Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1385

ตอนที่ 1385 โลหิตเจ็ดจันทรา

ขณะที่ผู้อาวุโสสำนักเจ็ดจันทราเหล่านี้กำลังมองภาพเกือบหมื่นรวมถึงศิษย์แทบทุกคนในผลึกยักษ์นั้น บนปราการเหวลึก ภายในรอยแยกหน้าผา เด็กหนุ่มที่สิ้นใจไปแล้วตัวสั่นไหวขึ้นมา

ร่างซูหมิงกำลังซ้อนทับกับร่างเด็กหนุ่มช้าๆ เพียงไม่กี่ลมหายใจ เมื่อร่างซูหมิงหายไปแล้ว เด็กหนุ่มพลันลืมตาขึ้น

นัยน์ตาฉายประกายเย็นชาเรียบนิ่ง นี่คือแววตาที่ไม่เคยมีมาก่อนในตัวเด็กหนุ่ม แววตานี้เป็นของคนคนเดียว นั่นคือซูหมิง!

เมื่อซูหมิงลืมตา ร่างที่เขายึดร่างนี้เกิดเสียงดังกึกๆ ค่อยๆ ฟื้นจากสภาพแห้งเหี่ยวจนสุดท้ายกลับมาสภาพเดิม จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นนั่งช้าๆ บิดคอ ขยับตัวเล็กน้อย ซูหมิงยังคงมีสีหน้าราบเรียบดังเดิม เพียงแต่ในความราบเรียบกลับมีประกายเย็นชาวูบผ่าน

‘มีนามว่าหวังเทารึ…ในศิษย์สำนักเจ็ดจันทราเป็นคนที่ไม่น่าสนใจ จะถูกรังแกเป็นประจำ โดยเฉพาะถูกศิษย์พี่หญิงสูบพลังชีวิตไปหมดร่างเพื่อใช้ยกระดับพลังชั่วคราว จะได้แสดงความสามารถในภัยพิบัติเจ็ดจันทราครั้งนี้อย่างโดดเด่น…

ในเมื่อเจ้าตายด้วยความแค้น ในเมื่อแซ่ซูใช้ร่างกายเจ้า ก็ถือว่ามีโชควาสนากับเจ้า ข้าจะช่วยเจ้า…แก้แค้นให้เจ้าก่อน จากนั้นจะให้ใบหน้าเจ้ากลายเป็นแสงเรืองรองของสำนักเจ็ดจันทรา!’ ซูหมิงยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย หลังผ่านการเปลี่ยนแปลงของ ซางเซียงมา นิสัยเขาก็เปลี่ยนไปมาก

เขาไม่สนใจความเป็นตายของคนอื่น ไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน สนแต่ความยึดมั่นของตัวเอง เพื่อความยึดมั่นนี้ แม้จะต้องโค่นล้มโลกก็ต้องเดินบนเส้นทางที่หันกลับมาไม่ได้

บนเส้นทางนี้ ผู้ใดขวาง…ต้องตาย!

เหมือนกับรอยยิ้มมุมปากเขาตอนนี้ หากคนอื่นเห็นจะต้องใจสั่นแน่ รอยยิ้มนี้ให้ความรู้สึกประหนึ่งร่างอยู่กลางทะเลโลหิต เหมือนถูกอสรพิษจ้อง มีไอหนาวไม่มีสิ้นสุดกับเงามืดมรณะแผ่จากก้นบึ้งหัวใจ

ซูหมิงยกมือขวากดบนผนังหินก่อนเป็นสายรุ้งยาวลงไปข้างล่างปราการ เขาไม่หยุดแม้แต่น้อย วูบเดียวก็เข้าไปใกล้ปราการ ทะลวงผ่านปราการอย่างเงียบเชียบ มาปรากฏอยู่ที่แดนทดสอบของศิษย์ฝ่ายนอกสำนักเจ็ดจันทรา

นี่คือท้องฟ้าอีกแห่ง ท้องฟ้าเป็นสีแดงโลหิต แผ่นดินเต็มไปด้วยซากปรักหักพังเปื้อนฝุ่น เมืองแต่ละแห่งแฝงไว้ด้วยร่องรอยของประวัติศาสตร์ ทำให้ที่นี่ให้ความรู้สึกอ้างว้าง

