Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1305

ตอนที่ 1305 สามรกร้าง

นอกทะเลยาวเหยียด ข้างต้นไม้โบราณ สีเขียวแก่เหมือนต่อเนื่องไม่ขาดสาย

แสงคลื่นสวยงาม ทะเลเมฆเอ้อระเหย สุดขอบฟ้าอยู่แห่งหนใด…

ต้นไม้โบราณอยู่มาเนิ่นนาน เงาคนผ่านโลกมาอย่างโชกโชน กาลเวลาอยู่ตรงหน้าใคร?

บางทีอาจเป็นชายหนุ่มใต้ต้นไม้ตอนนี้ ยิ้มอย่างอบอุ่น มองซูหมิงเดินเข้ามา

บางทีอาจเป็นซูหมิงที่กำลังมองคนใต้ต้นไม้ พอเข้าไปใกล้ทีละนิดแล้วเหมือนกับเดินมาทีละก้าวจากยุคโบราณ ทุกก้าวจะข้ามผ่านมาไม่รู้กี่ยุค กลับไปในอดีต กลับไปในความกว้างใหญ่ในอดีตนั้น…เหมือนว่าฟ้าไม่ขยับ ทุกอย่างในโลกหยุดนิ่ง ทุกอย่าง…เป็นเพียงเพราะซูหมิงกับคนใต้ต้นไม้ เหมือนการพบกันครั้งหนึ่งที่ถูกลิขิตเอาไว้

เหมือนกับยามค่ำคืนกับกลางวัน พวกมันต่างมองไม่เห็นกันและกัน มีเพียง ยามโพล้เพล้กับรุ่งอรุณเท่านั้นถึงจะเห็นร่างเงาอีกฝ่าย แต่กลับเลือนราง ประหนึ่ง ยามค่ำคืนที่มองไม่เห็นฟ้าในยามเที่ยงวัน ประหนึ่งยามเที่ยงวันที่มองไม่เห็นความมืดในส่วนลึกของเที่ยงคืน แต่อาจมีวันหนึ่งที่กลางคืนและกลางวันจะมาพบกัน ตอนนี้เหมือนเป็นกับชายหนุ่มใต้ต้นไม้กับซูหมิง

ไม่นานใต้ต้นไม้ก็มีสองคนแล้ว ไกลออกไประหว่างทะเล แม้ฟ้าจะไม่ขยับ แต่ตะวันยามอัศดงกลับยังอยู่ แกว่งไกวคล้ายจะตกลงมา แสงที่เหลือสาดลงมา เป็นเงาของซูหมิงกับชายหนุ่ม เงาปรากฏบนผิวทะเล ถูกลากออกไปยาวมาก… ยาวมาก…

ซูหมิงมองชายหนุ่ม ชายหนุ่มก็มองซูหมิงเช่นกัน ทันทีที่สองคนสบตากัน ซูหมิงเห็นความลุ่มลึกที่ผ่านโลกมาเนิ่นนานไม่มีสิ้นสุด และยังมีความเหนื่อยล้าที่ไม่หายไปตรงส่วนลึกของความลุ่มลึกนั้น

ความเหนื่อยล้านั้นเหมือนว่าใช้ชีวิตอยู่มานานมากๆ จนเกิดความล้าขึ้นตามธรรมชาติ คนนี้ไม่ได้ปิดบัง และก็ปิดบังไม่ได้ด้วย ในสายตาแบบนี้แฝงไว้ด้วยหนึ่งชีวิต หากเจ้าเข้าใจก็จะเข้าใจโลก หากเจ้าไม่เข้าใจ…เจ้าจะมองไม่เห็นเขา

เหมือนกับอวี่เซวียนตอนนี้ นางมองไม่เห็นชายหนุ่มใต้ต้นไม้ ท่านปู่โม่ซังเองก็ดูมีสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขามองไม่เห็นร่างชายหนุ่ม แต่เห็นเงาสะท้อนใต้ต้นไม้บนผิวทะเลว่าปรากฏเงายาวสองร่าง

เงาสองร่างนั้นแกว่งไกวตามแสงคลื่นทะเล บ้างแตกออก บ้างสมบูรณ์ คล้ายกับว่าอยู่ระหว่างกาลเวลากับความสมบูรณ์ แฝงไว้ด้วยการขึ้นลงของทั้งผืนฟ้า แฝงไว้ด้วยการขึ้นลงของทุกสิ่งมีชีวิต มีเส้นทางของชีวิต

ราวกับว่าชีวิตนั้นง่ายดายมากจริงๆ เป็นเพียงเงาสะท้อนบนผิวทะเล เงาที่แกว่งไปตามทะเล มองเผินๆ แวบหนึ่งนั่นคือเงา หากมองดีๆ คลื่นเงานั้นก็คือหนึ่งชีวิต

