรัก ไม่ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ตอนที่เจ้าต้องการ มิตรภาพกลับทำให้คนรู้สึกว่าชีวิตนี้เพียงพอมากกว่าความรัก
มิตรภาพคือ ร่างเงาที่เล่นโคลนด้วยกันในวัยเยาว์ วิ่งเล่นด้วยกัน เล่นด้วยกัน มองตะวันขึ้นและตกดินด้วยกัน เป็นคนที่คอยพูดไม่หยุดตอนที่เจ้าไม่สบายใจ เพราะหวังว่าเจ้าจะเบิกบานใจ
คนที่เจ้าทุบอกอีกฝ่าย แต่กลับหัวเราะเสียงดังซ้ำยังกอดเอาไว้ คนที่…คู่ควรให้เจ้า ใช้ชีวิตจดจำไปชั่วชีวิต
นี่คือมิตรภาพ มันจะตกตะกอนไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา จนกระทั่งถึงยามเที่ยงคืน สหายคนนี้จะพูดจาอวดดีถึงเรื่องราวตอนเด็กกับเจ้า กระทั่งคุยโม้ด้วยกัน
ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองอากาศเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ถึงถอนหายใจเบา เขายังคงเลี่ยงเหลยเฉินที่เห็นในความลับสวรรค์ เขาไม่อยากนึกถึงแววตาละอาจใจลึกๆ นั้น ถึงขั้นไม่อยากคิดถึงเหตุผล เหมือนกับตอนนั้นที่เขาไม่อยากนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับ ซูเซวียนอีที่คาดเดาได้อย่างเด่นชัด เหมือนกับตอนที่เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับ การเปลี่ยนแปลงความรักจากไป๋หลิงทั้งๆ ที่เข้าใจแล้ว
ซูหมิง ให้ความสำคัญกับความผูกพัน
เขาโค่นล้มโลกเพื่อความผูกพันได้ เขาสังหารหนึ่งโลกแท้จริงเพื่อเหลยเฉินสหายเก่าในอดีตได้ เขาไม่ใช่คนดี และก็ไม่ใช่คนที่ยึดในความถูกต้อง บางครั้งเขาก็เป็น ดั่งคนต่ำต้อย บางครั้งก็เคยปลิ้นปล้อน แต่เขา ยอมจ่ายทุกอย่างเพื่อความรัก
เป็นศัตรูกับซูหมิงต้องเจอกับความเป็นตาย เป็นสหายของเขา เขาให้คนมอบเบื้องหลังให้เขาได้ ให้คนเชื่อใจเขาได้
ครอบครัว มิตรภาพ ความรัก สามความผูกพันในชีวิตนี้ ทุกชนิดนี้ซูหมิง เห็นคุณค่ามันด้วยชีวิต
ซูหมิงเงียบ นั่งลงกลางฟ้า หลับตาลง คนนอกมองไม่เห็นความโดดเดี่ยวในใจ สัมผัสได้ไม่ชัด เพราะสิ่งที่เห็นคือความเลือดเย็นของเขา เห็นการสังหารของเขา ความเลือดเย็นกับการสังหารนี้ปกปิดความสนใจและยึดมั่นต่อความผูกพันในใจเขา
เวลาผ่านไปจนกระทั่งไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองไปกลางฟ้า เขารอมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดคนนั้นที่รอก็มาถึง
ผีเสื้อสีม่วงมหึมายิ่ง วิญญาณของสิบยอดผู้ไว้อาลัยกระพือประหนึ่งปีก ดันชายหนุ่มตรงหน้าให้เด่นขึ้น รวมถึงความยึดมั่นและจิตสังหารในแววตาชายหนุ่ม
นี่คือช่วงเวลาของชะตาชีวิต!