ทันทีที่ซูหมิงลงมาจากฟ้าถึงพื้น เขายืนขึ้นช้าๆ เงยหน้าขึ้น ไม่ได้มองไปรอบๆ แต่เดินหน้าไปด้วยความเคร่งขรึม

ตอนที่เขายึดร่างเด็กหนุ่ม ขั้นพลังเขาก็ถูกระงับเอาไว้เองมากกว่าเก้าส่วนเก้า ด้วยวิชายึดร่างพรสวรรค์นี้ เว้นแต่จะเจอกับคนที่มีพลังเหนือกว่าเขามาก มิเช่นนั้นแล้ว ต่อให้เป็นขั้นวิญญาณเต๋าก็ยากจะมองออกถึงพลังที่ซูหมิงควบคุมเอาไว้ เห็นเพียงกลิ่นอายพลังระดับฟ้าภายนอก

‘จะเข้าสำนักฝ่ายในเจ็ดจันทราจะต้องเป็นโอรสสวรรค์ของสำนักนี้ก่อน จะดำเนินการแบบเงียบๆ ไม่ได้…ในเมื่อที่นี่มีจิตเต๋าสิบกว่าดวงสังเกตอยู่ตลอดเวลา เช่นนั้นตอนนี้บางทีอาจมีคนสังเกตเห็นข้าแล้ว ถ้าอย่างนั้น…ก็สร้างเรื่องให้ใหญ่โต ไปเลย’ ซูหมิงยิ้มมุมปาก ก่อนขยับวูบไหวเดินหน้าไป

ขณะเดียวกับที่เขาลงมายังแดนทดสอบนี้ บนลานของสำนักเจ็ดจันทรา ในภาพเกือบหมื่นกลางผลึกยักษ์ที่ผู้อาวุโสสำนักนี้สิบกว่าคนกำลังมองอยู่มีภาพเพิ่มมา หนึ่งภาพ ภาพนั้นสะท้อนเป็นซูหมิงอย่างชัดเจน อีกทั้งเมื่อซูหมิงเดินหน้ามันก็ตามเขาไปตลอดทาง

“เหตุใดเด็กหนุ่มคนนี้ถึงเข้าแดนทดสอบช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อย” สตรีชุดคลุมยาวสีส้มในสิบกว่าคนนี้กล่าวขึ้นเรียบๆ สายตามองผ่านภาพผลึกที่สะท้อนเป็นซูหมิง

“ช่วยไม่ได้ การทดสอบครั้งนี้เกี่ยวไปถึงความเป็นตายของพวกเขา เรื่องสำคัญแบบนี้ย่อมต้องเตรียมตัวกันบ้าง แม้เข้าช้ากว่าจะเสียโอกาสก็ตาม แต่หากเตรียมตัวมาอย่างดี ก็อาจจะเป็นวิธีหนึ่งก็ได้” ชายชราผมเขียวเข้มข้างหญิงคนนั้นยิ้มพูดขึ้น เขาก็มองร่างซูหมิงที่เพิ่มมาอย่างกะทันหันในภาพเช่นกัน

“หืม? เด็กหนุ่มคนที่พวกเจ้าว่าน่าสนใจเล็กน้อย…” ขณะสองคนกำลังคุยกัน บัณฑิตอาภรณ์ฟ้าซึ่งอยู่ไม่ไกลยิ้มพลางชี้ผลึกหิน

พบว่ากลางภาพที่เผยร่างซูหมิงในภาพเกือบหมื่นกลางผลึกหิน ซูหมิงในนั้นมี แสงกระบี่ขยับวูบวาบอยู่ข้างหลัง นั่นคือเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าเหี้ยมโหดกำลังพุ่งตรงไปหาซูหมิงด้วยความเร็วรี่ สำคัญคือกระบี่นั้นเข้าไปใกล้ในพริบตา แต่ซูหมิงเพียงเดินไปข้างๆ หนึ่งก้าว หมุนตัวกลับยกมือซ้ายขึ้นฉวยโอกาสคว้าไปข้างหลังก็คว้าคอเด็กหนุ่มคนนั้นได้

ขณะที่เด็กหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าตกใจ ซูหมิงบีบมือซ้าย โลหิตพลันไหลมาจาก มุมปากอีกฝ่าย ก่อนสิ้นใจตายไป

ภาพนี้ดึงดูดสายตาสองคนที่สนทนากันก่อนหน้านี้ แต่ไม่นานก็ละสายตาไป เหมือนกับว่าภาพแบบนี้มีอยู่ในภาพเกือบหมื่นตอนนี้

