Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1314

ตอนที่ 1314 วิญญาณ

ขณะที่ซูหมิงอาศัยกลิ่นอายพลังจากหินในกล่องหยกย้อนเวลาไปกลางจักรวาลกว้างใหญ่ในอดีตยุคโบราณไม่รู้กี่ยุคก่อน แล้วยังไม่หลบแต่เผชิญหน้ากับชายหนุ่ม ชุดคลุมดำ กล้าสู้กับอีกฝ่าย เปลี่ยนเป็นกระบี่ดวงจิตพุ่งเข้าไปนั้น…

ในฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ในวิหารที่อยู่ของผู้สูงส่งหวนคืนสามท่านนั้น เสวียนจิ่วหลับตา ร่างสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง กระดูกสัตว์ตรงหน้าเขาพลันแตกออก การทำนายของเขาเหมือนถูกพลังมหาศาลรบกวน ทำให้ดวงตาเขาเหมือนจะลืมตา สีหน้าดูเจ็บปวด

คล้ายกับว่าแรงในการลืมตาไม่ได้มาจากเขา แต่มาจากมวลอากาศ เหมือนกับว่าในมวลอากาศมีพลังบางอย่างทำให้เขาไม่อาจทำนายทุกอย่างของซูหมิง

แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้สูงส่งหวนคืนที่อายุขัยมากที่สุดในฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนกับเงามืดรุ่งอรุณ เขามีอุบายซ่อนไว้หยั่งลึก ความคิดกว้างไกล มิใช่ขั้นไม่อาจกล่าวธรรมดาจะเทียบได้!

แทบเป็นช่วงที่กระดูกสัตว์เหล่านั้นเป็นเถ้าธุลีหายไปและเหมือนเขาจะถูกบีบให้ลืมตาขึ้นนั้น เสวียนจิ้วพลันหลับตาแน่นพร้อมยกมือขวาขึ้น ห้านิ้วมือคว้าไปทาง มวลอากาศพร้อมเอ่ยไปพยางค์หนึ่ง

“คม!”

สิ้นเสียงมือขวาเขาสั่นไหว ผู้สูงส่งหวนคืนโลกนี้อีกสองคนข้างกายเห็นชัดว่า เลือดเนื้อมือขวาเสวียนจิ่วพลันกลายเป็นน้ำโลหิต เผยเป็นกระดูกภายใน แต่มือกลับไม่ได้หยุดแม้แต่น้อย เหมือนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ยังคงยื่นไปในอากาศ ตอนที่สัมผัสกับอากาศ หนึ่งร้อยแปดสิบโลกทั้งฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนสั่นสะเทือน

ในเวลาเดียวกัน ห้านิ้วมือขวาชายชราคนนี้เหมือนจะคว้าบางสิ่งมาจากในอากาศ ก่อนกระชากออกมาข้างนอก กระดูกนิ้วชี้แตกละเอียด ต่อมาก็นิ้วที่สอง นิ้วที่สาม จนสามนิ้วแตกหมดแล้ว มีหมอกกลุ่มหนึ่งถูกกระชากออกมาจากในมวลอากาศ

หมอกนี้เป็นพายุหมุนโคจรตรงหน้าเสวียนจิ้วไม่หยุด แผ่กระจายกลิ่นอาย พลังโบราณ กลิ่นอายพลังนี้ยังเหมือนว่ามาจากอดีต เมื่อสัมผัสทั่วร่างจะเน่าเปื่อยเหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาตรงหน้าผากเสวียนจิ่ว ผู้สูงส่งหวนคืนอีกสองคนข้างๆ เป็นชายหญิงคู่หนึ่งตอนนี้มองทุกอย่างตาไม่กะพริบ นี่ไมใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเห็นเสวียนจิ่วทำนาย แต่เป็นครั้งแรก…ที่เห็นเสวียนจิ่วใช้วิชานี้แล้วอนาถาและน่าตกใจ ถึงเพียงนี้

ครู่ต่อมาผู้สูงส่งหวนคืนเสวียนจิ่วลืมตาขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย คลุมลูกตา เหมือนกับร่างเป็นวงแหวนอาคมสีโลหิตอันหนึ่ง โลหิตพุ่งทะลักออกมาจากปาก หนำซ้ำพายุหมุนตรงหน้ายังเริ่มเกิดเค้ารางหายไป

