Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1352

ตอนที่ 1352 หากเตียวหลันยังอยู่

เป็นครั้งแรกที่กระเรียนขนร่วงพูดแบบนี้ ซูหมิงได้ยินยังรู้สึกเป็นทุกข์ในใจ เขามองกระเรียนขนร่วง สำหรับเขาแล้วกระเรียนขนร่วงไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แต่เป็นสหาย กระทั่งเทียบได้กับเหลยเฉิน ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและหู่จื่อ

มิตรภาพแบบนี้เป็นดั่งสุราเก่า เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ยิ่งเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งดื่ม จะเมายิ้มไปชั่วชีวิต

“นางคือ…” ซูหมิงถามขึ้นเสียงเบา

“น่าจะเป็นเฟยฮวา…น่าจะใช่” กระเรียนขนร่วงพึมพำ มันเฝ้ามองอยู่ที่นี่มา ร้อยกว่าปีแล้ว มันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพบมันหรือไม่ มันรู้เพียงว่าตนอยากมองแบบนี้ อยากมากๆ เหมือนเคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่มันมองหญิงคนหนึ่งแบบนี้ แต่ตอนนั้นมันเหมือนจะไม่ได้สนใจว่าข้างหลังมีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองมันอยู่เช่นกัน และตอนนั้น ตนไม่ใช่กระเรียนขนร่วง สำหรับมันที่แปลงกายได้แล้ว แม้กระเรียนขนร่วงจะเป็น ร่างที่มันใช้บ่อยที่สุด แต่มัน…ก็ลืมไปแล้วว่านั่นคือตัวเองจริงๆ หรือไม่

นี่คือความเศร้า และยังเป็นความเจ็บปวด ลืมหน้าตาตอนแรกสุดของตัวเอง ลืมว่าเหตุใดตนถึงเป็นกระเรียนขนร่วง…มันเหมือนจะยังจำได้ว่าตนในอดีตไม่ใช่หน้าตาอย่างนี้ แต่เป็นผู้ฝึกฌานคนหนึ่ง

“ข้ายังเก็บกายเนื้อเจ้าเอาไว้ หากเจ้าต้องการ…ก็หลอมรวมกับกายเนื้อได้ นี่จะทำให้ความทรงจำเจ้าฟื้นกลับมาได้มาก” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนมอง กระเรียนขนร่วงพร้อมพูดเสียงเบา

กระเรียนขนร่วงเงียบ…มันในตอนนั้นไม่เลือกหลอมรวมกับกายเนื้อ เพราะมันมีลางสังหรณ์ว่าหากหลอมรวมแล้ว มันจะฟื้นความทรงจำกลับมา แต่ว่า…ขณะเดียวกับที่ความทรงจำฟื้นกลับมา ก็เท่ากับความทรงจำอีกส่วนหายไป

ทางเลือกแบบนี้ทำให้มันสับสน ขณะเดียวกันภายในมุมหนึ่งแห่งกาลเวลาไม่รู้กี่ปีที่ถูกควบคุมอยู่ในใจมัน มีเสียงคำรามแหลมดังขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งอยากจะส่งผลถึงจิตใจกระเรียนขนร่วง

“หลอมรวมกายเนื้อ เอาความทรงจำเจ้ากลับมา เจ้าคือข่งหมัว เจ้าคือผู้แข็งแกร่งที่ทำเลวอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใดในฟ้าดิน ในจักรวาล ในโลกของซางเซียงตัวนี้ เจ้าคือ…ข่งหมัว!

ปลุกข่งหมัวก็เท่ากับปลุกตัวเจ้าเอง ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงทำให้กายเนื้อเจ้าแหลก เป็นเขาที่สู้กับเจ้าแล้วเจ้าเสียตัวเองไป ตื่น…ตามหาผู้เฒ่าเมี่ยเซิงแล้วประมือกับเขาอีกครั้ง!”

