ตอนที่ 1306 ผีเสื้อนี้คือเจ้า…
“ข้าต้องคิดก่อน” ผ่านไปชั่วครู่ซูหมิงถึงตอบกลับช้าๆ ด้วยสีหน้าค่อนข้างจริงจัง
“เดิมทีเรื่องนี้ต้องพิจารณาอยู่แล้ว ช่างเถอะ โอกาสในการเลือกนี้ ข้าให้เวลาจำกัดกับเจ้าที่…ร้อยปี หากเจ้านึกให้ดี จะรู้สึกถึงการคงอยู่ของข้า
ในร้อยปีนี้ เจ้าห้ามยึดครองโลกแท้จริงอื่นๆ อีก มิเช่นนั้น ข้าจะ…ผนึกเจ้า! และราคาต้องจ่ายในการผนึกเจ้าคือ ภัยพิบัติจะมาถึงก่อนเวลาหลายร้อยปี
หากเจ้าเลือกคำตอบที่ข้าต้องการ เช่นนั้น…ข้าก็ยังจะผนึกเจ้า ข้ารอเจ้าได้แค่ ร้อยปีเท่านั้น” ชายหนุ่มยิ้มเรียบๆ มองซูหมิงอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวกลับเดินไปทางความว่างเปล่า ร่างเงาลอยล่อง เดินไปก้าวแรก เลือดเนื้อร่างกายเขาพลันหายวับไปกลายเป็นกระดูก เดินก้าวที่สอง ร่างอีกครึ่งกลายเป็น โครงกระดูก แต่ก็ยังมีพลังชีวิตที่มั่นคง จนกระทั่งเดินก้าวที่สาม เหมือนว่าดวงจิต ที่รวมอยู่ไว้ในร่างออกไป โครงกระดูกนั้นกลายเป็นธุลีลอยไปตามลม
ซูหมิงมองการจากไปของสามรกร้าง มองร่างผู้ฝึกฌานที่เขาเลือกแบบตามอำเภอใจบนดาวดวงนี้ เพราะสามรกร้างใช้ดวงจิตมาเยือนและกระตุ้นศักยภาพชีวิตทั้งหมดของร่างกายนี้เพื่อรองรับเสี้ยวดวงจิตสามรกร้างให้ได้ ดังนั้นพอสามรกร้าง จากไป ร่างกายนี้จึงแห้งเหี่ยวลงเป็นเถ้าธุลีหายไป
ซูหมิงมองภาพนี้เงียบๆ ตอนนี้พอสามรกร้างจากไป ทั้งดาวก็กลับมาเป็นปกติ ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ดวงตาสองข้างขยับประกายคมกริบบางจนไม่สังเกตเห็น เขาก้มหน้ามองต้นไม้โบราณตรงหน้าอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ผ่านไปนาน…เขาก็มองต้นไม้โบราณนั้นอีกครั้ง ครั้งนี้มองอยู่นานมาก จนกระทั่งหลับตาลง ภายในลูกตาที่ปิดไว้มีความเด็ดขาดและแน่วแน่
การสนทนากับสามรกร้างจนกระทั่งสามรกร้างบอกให้เลือก ขั้นตอนนี้ดูเหมือนปกติ แต่มีเพียงซูหมิงที่บรรลุถึงระดับพลังนี้เท่านั้นถึงสัมผัสได้ถึงความชั่วร้าย ทุกประโยคของสามรกร้างแฝงไว้ด้วยความคม หากซูหมิงไม่ระวัง ตอนนี้คงไม่ใช่ให้เลือก แต่คงจะเกิดการต่อสู้แห่งดวงจิตกับสามรกร้างก่อนเวลาอันควรแล้ว
คำตอบของซูหมิง การเปรียบเทียบกลางคืนและกลางวัน ทิศทางการไล่ตามตะวันยามอัศดงตกดิน คำพูดเหล่านี้แฝงไว้ด้วยดวงจิตเขา การสนทนากับสามรกร้างไม่ได้เผยการเปลี่ยนแปลงที่ดวงจิตได้รับผลกระทบเลย ดังนั้นสามรกร้างถึงไม่ลงมือ
ถึงอย่างไรซูหมิงก็มีคุณสมบัติยึดร่างสามรกร้างแล้ว ดังนั้นต่อให้เป็นสามรกร้าง การจะทำลายซูหมิงก็ไม่ได้ง่าย เขาต้องการโอกาส ต้องการเงื่อนงำ แบบนี้ถึงจะไม่ส่งผลต่อแผนการภัยพิบัติมาเยือนตามหายึดร่างซางเซียงในอีกห้าร้อยปีจากนี้ สำหรับสามรกร้างแล้ว มันได้ไม่คุ้มเสีย
ดังนั้นเลยมีคำพูดให้เลือก แต่การเลือกจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่การเลือกอะไร แต่เป็นการข่มขู่อย่างโจ่งแจ้ง ทว่าหากซูหมิงมองมันเป็นการข่มขู่จริงๆ เช่นนั้นคงลิขิตไว้แล้วว่าซูหมิงต้องถูกผนึก ต่อให้เขาเลือกร่วมมือกับสามรกร้าง แต่ว่า…สามรกร้างจะต้องไม่ทำตามคำสัญญาแน่ๆ และจะผนึกตน