แม้แต่บัณฑิตอาภรณ์ฟ้าเพียงยิ้มแล้วก็เบนสายตาไปมองศิษย์คนอื่น พวกเขาต้องหาคนที่ตนถูกใจจากคนเหล่านี้เพื่อพิจารณารับเป็นศิษย์

ส่วนจะมีผู้ได้รับป้ายวิญญาณหนึ่งร้อยอันหรือไม่นั้น ทุกปีมีให้เห็นน้อยมาก ดังนั้นแม้จะเฝ้ารอ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก เว้นแต่…จะมีคนโดดเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจน

ใต้เหวลึก กลางแผ่นดินซากปรักหักพังของโลก ซูหมิงคลายมือซ้ายออก เด็กหนุ่มตรงหน้าเบิกตากว้าง ล้มลงกับพื้น ซูหมิงกวาดสายตามองอีกฝ่ายแล้วหมุนตัวเดินไกลออกไปต่อ

เขาเดินทางบนแผ่นดินกว้างใหญ่นี้ไม่เร็วนัก ไม่นานก็มักจะมีซากปรักหักพังของเมืองโผล่มาตรงหน้าเขา ซากนี้รกร้างมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ตอนนี้ซูหมิงกวาดสายตามองตรงซากผนังพลางยิ้มเยาะมุมปาก ก่อนเดินเข้าไปในซากปรักหักพังแห่งนี้

แทบเป็นทันทีที่ซูหมิงเข้ามา พลันมีเสียงแหลมแว่วมาจากรอบตัว พบว่าเป็น เด็กหนุ่มเด็กสาวเจ็ดคนรวมกันเป็นวงแหวนอาคมหนึ่งล้อมซูหมิงในทันใด

นี่คือวงแหวนอาคมกระบี่ ขณะเดียวกับที่วงแหวนอาคมขยับแสง พลันปรากฏ ตาข่ายใหญ่บนตัวซูหมิง ตาข่ายนี้เปล่งแสงสีแดง ตอนที่ตกลงมายังเหมือนแยก เลือดเนื้อทุกอย่างได้ ทันทีที่เจ็ดคนรอบๆ ยิ้มเหี้ยมเกรียมพร้อมกับแสงกระบี่ขยับประกายนั้น ซูหมิงขยับวูบไหวมาปรากฏตรงหน้าเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ยกมือขวาขึ้นตบบนตัวเขา เกิดเสียงโครมดังขึ้น เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง กระอักเลือด ถูกซูหมิงคว้าตัวไว้แล้วทุ่มลงกับพื้น

การทุ่มครั้งนี้ ร่างเด็กหนุ่มแหลกเป็นเสี่ยงๆ เลือดเนื้อสาดกระจาย ขณะเดียวกันซูหมิงยกมือขวาคว้าอากาศ โลหิตทั้งหมดที่กำลังกระจายพลันม้วนกลับมาที่มือขวาเขา เมื่อซูหมิงคลายมือขวาออกก็ปรากฏจันทร์โลหิตขึ้นดวงหนึ่ง

นี่คืออภินิหารที่ต่ำที่สุดแขนงหนึ่งของสำนักเจ็ดจันทรา เป็นหนึ่งในสามวิชาที่ เด็กหนุ่มที่ซูหมิงยึดร่างมี วิชานี้มีนามว่าโลหิตเจ็ดจันทรา

“โลหิตเจ็ดจันทรา!” ขณะซูหมิงกล่าวราบเรียบ จันทร์โลหิตพลันระเบิดออก หยดโลหิตนับไม่ถ้วนสาดกระจายไปรอบๆ กลายเป็นจันทร์โลหิตโค้งประดุจดาบ วูบเดียวก็ตัดผ่านหกคนรอบตัว ทำให้หกคนนี้ตัวสั่นไหว ร่างถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ

ซูหมิงสะบัดมือขวา พลันมีป้ายวิญญาณสามป้ายลอยออกมาจากเลือดเนื้อรอบๆ มาตกอยู่กลางมือซูหมิง เขาไม่ได้เก็บไว้ในถุงเก็บวัตถุ แต่ห้อยเอาไว้ในมือ ขณะเดินหน้าไป ป้ายวิญญาณสามอันนี้ชนกันจึงเกิดเสียงติงติงกังวานไปรอบๆ

