Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1358

ตอนที่ 1358 บ้าน…อยู่ไม่ไกลแล้ว

ฟางชางหลันไปแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง สวี่ฮุ่ยรวมถึงอวี่เซวียนล้วนนั่งเรือ ซูหมิงไปอีกฝากของแม่น้ำลืมเดินทางแล้ว ซูหมิงไปๆ มาๆ บนแม่น้ำลืมเดินทาง วนเวียนเป็นวัฏจักร

เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ฤดูใบไม้ผลิใบไม้ร่วงในความทรงจำผ่านไปหลายครั้ง ใบหน้าซูหมิงไม่ใช่วัยกลางคนอีก แต่มีผมหงอก กลายเป็นชายชรา

มองไกลๆ บางทีร่างเงาในตะวันยามเย็นอาจจะกลายเป็นงอบกันฝน

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในกาลเวลานอกบ้านไม้เงียบๆ เวลาหกสิบปีผ่านไปเช่นนี้ ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ซูหมิงไม่ได้ก้าวออกจากบ้านไม้แม้ครึ่งก้าว เหมือนว่าบานประตูบ้านไม้เป็นร่องหุบเขาระหว่างฟ้าดิน อีกฝากของร่องหุบเขาคือการตื่นของทุกอย่าง แต่ฝั่งนี้ของหุบเขาคือแสงไฟนับไม่ถ้วนในอดีตตอนที่ซูหมิงนั่งขัดสมาธิเพ่งมอง แสงเทียน

ฤดูหนาวของปีนี้มาเร็วมาก หิมะโปรยปรายปกคลุมแผ่นดิน มองไกลๆ จะลืม สีเขียวไม่ลง ในความหนาวแฝงไว้ด้วยความเย็นเยียบที่แช่แข็งทุกอย่างได้ เพียงแต่ว่าแม่น้ำลืมเดินทางที่ไม่หยุดนิ่งไปชั่วนิรันดร์นั้นคือควันไฟที่ความหนาวเหน็บแช่แข็งไม่ได้…

ส่วนอีกฝากของแม่น้ำ มองไปมีแม่น้ำลืมเดินทางกั้นกลาง ตรงนั้นเหมือนยังเป็นฤดูใบไม้ผลิเขียวชอุ่ม มีเพลงกลอนที่คนนอกไม่ซาบซึ้งใจ เห็นความงดงามและเรืองรองของดอกไม้ขมุกขมัว

แม่น้ำกั้นกลางด้วยวัฏจักร กั้นกลางโลก กั้นกลางพวกเจ้าทุกคนกับข้า…

สายลมหนาวพัดมา หิมะปลิวว่อน หลังเงยหน้ามองภพหน้าขมุกขมัวกลางเกล็ดหิมะระหว่างฟ้าดินแล้ว มีเสียงเท้าม้าดังเข้ามา ฟังจากลักษณะเสียงเท้าม้าแล้วมิใช่ คนเดียว แต่เป็นกลุ่มคน…

ตอนที่มองไป ภายในสายลมหิมะไกลๆ มีคนเกือบแสนสวมเสื้อเกราะควบม้าสงครามตรงเข้ามา คนนำหน้าขี่อยู่บนม้าตัวใหญ่สีแดงลูกพุทราจีน สวมเกราะทอง ผ้าคลุมสีแดงฉานโบกสะบัด เสื้อขนสัตว์คลุมอยู่ข้างหลัง เท้าม้าตัวนั้นยังฝังด้วย เหล็กหนาเพื่อกันลื่น ทำให้เสียงเท้ามันตัวนี้ต่างออกไป ไม่ชัดเจน แต่เป็นเสียงอู้อี้ ดังก้อง

แสนคนนี้นอกจากเสียงเท้าม้าแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นอีก ทุกคนบนม้าล้วนติดตามคนสวมผ้าคลุมสีแดงฉานตรงหน้าสุดเงียบๆ เหมือนติดตามเขาไปได้ตลอด ข้ามผ่านภูเขาแต่ละลูก ผ่านแต่ละโลก ผ่านชาตินี้กับชาติหน้า

นี่เป็นกองทัพใหญ่กองหนึ่ง เป็นกองกำลังในโลกของทุกสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะชายร่างกำยำดั่งพยัคฆ์ตรงหน้าสุด ดวงตาเขาปานกระดิ่งใบเล็ก ยามถลึงตามองจะเผยความน่าเกรงขามออกมาโดยธรรมชาติ มากพอจะทำให้คนใจเสาะเห็นแล้วต้องใจสั่นไม่กล้าสบตา