เพราะการเลือกนี้คือ เมล็ดพันธุ์ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่สามรกร้างปลูกในใจซูหมิง เหมือนกับคำพูดกลางวันกลางคืนของซูหมิง เขาเองก็ปลูกเมล็ดพันธุ์ของตนใน สามรกร้างเช่นกัน
การพบกันครั้งนี้ดูคล้ายว่าจะไม่เกิดคลื่นใดๆ แต่มีเพียงซูหมิงกับสามรกร้างเท่านั้นที่รู้ว่าชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้ พวกเขาต่างเกิดสัญญาณจะลงมือกันแล้ว
ซูหมิงลืมตาขึ้น หมุนตัวกลับเดินไปทางอวี่เซวียน เดินไปหาท่านปู่โม่ซังที่มีสีหน้ากังวลอยู่ตอนนี้
“เขา…คือใคร?” ท่านปู่ลังเลชั่วครู่ สีหน้าดูเข้าใจเล็กน้อย ซึ่งจริงๆ คำตอบที่แฝงอยู่ระหว่างความเข้าใจกับลังเลลอยขึ้นมาในก้นบึ้งหัวใจท่านปู่แล้ว
“สามรกร้าง” ซูหมิงยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรมาก เขามองท่านปู่ที่ชราลงมาก รู้ว่าในตัวท่านปู่มีความลับมากมาย เกี่ยวกับตัวเองในอดีต เกี่ยวกับเผ่าหมานใหญ่…
“พวกเรา…กลับบ้านกันเถอะ” ซูหมิงพูดเบาๆ ก่อนพาอวี่เซวียนกับท่านปู่เป็นสายรุ้งยาวสามสายออกจากดาวแท้จริงดวงนี้ เข้าไปในฟ้ากระจ่างดาว หายไปใน โลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก
ที่หายไปพร้อมกันยังมีกระเรียนขนร่วงที่มีสีหน้าตื่นเต้นกับมังกรยมโลกที่มีสีหน้าความสุขสบาย พวกมัน…นำหินผลึกทั้งโลกนี้ไป หนึ่งเพื่อเติมเต็มความปรารถนาใน วัยเยาว์ ส่วนความปรารถนานี้ มังกรยมโลกขอไม่บอก แต่ดูจากสีหน้าเคลิบเคลิ้มบ่อยๆ แล้ว เหมือนมีความหมกมุ่นในกามรมณ์อยู่…
เวลาผ่านไป พริบตาเดียวก็สามปี ซูหมิงที่กลับมาถึงยอดเขาลำดับเก้าไม่ได้ออกไปข้างนอกยอดเขาลำดับเก้าอีกในสามปีนี้ เขาอยู่กับพวกศิษย์พี่ ข้างกายมี อวี่เซวียน ชางหลันและสวี่ฮุ่ย
ท่านปู่กลับมาถึงเผ่าหมานแล้ว สร้างเป็นบ้านอาศัยอยู่ตรงตีนเขาทมิฬที่เดิมทีอยู่บนแผ่นดินหมาน มองตะวันขึ้นลงเหมือนกับคนธรรมดาจริงๆ ดูสงบนิ่งมาก
เรื่องราวของเขามีมากมาย บางทีอาจจะผ่านสี่สมัยของยุคนี้มาแล้ว แต่ซูหมิงไม่ได้ถาม เพียงมาที่นี่บ่อยๆ มานั่งข้างท่านปู่ มองฟ้าด้วยกัน ทุกครั้งในเวลานี้เขาจะนึกถึงภูเขาทมิฬในความทรงจำ นึกถึงเสี่ยวหง นึกถึงผู้คนที่ตอนนี้แปลกตาไปแล้วเหล่านั้น
แม้จะไม่ได้ถามความลับของท่านปู่ แต่ด้วยพลังของซูหมิงย่อมมองออกอยู่บ้าง ในตัวท่านปู่มีร่องรอยของวัฏจักรหลายครั้ง ในวัฏจักรหลายครั้งนั้น จ้าวหมาน เผ่าหมานใหญ่ในตอนนั้นก็ใช้วิธีแบบนี้ในการเก็บจิตวิญญาณเขาเอาไว้ อีกทั้งใน วัฏจักรหลายครั้งนั้น บางทีเขาอาจกำลังตามหาภาพที่เขามองเห็นแต่คนอื่นมองไม่เห็นตอนทำนายฟ้าหมานในตอนนั้น
นั่นคือผีเสื้อตัวหนึ่ง เป็นผีเสื้อที่มอบอนาคตให้กับเผ่าหมานใหญ่…
“ผีเสื้อตัวนี้ไม่ใช่ซางเซียง…” ท่านปู่เงยหน้าขึ้นมองซูหมิงที่อยู่เป็นเพื่อนตน อีกหนึ่งวันซึ่งตอนนี้กำลังเดินไกลออกไป พูดพึมพำภายใต้แสงจันทร์