รูปลักษณ์เสวียนจิ่วดูแก่ชราลงกว่าเดิมในฉับพลัน หลังกระอักเลือดแล้วก็ไม่หยุดแค่นี้ แต่กระอักเลือดติดกันเก้าครั้ง ทุกครั้งกลิ่นอายพลังเขาจะอ่อนแอลงเล็กน้อย จนกระอักเลือดครบเก้าครั้งแล้วถึงถอยหลังไปหลายก้าว ดูแก่ชราจนเหมือนกับศพ ไม่เน่าเปื่อยที่ไม่รู้ว่าถูกฝังในโลงมากี่ปี

แม้จะแก่ชรา แม้จะกระอักเลือดเก้าครั้ง แต่เสวียนจิ่วกลับหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะแหบแห้ง แต่กลับมีความตกใจระคนดีใจ ถึงบอกว่าเขาอ่อนแอลง แต่เสียงหัวเราะกลับเหมือนจะบอกกับผู้สูงส่งหวนคืนอีกสองคนว่า เขาเสวียนจิ่ว…ทำนายความจริงอันลึกลับและมหัศจรรย์ได้!

“ทำลายกองทัพที่ลงมาเยือน!”

“ภัยพิบัติแห่งซางเซียง!”

“ภัยพิบัติแห่งซูหมิง!”

“เคราะห์ภัยนี้ เขาต้องตายแน่ เคราะห์ภัยนี้ เขาไม่อาจหนีได้ เคราะห์ภัยนี้…เกิดขึ้นแล้ว ดวงจิตเขาสลายไปในอดีต ไม่มีอดีต จะมีปัจจุบันได้อย่างไร เขา…ตายไปแล้ว…หืม?” เสวียนจิ่วยังพูดไม่จบก็หน้าเปลี่ยนสี ขณะนั้นเขายังไม่ทันทำอะไรร่างกายกลับสั่นไหว ภายในหมอกน้ำวนที่กำลังจะหายไปตรงหน้าเขาหยุดการหายไปราวกับไม้เหี่ยวพบฤดูใบไม้ผลิ อีกทั้งยังจะกลับเข้าไปในมวลอากาศอย่างรวดเร็วอีกครั้งด้วย

“นี่เป็นไปไม่ได้ นี่…” นัยน์ตาเสวียนจิ่วฉายแววบ้าคลั่ง ขณะกำลังจะคว้า พายุหมุนอีกครั้งนั้น…

ขณะเดียวกันในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ

“วิญญาณ!” ซูหมิงลืมตาขึ้น โดยรอบยังเป็นฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ เป็นโลกที่ หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ด เหยียนเผยมองซูหมิงตาไม่กะพริบ และยังมีชายร่างกำยำ เผ่าลายหมีกับชาวเผ่าคนอื่นตอนนี้ต่างหน้าซีดขาว ชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้ พวกเขารู้สึกชัดเจนถึงกลิ่นอายมรณะเข้มข้นจากตัวซูหมิง

ความแรงของกลิ่นอายพลังนี้เหมือนปกคลุมทั้งโลกได้ แต่ว่า…ตอนที่กลิ่นอายพลังนี้อบอวลถึงขีดสุดนั้น กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยในฉับพลัน พร้อมกันนั้น ซูหมิงลืมตาขึ้น ดวงจิตเขากลับมาในร่างอีกครั้ง ราวกับว่าทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพมายา เป็นช่วงหนึ่งที่เดิมทีไม่เคยเกิดขึ้นอยู่แล้วในอดีต แต่ตอนนี้มันทำให้ ซูหมิงเหมือนถูกชะล้างไปครั้งหนึ่ง เปลี่ยนไปจนคนอื่นมองไม่เห็น แต่เขาเองกลับรู้ แน่ชัดว่าต่างออกไป!

พอเขาลืมตาขึ้นมาแล้วก็พูดขึ้นว่าวิญญาณ ซูหมิงเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึง พูดแบบนี้ แต่มันเป็นความรู้สึก ใช้กลิ่นอายพลังนั้นเป็นตัวนำ ภาพต่างๆ ในช่วงเวลาโบราณทำให้เขาข้ามผ่านระหว่างอดีตกับความจริง เพราะดวงจิตแหลกสลายไป ในอดีต แต่ตอนนี้รวมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เกิดเป็นคำพูดคำหนึ่งที่เป็นนิรันดร์ในจักรวาลกว้างใหญ่

คำนี้คือคำว่าวิญญาณ!