เห็นได้ชัดว่านี่คือแม่ทัพของกองกำลังหนึ่ง กลิ่นอายมารอบอวลไปทั่วร่าง มือซ้ายดึงเชือกจูงม้า มือขวาหิ้วน้ำเต้าสุรา ยามเดินหน้ายังดื่มสุราไม่หยุด ทว่ากลิ่นสุราไม่ทำให้เขามึนเมา แต่กลับทำให้กลิ่นอายมารเข้มข้นกว่าเดิม มีกลิ่นอายกล้าหาญอบอวลอยู่รางๆ ควันสีขาวขาวยามพ่นลมหายใจประหนึ่งหลอมรวมกับลมหายใจขณะ ห้อเหยียดของม้าตัวนั้น ทำให้มองไปแวบแรก กองกำลังใหญ่เหมือนปกคลุมไปด้วยทรายขาวหนึ่งชั้น

โดยเฉพาะชายร่างกำยำคนนั้น ตอนที่ทุกคนมองไป จะต้องจดจำรูปลักษณ์ของชายร่างกำยำคนนี้เอาไว้ในความคิดลึกๆ โดยไม่รู้ตัว

เสียงเท้าม้าไม่ดังแบบยุ่งเหยิง มันค่อยๆ เงียบลงตรงหน้าบ้านไม้ของซูหมิง ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองกองทัพใหญ่สุดลูกหูลูกตาแวบหนึ่ง มองใบหน้าของคนแสนคนนั้น สุดท้ายก็มองใบหน้าชายร่างกำยำตรงหน้าสุด

ชายร่างกำยำดั่งพยัคฆ์ดื่มสุราไปอึกหนึ่งแล้ว สีหน้าไม่ได้มีความมึนเมามากนัก นัยน์ตาฉายประกายชั่วร้ายถลึงตามองซูหมิง

ซูหมิงก็มองเขาเช่นกัน ตอนที่สองคนสบตากัน ชายร่างกำยำดั่งพยัคฆ์หยิบน้ำเต้าสุราขึ้นมาดื่มไปอึกใหญ่อีกครั้ง ก่อนพ่นลมหายใจเป็นควันขาวแล้วตะโกนเสียงดัง

“คนพายเรือ เหตุใดเจ้าถึงดูคุ้นตาเช่นนี้ หรือว่าก่อนหน้าเคยพบกับท่านหู่คนนี้มาก่อน พูดมา เจ้าเคยพบท่านหู่คนนี้มาก่อนหรือไม่!” ชายร่างกำยำเสียงดั่งน้ำหลาก ประหนึ่งฟ้าผ่าดังสนั่นกึกก้องไปรอบๆ ม้าใต้ร่างเขาก็ถูกกระเทือนจนตัวสั่นเช่นกัน ราวกับว่ามันไม่ได้แบกคนคนหนึ่ง แต่เป็นพยัคฆ์จริงๆ

ซูหมิงยิ้ม รอยยิ้มเบิกบานใจมาก ในที่สุดเขาก็ได้พบหู่จื่อ เห็นหู่จื่อพาศิษย์ ยอดเขาลำดับเก้าแสนคนมา ศิษย์เหล่านี้เคยติดตามหู่จื่อไปรบในผืนฟ้า กวาดล้างไปทั่วทุกสารทิศ เห็นได้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้สนใจจะเป็นคนเลือกศิษย์ยอดเขาลำดับเก้าที่จะไปฝั่งนู้น แต่ศิษย์พี่รองยกสิทธิ์นี้ให้กับหู่จื่อ

แม้ซูหมิงจะนำคำเทียนเสียจื่อบอกกับหู่จื่อแล้ว แม้หู่จื่อจะเข้าใจแล้ว แต่ในชีวิตคนของชาตินี้ เขาก็ยังเลือกอยู่กับศิษย์ยอดเขาลำดับเก้าเหล่านี้ จนกระทั่งชั่วนิรันดร์ จนกระทั่งข้ามไปอีกฝากด้วยกัน

ตอนนี้เขามาแล้ว

“ข้าย่อมรู้จักท่าน ท่านคือศิษย์พี่ของข้า” ซูหมิงตอบเสียงเบาแล้วยืนขึ้น เดินขึ้นเรือ ยามที่หันมามองหู่จื่อ เขายิ้มพลางพยักหน้าให้

“ข้ารอท่านมานานมากแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่นั่น ศิษย์พี่รองก็อยู่ที่นั่น กำลังรอท่านอยู่…”

เสียงซูหมิงดังก้องในฤดูหนาว เข้าถึงหูชายร่างกำยำดั่งพยัคฆ์ ทำให้ชายร่างกำยำงุนงง สีหน้าสับสนทีละน้อย ราวกับความทรงจำในชาติก่อนและชาตินี้ซ้อนทับกัน เขาคลายมือขวาที่ถือน้ำเต้าสุราออกโดยไม่รู้ตัว น้ำเต้าสุราตกลงพื้น…แตกออก สุราในนั้นกระจายไปรอบๆ…