“ผีเสื้อตัวนี้คือเจ้า…ลาซูของข้า” ขณะพึมพำ นัยน์ตาท่านปู่ฉายแววเฝ้ารอคอย เขาไม่มีวันลืมภาพตอนทำนายฟ้าหมานไปชั่วนิรันดร์ ภาพนั้นที่เห็น…เขาวนเวียนอยู่ในวัฏจักรมานับครั้งไม่ถ้วนเพียงเพื่อรอซูหมิง เพียงเพื่อปกป้องเด็กคนนี้ ให้เขาได้สัมผัสกับเผ่าหมาน ให้เขายอมรับเผ่าหมาน…
ในสามปีนี้ หลังจากที่ฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนกับเงามืดรุ่งอรุณหวาดกลัวซูหมิง ในที่สุดศิษย์พี่รองก็ใช้ความสามารถอันโดดเด่นขยายอำนาจยอดเขาลำดับเก้าไป ทั่วทั้งโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ทำให้ยอดเขาลำดับเก้าติดอันดับต้นๆ กลายเป็น สำนักเพียงหนึ่งเดียวในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม
พลังของศิษย์พี่ใหญ่ก็เพิ่มขึ้นทุกวันเช่นกัน ส่วนหู่จื่อ ด้วยนิสัยแล้วเลยทำให้ ไม่อาจอยู่กับที่ได้นาน เขามักจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ ออกตระเวนไปทั่ว ไปโลกแท้จริงอื่นเพื่อแสดงอำนาจ
เพราะมีซูหมิงอยู่ เพราะจักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยหวาดกลัวซูหมิง ดังนั้นจุดที่ยอดเขาลำดับเก้าผ่าน ผู้ฝึกฌานเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนจึงต้องถอย นี่เลยทำให้บ่อยครั้งที่หู่จื่อปรากฎตัว สถานการณ์รบที่ไม่เอื้อผลต่อโลกแท้จริงอื่นๆ จึงไม่อาจดำเนินต่อไปได้
ทว่าส่วนใหญ่หู่จื่อจะมองสงครามของสองฝ่ายแล้วจะตะโกนเสียงดังทันที
“ยอดเขาลำดับเก้ามีทิวทัศน์สวยงาม ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนเห็นศิษย์ยอดเขาลำดับเก้าแล้วยังต้องอ้อม ยอดเขาลำดับเก้ามีศิษย์น้องเล็กที่แกร่งที่สุดในมหาโลกสามรกร้าง คนที่เข้าร่วมยอดเขาลำดับเก้าให้คำรามทันที ท่านหู่อยากรู้นักว่าไอ้ชั่วฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนคนใดจะกล้าลงมือ”
ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงหู่จื่ออยู่ในสนามรบ ขอเพียงมีคนตะโกนว่าจะเข้ายอดเขาลำดับเก้า แม้ผู้ฝึกฌานฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนตรงหน้าจะใช้กระบวนท่าสังหารเข้ามาใกล้แล้วก็ตาม แต่กลับต้องยอมให้วิชาแว้งกัดตัวเองอย่าง ไม่เสียดาย ไม่มีใครกล้าลงมือ
พวกเขาทำได้เพียงยอมรับความคับอกคับใจ เพราะจักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยบอกผู้ฝึกฌานทุกคนอย่างชัดเจนว่าห้ามล่วงเกินยอดเขาลำดับเก้าอย่างเด็ดขาด หากแค่จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยคนเดียวคงไม่เท่าไร แต่ว่า…คำสั่งตายนี้มาจากสามจักรพรรดิรุ่งอรุณ มาจากสามผู้สูงส่งหวนคืน นี่คือความประสงค์ร่วมกันของ หกคนนี้
กระทั่งในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ทุกครั้งที่ผู้ฝึกฌานฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนมาเยือนรอบใหม่ พวกเขาจะไปคารวะยอดเขาลำดับเก้าเป็นที่แรกแล้วถึงจากไป