หนึ่งวิญญาณ หนึ่งคำ เหมือนแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้งสูงสุด

ตอนที่ลืมตาขึ้น แสงที่เปล่งประกายมาจากในดวงตาซูหมิงเหมือนทำให้จิตใจที่ ไม่สงบลงก่อนหน้านี้กลับมาสงบลงในฉับพลัน ความคิดที่ไม่โลดแล่นกลับมาราบรื่น ซ้ำยังทำให้จิตที่ไม่นิ่งก่อนหน้านี้สงบนิ่งในพริบตา

และทุกอย่างเกี่ยวข้องกับคำคำเดียวในจักรวาลกว้างใหญ่ตั้งแต่โบราณกาลมา คำนั้น เกี่ยวอย่างไรนั้นซูหมิงยังไม่รู้ แต่เขารู้สึกได้รางๆ ว่าเมื่อถึงวันนั้นที่เขาเข้าใจ พลังในตอนนั้น ขั้นพลังของเขาจะยกระดับอีกครั้ง บางที…อาจไปถึงระดับเดียวกับชายหนุ่มชุดคลุมดำคนนั้น!

นี่คือทิศทาง เป็นทิศทางที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในใจซูหมิงก่อนหน้านี้ แต่ยามนี้ ทิศทางปรากฏแล้ว ชายหนุ่มคนนั้นคือ ตัวอันตราย บางทีอาจเป็นพิบัติภัยของซูหมิง แต่เคราะห์ภัยนี้ไม่ทำให้เขาจิตใจไม่สงบ ความคิดไม่โลดแล่นและจิตไม่นิ่งอีก เพราะเขาพบทิศทางแล้ว เพราะเปล่งเสียงคำคำนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาเลยเหมือนกับผลัดเปลี่ยนกระดูก เกิดเป็นความมั่นใจและศรัทธาอันแรงกล้าในจิตวิญญาณ

ความมั่นใจและศรัทธานี้ หากก่อนหน้านี้ซูหมิงไม่ตัดสินใจไปเผชิญหน้ากับ ชายหนุ่มชุดคลุมดำ เช่นนั้นบางทีเขาอาจทำแบบนี้ไม่ได้ ทุกอย่างของทุกอย่าง มีเพียงเขาเผชิญหน้า มีเพียงอย่าหวาดกลัว มีเพียงจิตใจ ความคิดและจิตสงบนิ่งเท่านั้นถึงจะแลกมาซึ่งคำว่าวิญญาณแห่งนิรันดร์นั้นมาได้ ถึงจะ…ทำให้คนคนหนึ่งผลัดเปลี่ยนไปอย่างแท้จริงได้

‘ข้าเผชิญหน้ากับเขาครั้งแรกได้ ก็เผชิญหน้าครั้งที่สองได้…’

‘ดวงจิตสามรกร้างก็ดี ซางเซียงก็ดี…’ ดวงตาซูหมิงขยับประกายวูบวาบ ขณะพึมพำยังก้มหน้าลงมองคนรอบๆ ตอนนี้เองผู้ฝึกฌานที่สบตากับเขาต่างพากันใจสั่นไหวก้มหน้าลง

ซูหมิงยกมือขวาขึ้นโบก เก็บกล่องหยกใบสุดท้ายที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขาไปใน ถุงเก็บวัตถุ จากนั้นเอ่ยเสียงดังก้องข้างหูจักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผย

“ไปจัดการเรื่องที่ข้ามอบหมายให้เจ้าทำให้เร็วที่สุด นอกจากนี้…มอบแผนที่ทั้งฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณให้ข้าด้วย” เสียงซูหมิงเข้าถึงหูจักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยทำให้เขาก้มหน้าขานรับอย่างไม่ลังเล ในใจตกตะลึงยิ่ง ที่นี่นอกจากซูหมิงแล้วเขามี พลังสูงสุด ดังนั้นเขาจึงเห็นเงื่อนงำที่คนอื่นมองไม่เห็นเล็กน้อย

ชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้ เขามีความรู้สึกเด่นชัดว่าซูหมิงตรงหน้าเหมือนตายไปแล้ว ถูกกลิ่นอายมรณะปกคลุม กลิ่นอายมรณะนั้นมาจากอดีต เพียงแค่มองแวบเดียว จะรู้สึกว่าถูกกดดันจนหายใจไม่ออก

แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปเมื่อซูหมิงเปล่งเสียงคำว่าวิญญาณ ประหนึ่งใบไม้เหี่ยวเจอฤดูใบไม้ผลิ เปลี่ยนจากของเน่าเสียเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้เกิดคลื่นใหญ่วนเวียนในความคิดเขา ขณะเดียวกันยังทำให้เขามองว่าซูหมิงลึกลับ ยิ่งกว่าเดิม

ในเวลาเดียวกัน เหยียนเผยหยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง หลังมอบให้ซูหมิง อย่างนอบน้อมแล้วก็ถอยไปหลายก้าว รอให้ซูหมิงสั่งต่อ

ซูหมิงรับแผ่นหยกไปมองแวบหนึ่งแล้วหันไปมองเหยียนเผย ยกมือขวาขึ้นชี้ไป ตรงระหว่างคิ้วเหยียนเผยเกิดน้ำวนวงหนึ่งขึ้นก่อนวิญญาณเขาจะบินออกมาในทันใด จนเมื่อหลอมรวมเข้าไปในแผ่นหยกแล้ว ซูหมิงก็เก็บแผ่นหยกไป

“แผ่นหยกนี้หลอมรวมวิญญาณเจ้า หลังจากทำงานเสร็จแล้ว ให้นึกถึงนามข้า ในใจ ข้าจะรู้ถึงใจเจ้า” ซูหมิงหมุนตัวกลับเดินไปทางอากาศหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็หายไปจากโลกที่หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดของเผ่าลายหมี

กระเรียนขนร่วงตามหลังมาอย่างรวดเร็ว พอเข้ามาใกล้ยังหันไปมองเหยียนเผยอย่างลำพองใจ แต่ความลำพองใจไม่เด่นชัดนัก เพราะเมื่อตอนที่ทั่วร่างซูหมิงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะ มันรู้สึกรางๆ ถึงความน่ากลัวและหนาวเยือกอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนในชีวิตจากในกลิ่นอายมรณะนั้น

ตอนนี้ ณ ฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ตอนที่เสวียนจิ่วคนนั้นยกมือขึ้นหมาย จะคว้าไปยังพายุหมุน มือเขาคว้าพายุหมุนนั้นจริงๆ แต่ตอนที่สัมผัส มือขวาพลันแหลกสลายไป ร่างยังกระเด็นถอยไปพร้อมกระอักเลือดอีกครั้ง ครั้งนี้โลหิตเป็นสีดำ เหมือนว่ารับผลย้อนกลับบางอย่าง หลังเขากระเด็นถอยไปแล้ว พายุหมุนนั้นก็ หลอมรวมหายเข้าไปในน้ำวนทันที

“พายุหมุนนี้คือ ชะตาชีวิตของเขา ข้าใช้ชะตาแลกชะตาถึงจะเหนี่ยวนำมันออกมาได้ แต่ชีวิตนี้…เหนี่ยวนำได้เพียงครั้งเดียว ข้า…เห็นถึงภัยพิบัติมรณะ ของเขาแล้ว เห็นดวงจิตเขาสลายไปแล้ว สิ้นชีพลงด้วยพลังทำลายล้าง…

แต่ว่า…เห็นๆ อยู่ว่าเขาตายไปในอดีตแล้ว เหตุใดตอนนี้ถึงยังมีชีวิตอยู่ เพราะเหตุใด นี่มันเพราะเหตุใด!” เสวียนจิ่วพึมพำก่อนกระอักเลือดอีกครั้ง ทันทีที่กระอักเลือด เขาหลับตาลง แม้เขาจะยังไม่สิ้นชีพลง แต่พลังชีวิตเสียหายอย่างหนักจึงหมดสติไป

ไอหนาวโผล่ขึ้นมาในใจผู้สูงส่งหวนคืนเซียวซงกับเฟยฮวาข้างๆ สองคนนี้มองหน้ากันแล้วก็เงียบ

เป็นตอนนี้เอง ในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ จักรพรรดิรุ่งอรุณชางซานหนู(สามทาส)ที่แกร่งที่สุดในเงามืดรุ่งอรุณท่านนั้นลืมตาขึ้นจากสมาธิ ในดวงตามีความมุ่งมั่นใน การต่อสู้กับจิตสังหาร ตอนที่ซูหมิงออกจากโลกที่หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ด เขารู้สึกถึง การคงอยู่ของซูหมิง

“ข้าจะสู้กับเจ้า หลังจากศึกครั้งนี้ ข้าจะมีนามว่าซื่อหนู!(สี่ทาส)”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version