“ออกไป ไสหัวไปให้พ้นท่านกระเรียน!” ดวงตากระเรียนขนร่วงเกิดเส้นเลือดฝอย มันพลันตะโกนเสียงต่ำ ควบคุมเสียงที่เดิมทีดังขึ้นเรื่อยๆ ในใจเอาไว้ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองซูหมิง

“ข้าไม่อยากเป็นข่งหมัว…” กระเรียนขนร่วงกล่าวขึ้นพร้อมตัวสั่นไหวเบาๆ มันหันไปมองหญิงชราข้างทะเลสาบใต้บ้านไม้ ตอนนี้เองหญิงชราคนนั้นเงยหน้าขึ้น เหมือนจะสบตากัน

กระเรียนขนร่วงน้ำตาไหล แต่กลับไม่อาจหยดลง ได้แต่หายไป…

“ไป พวกเราไปกันเถอะ สมควรตาย ข้ายังเก็บหินผลึกได้ไม่มากพอเลย!” กระเรียนขนร่วงพลันหมุนตัวกลับกลายเป็นสายรุ้งยาวบินขึ้น ซูหมิงมองกระเรียน ขนร่วงเงียบๆ เขารู้สึกถึงความเศร้าและซับซ้อนของมัน ยามที่หันกลับไปมองหญิงชราคนนั้น เขาก็เห็นน้ำตาในดวงตานางเช่นกัน

ซูหมิงถอนหายใจเบา ก่อนยกมือขวาชี้ไปยังหญิงชราคนนั้น เพียงชี้ไปหญิงชราที่นั่งอยู่ใต้บ้านไม้เงียบๆ เกิดน้ำวนขึ้นตรงระหว่างคิ้ว จากนั้นมีเงามายาเทพสัตว์ห้าหน้าพุ่งออกมาโดยพลัน กลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งตรงมาหาซูหมิง เมื่ออยู่ในมือซูหมิงแล้ว เขาส่ายหน้าแล้วหมุนตัวจากไป

“แก้คำสาปให้เจ้าแล้ว ฟื้นพลังให้เจ้าแล้ว…” ซูหมิงจากไปพร้อมกับประโยคนี้ เสียงดังก้องข้างหูหญิงชราที่ตอนนี้ใบหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลับมาเป็นใบหน้า เด็กสาวอีกครั้ง

แต่เด็กสาวที่ฟื้นใบหน้ากลับมากลับเหม่อมองตรงจุดที่กระเรียนขนร่วงอยู่เป็นร้อยปีข้างทะเลสาบ นางไม่ได้สนใจคำสาปที่หายไป ไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงของหน้าตา ร้อยปีมานี้…นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคนคนนั้นที่นางเฝ้ารออยู่ตรงนั้น มองตนเงียบๆ มาตลอด

ถึงหน้าตาคนคนนั้นจะเปลี่ยนไป แต่นางไม่ลืมความรู้สึกนั้น และก็ไม่ลืมการ เฝ้ารอมาตลอดหลายปีของตน นางไม่ขอให้อีกฝ่ายมาปรากฏตรงหน้าตน แค่อยู่เป็นเพื่อนข้างทะลสาบร้อยกว่าปีมานี้ก็พอใจแล้ว…

นี่กลายเป็นร้อยปีที่อบอุ่นที่สุดหลังจากนางบรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าว

เด็กสาวถอนหายใจเบา ก้มหน้าลง ตอนที่ยกมือขวาขึ้น ตรงหน้ามีภาพโบราณม้วนหนึ่งเปิดออก กระดาษภาพเป็นสีเหลืองแล้ว แฝงไว้ด้วยร่องรอยของกาลเวลา แต่กลับปกปิดเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าลำพองใจยืนอยู่ข้างหญิงสองคนในภาพไม่ได้ รอยยิ้มงดงามมาก และยังมีความรู้สึกเจ้าเล่ห์

“หากเตียวหลันยังอยู่…” เด็กสาวกล่าวเสียงเบา นางมองเด็กหนุ่มในภาพนั้นแล้วหลับตาลงช้าๆ

ซูหมิงจากไปแล้ว พากระเรียนขนร่วงกลับไปยังช่องโหว่สามรกร้าง เข้าไปในช่องโหว่ กลับไปยัง…โลกของสามรกร้าง

ฟ้ากระจ่างดาวคุ้นเคย กลิ่นอายพลังคุ้นเคย ดาราสัจธรรมคุ้นเคย…

ซูหมิงคุ้นเคยกับทุกอย่างที่นี่ ที่นี่คือบ้านเขา ยอดเขาลำดับเก้ายังคงรุ่งเรือง การพัฒนาร้อยกว่าปีมานี้ทำให้ยอดเขาลำดับเก้าพุ่งทะยานขึ้นฟ้า

ส่วนผู้รุกรานจากฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนก็ถูกส่งกลับโลกของพวกเขาไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนที่คนชุดคลุมดำสามคนนั้นจะแปลงกายเป็นซูหมิงเปิดฉากสังหารในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน การกลับไปครั้งนี้…ไม่ได้กลับมาอีกเลย