และยังเหมือนกับช่วงเวลานั้นที่กลางคืนกับกลางวันจะพบกัน ต่างฝ่ายต่างเป็น น้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้ แต่กลับหลอมรวมกันได้อย่างน่าประหลาด จึงออกมาเป็น การพังทลายและครบสมบูรณ์ที่เกิดจากการชนกันอย่างไร้รูป

“เข้าใจแล้วรึ?” ผ่านไปพักใหญ่ ชายหนุ่มใต้ต้นไม้ยังคงยิ้มแล้วถามขึ้นอย่างอบอุ่น ในน้ำเสียงไม่มีความแหลมเลย อบอุ่นจนเหมือนสหาย เหมือนญาติพี่น้อง และยังเหมือนผู้อาวุโส

นี่คือคำถาม บางทีในตอนนี้อาจมีคนตอบไปว่าไม่เข้าใจ อาจมีคนตอบว่าเข้าใจ แต่รูปแบบคำตอบสองอย่างนี้ ในทันทีที่ตอบจะตกลงไปอยู่ชั้นล่างแล้ว กระทั่งหากเปรียบคำพูดนี้ของชายหนุ่มใต้ต้นไม้เป็นอภินิหาร เช่นนั้นตอนนี้เขาก็ได้ใช้มัน ออกมาแล้ว

หากเจ้าตอบว่าไม่เข้าใจจะถูกดวงจิตของชายหนุ่มใต้ต้นไม้ควบคุม หากเจ้าตอบเข้าใจก็จะไหลไปตามดวงจิตชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นร่างเดียว

หนึ่งประโยค หนึ่งอภินิหาร จิตสังหารไม่เคยเผย ไม่เป็นที่สังเกต มีเพียงรอยยิ้มอบอุ่น แท้จริงแล้วนี่ต่างหากคือความคิดที่หยั่งลึกไม่อาจคาดเดาที่สุดในทั้ง มหาโลกสามรกร้าง

“เจ้าล่ะ?” ซูหมิงเงียบ ผ่านไปพักหนึ่งถึงยิ้มเช่นกันแล้วถามขึ้นเรียบๆ น้ำเสียง ไม่มีความเคารพ และก็ไม่มีความอบอุ่นปานผู้อาวุโส ซ้ำยังไม่มีความเคารพที่รุ่นเยาว์จะต้องมีด้วย มีเพียงน้ำเสียงระหว่างคนรุ่นเดียวกัน จางมาก แต่ก็มีจริง

เป็นการถามกลับโดยไม่ตอบว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ แต่คำตอบแบบนี้กลับทำให้ชายหนุ่มใต้ต้นไม้เผยแววตาชื่นชมเป็นครั้งแรก ที่ชื่นชมเป็นเพราะซูหมิงไม่ได้หนี แต่รับคำพูดตนเอาไว้ ทว่าก็ไม่ได้ถูกดวงจิตตนควบคุม ซ้ำยังถามกลับ

การถามกลับง่ายๆ บางทีในสายตาคนอื่นอาจมองความหมายลึกซึ้งออกได้ไม่มากนัก แต่ในสายตาชายหนุ่มใต้ต้นไม้ การถามกลับแบบนี้ บางทีอาจมีเพียงซูหมิงคนเดียวที่ทำได้หรือพูดได้ในสถานการณ์ตอนนี้

ดูเหมือนปกติ แต่มันไม่ปกติอย่างยิ่ง! ดูเหมือนคนมากมายก็ทำได้ ทว่า…ภายใต้สถานการณ์แบบนี้จริงๆ บางทีอาจทำได้เพียงถูกคำพูดคนอื่นชักจูงให้หลุดจากการเป็นฝ่ายกระทำไปโดยไม่รู้ตัว นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มใต้ต้นไม้ตั้งใจให้เป็น

“เจ้าไม่เข้าใจ” ชายหนุ่มใต้ต้นไม้ยังคงยิ้มมองซูหมิงพลางส่ายหน้า แล้วตอบกลับด้วยสีหน้าอบอุ่น

ซูหมิงมองชายหนุ่มใต้ต้นไม้ ไม่ได้ตอบอะไร แต่มองเห็นแสงตะวันยามอัศดงไกลลิบค่อยๆ อ่อนลง คล้ายกับว่าดวงตะวันยามอัศดงจะถูกมหาสมุทรกิน ภาพนี้เหมือนกับภาพวาด พอคนเห็นแล้วหากเกิดคลื่นอารมณ์จะต้องเพ่งมองอย่างแน่นอน

“เมื่อตะวันยามอัศดงลับฟ้า ทุกอย่างในฟ้าดินจะเป็นสีดำ เจ้าไม่เข้าใจความมืดของค่ำคืน และก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดสิ่งมีชีวิตถึงหลับตาในยามค่ำคืน