“ตอนที่เจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นเจ้า เจ้าไม่ใช่เจ้า…
ตอนที่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเจ้า เจ้าต่างหากคือเจ้า…” ขณะซูหมิงพึมพำก็กดความขมขื่นในใจลงไป แล้วจุดเพลิงต่อสู้ในแววตา สบตาผ่านฟ้ากระจ่างดาวกับตัวเองอีกคนที่กำลังเข้ามา
…………
ตอนนี้ ณ โลกแท้จริงดาราโบราณ ผีเสื้อสีดำกลางฟ้าม้วนอวี้ตี้มาปรากฏบนหิน ผุพังก้อนหนึ่งที่ห่างจากดาวใหญ่สีทองไม่ไกล หินผุพังก้อนนี้ลอยอยู่กลางอากาศ หมุนโคจรตามกฏบางอย่าง ด้านบนมีบ้านที่ดูธรรมดามากหลังหนึ่ง
ผีเสื้อสีดำหายไปตรงบ้านหลังนี้ กลายเป็นบุรุษชุดคลุมดำ มองเห็นหน้าตาไม่ชัด แต่ร่างกายกำยำมาก เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เงยหน้ามองฟ้า
อวี้ตี้ข้างหลังเขาเช็ดโลหิตตรงมุมปาก ยืนอยู่ข้างกาย
“ท่านบุตรแห่งซาง เขาไม่ใช่บุตรแห่งซางของโลกแท้จริงอาณาจักรพิชัย…เขาเป็นใครกัน?” ผ่านไปพักใหญ่ อวี้ตี้ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนถามด้วยเสียงเบา
“เขาคือสหายเก่า ให้พูดจริงๆ คือสหายเก่าของตัวข้าอีกคนในอดีต” ผ่านไป พักหนึ่ง บุตรแห่งซางในชุดคลุมดำตอบเสียงพึมพำแหบแห้ง
อวี้ตี้เหมือนอยากกล่าวอะไรบางอย่าง แต่กลับลังเลและเงียบไป
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้า แต่…ข้าลงมือกับเขาไม่ได้ เพราะคนที่มีสิทธิ์ลงมือกับเขามีเพียงตัวเขาอีกคนจากโลกอาณาจักรพิชัยที่ตอนนี้ไปถึงแล้วเท่านั้น
เจ้ากลับไปเถอะ ไปฝึกฝนอย่างสบายใจได้ ข้าจะช่วยเจ้าซ่อมแซมความเสียหายของสายเลือดพระราชวังหยกเอง…” บุตรแห่งซางชุดคลุมดำส่ายศีรษะ ก่อนพูดขึ้นพร้อมหมุนตัวกลับเดินไปทางบ้าน
อวี้ตี้คารวะเงียบๆ อยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย และยังมีความกลัว หลังรอดตายมาได้ เมื่อบุตรแห่งซางของโลกแท้จริงดาราโบราณกลับเข้าไปในบ้านแล้ว เขาก็เลือกจากไป
ภายในบ้าน บุตรแห่งซางของโลกนี้ถอดผ้าคลุมหัวออก เผยเป็นใบหน้าชาย วัยกลางคน ใบหน้าเขาดูผ่านโลกมาเนิ่นนาน มีร่องรอยของเวลามาไม่รู้กี่ปีเมื่อเทียบกับเหลยเฉินในความทรงจำซูหมิง แต่ก็ยังมองออกว่าเขา…คือ เหลยเฉิน
เขานั่งขัดสมาธิลงเงียบๆ สีหน้าซับซ้อน ถอนหายใจเบา ในสีหน้าเผยความละอายใจรางๆ หากซูหมิงอยู่ที่นี่ หากเห็นความละอายใจนี้ เขาจะต้องจำได้ทันทีว่าเหลยเฉินที่เขาเห็นในความลับสวรรค์…ก็คือคนนี้!
‘ท่านพ่อ ซูหมิง…มาที่นี่แล้ว’ เหลยเฉินยกมือขวาคว้าอากาศไปเงียบๆ ทันใดนั้นในมือปรากฏแผ่นหยกสีขาวตัดดำอันหนึ่ง มันรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบประหนึ่งหลอมรวมระหว่างหยินหยาง ออกมาเป็น…แผ่นหยกสื่อสารที่ข้ามผ่านโลกซางเซียงกับสามรกร้างได้
เขามองแผ่นหยกเงียบๆ ด้วยสีหน้าดิ้นรน สุดท้ายก็กลายเป็นเด็ดขาด เขาไม่ได้กล่าวออกไป แต่…เก็บแผ่นหยกนี้กลับไปใหม่
“พวกเราเปลี่ยนไปได้หรือไม่…” เหลยเฉินพึมพำด้วยสีหน้าสับสน