สี่โลกแท้จริงแห่งสามรกร้างที่ผ่านสงครามมาอย่างหนักก็กลับมาสงบอย่างพบเห็นได้ยาก ผู้ฝึกฌานที่เหลือรอดเริ่มฟื้นฟูตัวเอง สี่โลกแท้จริงเหมือนจะกลับมาอย่างในอดีตอีกครั้ง

เพียงแต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าภัยพิบัติจะมาถึงแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า หลายร้อยปีจากนี้…พวกเขาจะไม่อยู่แล้ว

นอกวงแหวนอาคมธูปสวรรค์ ซูหมิงยืนอยู่ข้างธูปสวรรค์ที่หายไป มองที่นี่เงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่…เขาหมุนตัวกลับ พากระเรียนขนร่วงที่ยังคงจิตตกเล็กน้อยมาอยู่ กลางฟ้าที่ดูเหมือนเงียบสงบมากนอกประตูสำนักยอดเขาลำดับเก้า

ที่นี่สงบนิ่ง เงียบสงบ เหมือนฟ้ากลายเป็นน้ำทะเลสาบที่ไร้ระลอกคลื่น มองไม่เห็นวงกระเพื่อมบนผิวทะเลสาบแม้แต่น้อย แต่ซูหมิงยืนอยู่ตรงนี้นานมาก

“ข้าอยากไปพบสหายเก่าสองคน” ซูหมิงมองกระเรียนขนร่วง

กระเรียนขนร่วงพยักหน้าก่อนมองยอดเขาลำดับเก้า

“ข้าคิดถึงมังกรยมโลก…ไปเจอกันที่ยอดเขาลำดับเก้า” กระเรียนขนร่วงพูดขึ้นอย่างห่อเหี่ยวแล้วหมุนตัวจากไป

คล้อยหลังกระเรียนขนร่วง ซูหมิงมองฟ้าสงบนิ่งพลางถอนหายใจเบา เขาพบว่าหลังตนตระหนักรู้เต๋าไร้ที่สิ้นสุด ก็เหมือนกับนำการถอนหายใจในร้อยกว่าปีมานั้น รวมไว้ในช่วงเวลานี้ทั้งหมด เขาเดินหน้าหนึ่งก้าวด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย

เมื่อก้าวเท้าลง ฟ้ากระจ่างดาวพลันบิดเบี้ยว ตอนที่กลับมาเป็นปกติ ซูหมิงเหมือนเข้าไปในฟ้าอีกแห่ง เป็นฟ้าที่สร้างขึ้นจากดวงจิตดาราสัจธรรมของเขาบิดรูป

ทันทีที่เข้ามา คนชุดคลุมดำสามคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในฟ้าพลันเงยหน้าขึ้น

คนชุดคลุมดำสามคนนี้คือ สามในสี่ผู้รับใช้ ความจริงพวกเขามาถึงมหาโลกสามรกร้างตั้งนานแล้วตามคำสั่งผู้เฒ่าเมี่ยเซิง นั่นคือตอนที่ซูหมิงใช้อภินิหารใต้ต้นเฟิงบนดาวของเด็กเลี้ยงสัตว์ ตอนนั้นเขาหลับตาดูเหมือนปกติ แต่ความจริงเขามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ไม่ได้ใช้วิชาน่าตะลึงอะไร เพียงแค่บิดรูปผืนฟ้าขังคนชุดคลุมดำสามคนไว้ที่นี่

ตอนนี้เมื่อเขาเข้ามา พริบตาที่คนชุดคลุมดำสามคนนั้นมองไปทางซูหมิง พวกเขายืนขึ้นจากท่านั่งสมาธิ ส่วนซูหมิง…มาปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา

พูดจริงๆ คือมาปรากฏอยู่ตรงหน้าคนชุดคลุมดำทุกคน

เพราะในผืนฟ้าที่ดวงจิตซูหมิงบิดรูปแห่งนี้ คนชุดคลุมดำสามคนนั้นดูเหมือนอยู่ด้วยกัน แต่ความจริงแล้วพวกเขามองไม่เห็นกัน เหมือนกับโลกนี้ถูกแบ่งเป็นสามชั้น ทุกชั้น…ขังหนึ่งคน