สุราที่กระจายออกเหมือนกลายเป็นแสนหยด หลอมรวมเข้าไปในหิมะบนพื้น…

ชายร่างกำยำสั่นหัว เอามือขวาคว้าลงข้างล่าง น้ำเต้าสุราแตกประหนึ่งถูกกาลเวลาย้อนกลับ สุราที่หลอมรวมในหิมะปรากฏขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายกลายเป็นน้ำเต้าสุราสมบูรณ์ ตอนที่กลับมาอยู่ในมือชายร่างกำยำ ทหารแสนนายข้างหลังเขากลายเป็นอากาศหายไป

เขามีสีหน้าเข้าใจบางอย่าง ลงจากม้า หิ้วน้ำเต้าสุราขึ้นเรือซูหมิง นั่งอยู่ตรงหัวเรือ

หนึ่งพริบตาก่อนยังอยู่ริมฝั่ง พริบตาต่อมาข้ามผ่านแม่น้ำลืมเดินทางมาถึงอีกฝั่ง คนตรงหัวเรือเหมือนตกอยู่ในห้วงวัฏจักร ยังคงนั่งอย่างสับสน ถือน้ำเต้าสุราหันมามองคนพายเรือตรงท้ายเรือ

“ศิษย์น้องเล็ก…” ชั่วขณะที่ชายร่างกำยำพูดพึมพำ มีหยดสายฝนตกลงบนเรือส่งเสียงดังกังวาน นั่นไม่ใช่หยดสายฝน แต่เป็นน้ำตาของหู่จื่อ

ซูหมิงเงยหน้าที่สวมงอบขึ้นมองหู่จื่อด้วยรอยยิ้ม ในรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยคำอวยพร ทำให้ความหนาวไม่หนาวอีก ทำให้แม่น้ำลืมเดินทางเหมือนกลายเป็นแม่น้ำสวรรค์

“ที่นั่นมีศิษย์พี่ใหญ่ มีศิษย์พี่รอง แต่ไม่มีเจ้า…” หู่จื่อเหม่อมองซูหมิง เขาเหมือนได้ยินเสียงประโยคหนึ่งแว่วมาข้างหู ไม่รู้ว่าเป็นของตอนนี้หรืออดีต

“หู่จื่อไม่ต้องร้อง…”

เรือโดดเดี่ยวยังคงจากไป หัวเรือว่างเปล่าเสริมกับความเงียบเหงาของท้ายเรือ และยังมีบนฝั่งนั้น ร่างเงาหู่จื่อเพ่งมองเรือโดดเดี่ยวจากไปไกล เห็นรางๆ…เหมือนว่าข้างกายเขามีร่างเงาศิษย์พี่รองและศิษย์พี่ใหญ่ พวกเขามองแม่น้ำลืมเดินทางด้วยกัน ราวกับว่ากำลังมอง…ยอดเขาลำดับเก้าในอดีตนั้น

ผ่านไปอีกสิบปี

มีบัณฑิตคนหนึ่งแบกตำราเดินทางมาในฤดูใบไม้ผลิ ในม้วนตำราในมือเหมือนซ่อนอักษรฟ้าดินนิรันดร์เอาไว้ เขาเดินมาอยู่นอกบ้านไม้ตอนแสงตะวันยามบ่าย เดินมาอยู่ข้างซูหมิง

“คำทำนายบอกไว้ว่าข้าจะเสียจิตวิญญาณอีกดวงในชีวิต ให้ข้าเดินไปเรื่อยๆ ตามทิศตะวันออก เดินผ่านภูเขาแม่น้ำและที่ราบ เดินผ่านสี่ฤดูกาลก็จะเห็นแม่น้ำ สายหนึ่ง เห็นบ้านไม้ เห็นคนพายเรือที่มอบจิตวิญญาณอีกส่วนในชีวิตแก่ข้าได้…

เป็นเจ้ารึ?”

ซูหมิงเงยหน้าขึ้น งอบบดบังแสงตะวัน ทำให้ใบหน้าเขามีความเลือนรางในความรู้สึกผ่านโลกมาเนิ่นนาน เขามองบัณฑิตตรงหน้า มองม้วนตำราในมืออีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

นี่คือฉางเหอ ซูหมิงเคยสัญญากับเขาเอาไว้ว่าตนจะคืนชีพภรรยาให้ ซูหมิงไม่ลืมสัญญานี้ คำสัญญาในตอนนั้นเป็นเหตุ และตอนนี้…สิ่งที่ฉางเหอต้องการจากคำพูด ก็คือผล