เจ้าไม่เข้าใจว่าตอนที่ตะวันแรกขึ้นฟ้า เหตุใดสิ่งมีชีวิตถึงลืมตา

ดังน้น เจ้าจึงไม่เข้าใจความแวววาวภายใต้ภัยพิบัติ ดังนั้นเจ้า…ถึงกลัว แต่ยิ่ง เจ้ากลัวมากเท่าไร เจ้ายิ่งอยากเห็นด้วยตาตัวเอง…ญาติพี่น้องเจ้า สหายของเจ้า ทุกอย่างข้างกายเจ้า…จะลืมตาไม่ได้อีกในยามค่ำคืน” ชายหนุ่มใต้ต้นไม้เอ่ยเสียงนุ่มนวล หากคนนอกอยู่ที่นี่อาจจะฟังไม่เข้าใจบ้าง แต่ซูหมิงที่รู้ฐานะอีกฝ่ายเข้าใจ

“ทุกอย่างถูกลิขิตเอาไว้แล้ว เหมือนกับลิขิตให้ข้ามาที่นี่ ได้พบเจ้า” ชายหนุ่ม ใต้ต้นไม้มองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ระหว่างที่เสียงดังก้อง ตอนที่มองไกลออกไป ดวงตะวันยามอัศดงไกลลิบจมลงก้นทะเลไปมากกว่าครึ่งแล้ว

ซูหมิงยิ้ม เขามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยรอยยิ้มสงบนิ่งและราบเรียบดุจน้ำ

“บางทีอาจลิขิตไว้ว่าเจ้ากับข้าต้องมาพบกันที่นี่ เช่นนั้นก็คงลิขิตไว้เช่นกันว่า การพบกันครั้งนี้คือตะวันยามอัศดง…หากข้าไล่ตามตะวันยามอัศดงไป เจ้าว่า…ตะวันยามอัศดงในสายตาข้าจะลาลับหรือไม่ลาลับไปชั่วนิรันดร์?” สิ้นเสียงซูหมิง นัยน์ตาชายหนุ่มเป็นสมาธิอีกครั้ง

“หากลาลับ เป็นเพราะความเร็วข้าไม่พอหรือชะตาลิขิตไว้ว่าตะวันยามอัศดงนี้จะต้องลาลับ? หากไม่ลาลับ เช่นนั้นหลังข้าไล่ตามไปจนถึงช่วงเวลาหนึ่งแล้ว เจ้าว่า…ตะวันยามอัศดงนี้จะยังเป็นตะวันที่เจ้ากับข้ามองอยู่ หรือว่า…ตะวันแรกที่ปรากฏ ในวันพรุ่ง?

หรือบางที ในระหว่างที่ข้าไล่ตามไป เจ้าว่าฟ้านี้จะเป็นสีดำหรือสีขาว?” ซูหมิงถามต่อเนื่องไปสี่คำถาม ตอนที่ถาม ชายหนุ่มใต้ต้นไม้นัยน์ตาเป็นสมาธิทั้งสี่ครั้ง

การสนทนากันของพวกเขา ทุกคำพูดล้วนไม่มีจิตสังหาร แต่กลับเป็นการประชันแห่งดวงจิตเหมือนกับถามคำถาม

“ดังนั้นไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจ แต่เป็นเจ้า…ที่ไม่เข้าใจ…ตอนนั้นที่ข้ามองต้นไม้นี้ ข้าก็รู้แล้วว่าตอนที่เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเจ้า เจ้า…ไม่ใช่เจ้า

ตอนที่เจ้าคิดว่าเจ้าไม่ใช่เจ้า เจ้าต่างหากที่เป็นเจ้า” ซูหมิงมองชายหนุ่มใต้ต้นไม้พลางพูดขึ้นช้าๆ

ชายหนุ่มใต้ต้นไม้เงียบ ผ่านไปพักใหญ่ถึงถอนหายใจเบา

“การปรากฏตัวของเจ้าเหนือความคาดหมายข้าจริงๆ สงสัยข้าหลับนานเกินไปเลยลืมเรื่องราวไปมากมาย…เจ้ามั่นใจว่าจะร่วมมือกับมัน…ยึดร่างข้าจริงๆ รึ” ชายหนุ่ม มองซูหมิง น้ำเสียงยังคงอบอุ่นดังตอนแรก แต่รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปแล้ว

ซูหมิงเงียบ

“เส้นทางที่เจ้าต้องเดินต่างกับข้า…” ซูหมิงตอบกลับเสียงเบา

“ไม่มีเส้นทางเหมือนกัน แต่ขอเพียงมีเส้นทาง เช่นนั้นทุกเส้นทางจะหลอมรวมกัน ในตอนสุดท้าย กลายเป็น…เต๋า” ชายหนุ่มพูดขึ้นเรียบๆ