ส่วนซูหมิงแบ่งเป็นสามร่างอยู่ในทุกชั้น

ในผืนฟ้าชั้นแรก คนชุดคลุมดำร่างกายกำยำ เขามองซูหมิงที่ปรากฏตัวตรงหน้าพลางแค่นเสียงขึ้นจมูก น้ำเสียงมีความรู้สึกบ้าอำนาจ ตอนที่เสียงดังขึ้นยังทำให้ผืนฟ้าสั่นไหวชั่วครู่

“เทพหมานรุ่นสี่ซูหมิง คารวะเทพหมานรุ่นหนึ่ง…ผู้อาวุโสเลี่ยซานซิว” ซูหมิงมองคนร่างเงากำยำสูงใหญ่พลางประสานมือคารวะแล้วพูดขึ้นเสียงเบา

ขณะเดียวกับที่เขาเอ่ย คนชุดคลุมดำร่างสูงใหญ่เงียบไปชั่วครู่ จากนั้นถอดชุดคลุมดำออก เผยเป็นใบหน้าที่สง่าผ่าเผยและห้าวหาญไม่ธรรมดา ใบหน้านั้นผ่านโลกมาเนิ่นนาน แฝงไว้ด้วยความหยาบ นี่คือ…เลี่ยซานซิว!

ยามที่มองซูหมิงเขามีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขายังมีสติครบถ้วนเหมือนกับบรรพบุรุษเผ่ายมโลก ไม่ได้มีความรู้สึกถูกควบคุมเลย

“ตอนนั้นเจ้าไม่ควรปฏิเสธเป็นผู้รับใช้คนที่ห้า” สองคนสบตากันอยู่นาน ก่อนเลี่ยซานซิวจะพูดเสียงแหบแห้ง ในน้ำเสียงมีความน่าเกรงขามอย่างไม่ต้องสงสัยและยังมีความบ้าอำนาจจากนิสัย เทพหมานรุ่นหนึ่งในอดีตท่านนี้นำพาเผ่าหมานผงาดขึ้น สร้างอาณาจักรเผ่าหมาน กระทั่งได้ประกาศศักดาในสงครามกับเผ่าเซียนตอนนั้น ชายร่างกำยำที่สร้างเพลงเทพหมานคนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าซูหมิง เพียงคำพูดง่ายๆ กลับทำให้กฏฟ้ารอบๆ จะเปลี่ยนไปได้

“เจ้ายิ่งไม่ควรเป็นศัตรูกับนายท่านเมี่ยเซิง เจ้าไม่เข้าใจเต๋าของเขา…แต่หาก เจ้ายอมรับว่าข้าคือเทพหมานของเผ่าหมาน ก็ตามข้าไปพบนายท่าน เจ้าจะเข้าใจเอง เต๋าของเขาต่างหากที่เป็นเต๋าที่พวกเราทุกคนแสวงหา!” เลี่ยซานซิวหันหน้าไปมองอากาศ แม้จะไม่เห็นยอดเขาลำดับเก้า แต่เขาเหมือนรู้สึกถึงสายเลือดเผ่าหมานจำนวนมากที่นั่น

“พวกเราไม่ใช่ศัตรู ไปเถอะ ไปพบนายท่านเมี่ยเซิงกับข้า…”

“เต๋าของเขาคืออะไร?” ซูหมิงมองเลี่ยซานซิวพลางถามขึ้นเนิบๆ

“จักรวาลกำลังจะถูกทำลาย ซางเซียงถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องดับสูญ ก่อนการ ดับสูญ เขาจะมอบชีวิตส่วนหนึ่งกับพวกเราทุกชีวิต ชีวิตนี้มีเพียงส่วนเดียว หากคว้าเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าหมานหรือเผ่าพันธุ์อื่นๆ จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในร่างซางเซียง อีกตัวได้!” เลี่ยซานซิวมองซูหมิงก่อนตอบกลับอย่างไม่ลังเล

“รวมถึง…ด้วยการใช้รูปลักษณ์ข้า ใช้นามข้าก่อพายุฝนโลหิตในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนด้วยหรือ นี่ก็เพื่อชีวิตส่วนนั้นรึ?” ซูหมิงมองเลี่ยซานซิวพลางถามขึ้นเสียงเบา

เลี่ยซานซิวเงียบ แต่เงียบเพียงสามลมหายใจ นัยน์ตาเขาก็ฉายแววเด็ดขาด

“ไม่ผิด!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version