นามของซูหมิงสะเทือนทั้งสามรกร้างในสามปีนี้ และเพราะขุมอำนาจของยอดเขาลำดับเก้าที่มากขึ้นเรื่อยๆ ในสามปีจึงมีผู้ฝึกฌานเพิ่มขึ้นหลายเท่า คนเหล่านี้เคยเป็น ผู้ฝึกฌานของโลกแท้จริงอื่น ไม่ว่าพวกเขาจะมีจุดประสงค์อะไรก็ตามแต่ ทว่าต่างก็เลือกเป็นศิษย์ยอดเขาลำดับเก้า
พวกเขาสร้างสำนักสาขาของยอดเขาลำดับเก้าในโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก ในโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ก็มีสำนักสาขาของยอดเขาลำดับเก้าเช่นกัน ศิษย์พี่ใหญ่กับหู่จื่อแยกกันอยู่ในสองสำนักสาขานี้ สยบโดยรอบด้วยพลานุภาพ
เมื่อเวลาผ่านไปอีกสามปี ในปีที่สองกับสามเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเล็กน้อย อย่างเช่น ซูเซวียนอีกับเหลยเฉินในโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกหายตัวไป หมิงหวงกลับ เงามืดรุ่งอรุณ ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนี้หรือผู้ฝึกฌานที่หนีหายนะความตายต่อหน้าซูหมิงคนนั้นเลือกเป็นศิษย์ยอดเขาลำดับเก้า
ในโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ หลังยืนหยัดมาปีที่ห้า วงแหวนอาคมป้องกันโลกพังลง ปีที่หกถูกฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนยึดครอง สิ่งมีชีวิตในนั้นลำบาก ยากเข็ญ เกิดการตายขึ้นอย่างอนาถา…
ซูหมิงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาไม่ใช่ผู้มีคุณธรรมสูงส่ง เขาจะอ่อนโยนกับคนที่เขาสนใจเท่านั้น ส่วนคนอื่น…ในสายตาเขาที่เป็นโลกนี้ นอกจากดวงจิตสามรกร้างที่แกร่งที่สุดแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการขึ้นลงของชีวิต
เงามืดรุ่งอรุณก็ดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนก็ดี ซูหมิงมองสาเหตุที่พวกเขาก่อสงครามจริงๆ ออกนานแล้ว นั่นคือการเซ่นไหว้…
จวบจนครบสามปีครั้งที่สามมาถึงจนกระทั่งสิ้นสุดลง สงครามที่ซูหมิงไม่สนใจเกิดเหตุการณ์เลวร้ายครั้งหนึ่ง เหตุการณ์เลวร้ายครั้งนี้อยู่ในการคาดเดาของเขา เพราะการเซ่นไหว้…ต้องการสองฝ่ายไม่ใช่ฝ่ายเดียว มิเช่นนั้นจะเป็นการสังหาร ไม่ใช่การเซ่นไหว้
เหตุการณ์เลวร้ายนี้มาจากโลกแท้จริงที่สี่ บรรพชนวิญญาณเหล่านั้น ที่ถูกสี่โลกแท้จริงกำราบแห่งสี่สมัยในยุคนี้ เหมือนกับว่าในคืนหนึ่งถูกเปิดผนึก ควบคุมออก พอออกมาข้างนอกแล้ว ก็ทำสงครามอย่างดุเดือดกับฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน
ถึงขั้นสงครามนี้ส่งผลมาถึงยอดเขาลำดับเก้า บรรพชนวิญญาณที่ถูกปล่อยมาเหล่านั้น ความบ้าคลั่งและอวดดีของพวกเขาทำให้สี่โลกในมหาโลกสามรกร้างเกิด กลียุค จนถึงตอนนี้ซูหมิงยกมือขวาขึ้นวางหมากที่กำลังเล่นกับท่านปู่ลง เงยหน้าขึ้นมองไปทางโลกแท้จริงที่สี่
“ต้องสั่งสอนบรรพชนวิญญาณเหล่านั้นเสียบ้าง ทำให้โลกนี้วุ่นวาย แต่ถึงจะวุ่นวายก็ต้องวุ่นวายอย่างเป็นลำดับขั้นตอน ไม่ใช่อย่างตอนนี้” ขณะซูหมิงพูดขึ้นเรียบๆ ท่านปู่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่ได้พูดอะไร แต่ก้มหน้ามองกระดานหมาก