เขาสะบัดแขนเสื้อ หยดโลหิตรอบตัวม้วนเข้ามา รวมเป็นจันทร์โลหิตสูงเท่าคนดวงหนึ่งอีกครั้ง มันปกคลุมซูหมิงเอาไว้ภายใน ทำให้ร่างเงาเขาดูอัดแน่นไปด้วย กลิ่นอายสังหาร

ขณะกำลังจะไปจากที่นี่ ซูหมิงหยุดชะงัก คิ้วขมวดขึ้น ค่อยๆ หมุนตัวไปมอง ซากปรักหักพังรอบตัว มองไปมองมาจนกระทั่งไปมองที่ศิลาหินผุพังแห่งหนึ่ง

บนศิลาหินนั้นมีตัวอักษรเลือนรางอยู่หลายตัว พริบตาที่มองศิลาหินและเห็นอักษรเหล่านั้น ซูหมิงตัวสั่นโดยที่คนอื่นไม่สังเกตเห็น อักษรเลือนรางนั้น ด้วยความที่มันไม่ครบ จึงเห็นชัดแค่สองตัวอักษร…นั่นคือ…ทะเลดารา

‘ทะเลดาราต้นกำเนิดจิต…’ ซูหมิงหรี่ตาลง ในนั้นมีความสับสน ศิลาหินนี้เคยปรากฏในความทรงจำเขามาก่อน นั่นคือศิลาโลกที่ตั้งตระหง่านกลางฟ้านอกดาวทมิฬตอนที่เข้าทะเลดาราต้นกำเนิดจิต

ตอนที่ซูหมิงเข้าทะเลดาราต้นกำเนิดจิต เขาเคยใช้จิตสัมผัสลากผ่านมันมาก่อน

ขณะเดียวกับที่ซูหมิงเพ่งมองศิลาหินผุพัง บนลานของสำนักเจ็ดจันทรา บัณฑิตอาภรณ์ฟ้าในผู้อาวุโสสิบกว่าคนนั้นมองภาพของซูหมิงอีกครั้ง

‘เด็กหนุ่มคนนี้มีพลังไม่ธรรมดา ทั้งยังเหี้ยมโหด หลุมพรางสังหารเจ็ดคนถูกเขาทำลาย…เด็กหนุ่มนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ วิชาโลหิตเจ็ดจันทรามีอีกรสชาติเพิ่มมาเมื่ออยู่ในมือเขา ไม่เลว!’ นัยน์ตาบัณฑิตอาภรณ์ฟ้าฉายแววชื่นชม เขามองซูหมิงในภาพที่ถูกจันทร์โลหิตปกคลุม ขณะกำลังจะกล่าวนั้น ก็มีคนอื่นสังเกตเห็นซูหมิงเช่นกัน

เวลานี้บนผลึกหินมีภาพหายไปตลอดเวลา ทุกภาพที่หายไปหมายถึงศิษย์ตายหนึ่งคน ภาพเกือบหมื่นในตอนแรก ยามนี้เหลือเพียงหกพันกว่า

ในเวลาเดียวกันอีกด้านของผลึกหินปรากฏนามหกพันกว่านาม ข้างหลังนามเหล่านี้เป็นตัวเลข นั่นหมายถึงจำนวนที่ได้รับป้ายวิญญาณ

ตอนนี้อันดับหนึ่งเป็นของคนที่มีนามว่าเยี่ยหลง เขาได้ป้ายวิญญาณไปสามสิบกว่าอัน!

อันดับสองเป็นนามของสตรี มีนามว่า…เฉินเฟิ่ง นางมีป้ายวิญญาณมากกว่าสามสิบสองอัน!

ส่วนนามหวังเทาซึ่งหมายถึงซูหมิงอยู่อันดับเกินกว่าร้อย ดูไม่เตะตาแม้แต่น้อยในนามหกพันกว่าคน

“เด็กคนนี้ไม่เลว แต่ก็เป็นเพียงผิวภายนอกก่อนหน้านี้เท่านั้น เมื่อใดที่ติด สิบอันดับได้ก็จะอยู่ในสายตาของพวกเรา” ชายชราชุดคลุมยาวสีขาวในผู้อาวุโส สิบกว่าคนกวาดสายตามองภาพซูหมิงแล้วพูดขึ้นเรียบๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version