“ข้าเอง” ซูหมิงตอบกลับเสียงเบา

“เช่นนั้นจิตวิญญาณอีกดวงในชีวิตข้าอยู่ที่ใด?” บัณฑิตมองซูหมิงพลางถามขึ้น

“อยู่ในมือเจ้า” ซูหมิงหลับตาลง ผ่านไปพักใหญ่ถึงลืมตาขึ้นตอบกลับอย่างนุ่มนวล

บัณทิฑอึ้งงัน เขาก้มหน้ามองมือตัวเอง ในมือมีเพียงตำรานั้น เขาเหมือนจะเข้าใจจึงเปิดม้วนตำราออก ตอนที่มองไป…อักษรในตำราหายไปแล้ว เปลี่ยนเป็นภาพวาดหนึ่ง

ในภาพนั้นมีสตรีคนหนึ่งสมจริงราวกับมีชีวิต กำลังอมยิ้มมองเขา ราวกับมองมาเป็นร้อยเป็นพันปีแล้ว เหมือนรอปรากฏในสายตาฉางเหอมาตลอด

“แต่นี่…เป็นเพียงภาพวาด” บัณฑิตเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนเงยหน้ามองซูหมิง

“เจ้ามองอีกฝั่งของแม่น้ำ” ซูหมิงยิ้มพร้อมยืนขึ้นเดินไปที่ท้ายเรือ

บัณฑิตมองตามซูหมิง เห็นอีกฝั่งของแม่น้ำลืมเดินทางรางๆ ว่ามีร่างเงาสตรีคนหนึ่งกำลังเพ่งมองมาที่นี่

มองไปมองมาจากที่บัณฑิตเพ่งมองก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มในชาติก่อน เขาเดินขึ้นเรือ เดินทางอยู่กลางแม่น้ำลืมเดินทาง ร่างเงานั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ใกล้เข้าไปทุกที จนกระทั่งมาถึงอีกฝั่ง เขาลงจากเรือ มองหญิงคนนั้น สองคนมองกันอยู่พักใหญ่ ตอนที่หันกลับมามองพร้อมกัน ไม่เห็นเรือโดดเดี่ยวของซูหมิงบนแม่น้ำลืมเดินทางแล้ว

เวลาอีกสิบปีส่วนหลังผ่านไปครึ่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ผ่านไปอีกฤดูใบไม้ร่วง มีชายชราคนหนึ่งมาอยู่นอกบ้านไม้ซูหมิง

ชายชราคนนั้นสวมอาภรณ์เนื้อหยาบ เส้นผมขาวปลิวไสวตามสายลมใบไม้ร่วง มีรอยย่นบนใบหน้าเยอะมาก แต่ทุกริ้วรอยกลับแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เขาเดินมาอยู่ข้างแม่น้ำลืมเดินทาง มองสายน้ำอยู่นานก่อนหันหน้ามามองซูหมิงที่ตอนนี้ยืนขึ้นใต้บ้านไม้แล้ว

“เมื่อหลายปีก่อนมีบัณฑิตคนหนึ่งมาหาข้า ข้าให้เขาเดินไปทางตะวันออก เดินผ่านภูเขา ผ่านป่าไม้ ผ่านที่ราบ จากนั้นจะเห็นบ้านไม้หลังหนึ่ง ใต้ชายคาบ้านมีคนคนหนึ่ง นั่นคือคนที่เขาต้องตามหา” ชายชรายิ้มมองซูหมิงอย่างเมตตา

ซูหมิงมองชายชราด้วยสีหน้าเหมือนกับผู้เยาว์พบผู้อาวุโสซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยจากตัวเขา

“ท่านปู่…”

“ไปเถอะ พาข้าข้ามแม่น้ำไป” ชายชรามีสีหน้าเมตตามากขึ้น ยามที่มองซูหมิงแววตาจะมีความชื่นชมและอาลัยอาวรณ์ แต่กลับไม่พูดออกมา เพียงนั่งอยู่ตรงหัวเรือ

ตะวันยามอัศดงลาลับทางตะวันตก ฉากยามค่ำคืนมาเยือน ท้องฟ้าปรากฏ หมู่ดาวแน่นขนัด เรือไปถึงอีกฝากแล้ว

“จำฟ้าผืนนี้เอาไว้” ท่านปู่หันกลับมามองซูหมิงแล้วพูดเสียงเบาอย่างมีความหมายลึกซึ้ง

“เพราะนั่นคือฟ้ายามค่ำคืนที่จะชี้นำเจ้ากลับบ้าน…ทุกครั้งที่เจ้าหาทางกลับบ้านไม่พบ เจ้าเงยหน้าขึ้น หากเห็นดาวในยามค่ำคืนนี้ เจ้าจะรู้ว่า บ้าน…อยู่ไม่ไกลแล้ว คนในครอบครัว…กำลังรอเจ้าอยู่”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version