“ฟ้าดินไม่มีความเมตตา ส่งภัยพิบัติมาเยือนทุกสิ่งมีชีวิต ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การทำลายฟ้าดินก็เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินไปตามเหตุผล หากเจ้าเป็นข้าก็คงจะเหมือนกัน” ชายหนุ่มใต้ต้นไม้โบกมือ ทันใดนั้นทั้งดาวจักรพรรดิยมโลกมืดครึ้ม ทุกอย่างหยุดนิ่ง บนฟ้าปรากฏน้ำวนที่มีเพียงซูหมิงกับชายหนุ่มสองคนที่เห็น ทว่า คนอื่นมองไม่เห็นแม้แต่น้อย

น้ำวนหมุนโคจรเงียบๆ ภายในนั้นมีสายฟ้าไหลเวียนรางๆ สายฟ้าเหล่านั้นตัดสลับและปะทะกัน ประกายไฟที่เกิดจากทุกสายฟ้าล้วนแฝงไวด้วยกฏของฟ้าดิน เมื่อประกายไฟจากสายฟ้าโผล่ไปมา จึงเหมือนว่ามีดอกไม้อุดมสมบูรณ์มหึมา ดอกหนึ่งเบ่งบานในน้ำวนบนฟ้า

ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองทุกประกายไฟในน้ำวน ตอนที่เขาเพ่งมองหนึ่งในประกายไฟ เขาเห็นการเกิดและดับของหนึ่งยุค เห็นการตายของทุกสิ่งมีชีวิต เห็นผู้คนร้องคำรามอย่างไม่ยอม และยังมีความแค้นและโกรธของฟ้าดิน ทุกประกายไฟนั้นก็คือหนึ่งยุค!

“สิ่งที่เจ้าเห็นคือก่อนหน้าภัยพิบัติทุกยุค ไม่ว่าจะเป็นในช่วงเวลาใดล้วนมี ความสิ้นหวังแทบเหมือนกัน นี่ก็คือฟ้าดินที่ไร้ความเมตตา มีแต่ต้องทำลายล้างมัน ให้สิ้นเท่านั้น ทุกอย่างถึงจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติอีก!” น้ำเสียงชายหนุ่ม ใต้ต้นไม้ไม่มีความฮึกเหิม ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ยังคงสงบนิ่งและนุ่มนวล ต่อให้ในคำพูดตอนนี้จะมีความคมกริบอยู่ แต่คำพูดก็ยังอ่อนนุ่ม ไม่ให้คนเกิดความรู้สึกไม่ดีแม้แต่น้อย แต่จะตั้งใจฟังอย่างดี ได้สัมผัสความจริงใจจากในคำพูด

“บนเส้นทางนี้มีข้าเดินอยู่คนเดียว แต่ข้าไม่อาจเดินบนเส้นทางโดดเดี่ยวได้นานนัก เจ้า…จะเดินไปพร้อมกับข้าหรือไม่…ยึดครองฟ้าดินนี้ จากนี้ไปจะไม่ให้เกิดภัยพิบัติอีก ให้ทุกสิ่งมีชีวิตไม่ต้องถูกทำลายอีก แต่จะได้ควบคุมชะตาตัวเอง นี่คือคำสาบานที่ข้ากล่าวไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ในตอนแรก นี่คือจิตใจแน่วแน่ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงที่ข้าจะ ยึดร่างซางเซียง เปลี่ยนให้โลกนี้เป็นสามรกร้าง!

ข้าคือ สามรกร้าง! คือเจ้าของโลกนี้ คือบรรพชนแห่งดวงจิตทั้งหมด เจ้า…หากติดตามข้า ต่อให้ภัยพิบัติมาเยือน ข้าจะไม่ให้โลกแท้จริงดาราสัจธรรมของเจ้า ถูกทำลาย!” ชายหนุ่มใต้ต้นไม้มองซูหมิงพร้อมพูดขึ้นช้าๆ ตอนนี้เองเขาเงยหน้าขึ้น แรงกดดันยากจะบรรยายแผ่มาจากตัวเขา แรงกดดันนี้เหมือนเป็นเจ้าปกครอง ทั้งจักรวาล ราวกับว่าเพียงพลิกมือฟ้าก็เป็นคืนมืด แค่โบกมือมวลอากาศผืนฟ้าจะต้องถอยออกด้วยพลังอำนาจทำลายล้าง

ซูหมิงพลันหรี่ตาลง ประโยคสุดท้ายของชายหนุ่มใต้ต้นไม้ทำให้เขาเงยหน้ามองร่างของสามรกร้างที่ลงมาเยือนตรงหน้า มองอย่างนั้นอยู่นานมากๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version