Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1399

ตอนที่ 1399 วงแหวนอาคมจิตเต๋าสยบเงา 1

ช่วงที่เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเขาเผยประกายบาง สายฝนข้างนอกตกหนักกว่าเดิม ฟ้าผ่าดังสนั่นพร้อมกับสายฟ้าวูบผ่าน ส่องแสงทุกอย่างแล้วก็กลับมาเป็นคืนมืด

ระหว่างที่สายฟ้าขยับแสง ท่ามกลางความมืดและสว่าง เขา…ค่อยๆ ยันกายขึ้น

ชุดคลุมโบกสะบัด เส้นผมม่วงปลิวไสว ร่างเงาอยู่บนหน้าผา พริบตานี้สายฟ้า ส่งเสียงดังสนั่นยิ่งกว่าเดิม สายฟ้าตัดสลับกันทำให้ทั้งโลกเหมือนเป็นคืนมืดตัดสลับกับยามกลางวันไม่หยุด ทั้งยังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ความมืดและสว่าง…เหมือนกำลังจะซ้อนทับกัน

“ได้ตามที่เจ้าต้องการ!” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ เสียงดังก้องฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า เข้าไปถึงชั้นสี่ เมื่อดึงดูดความสนใจของคนชั้นสี่ทั้งหมดแล้วยังทำให้เยี่ยหลงเงย หน้าขึ้น นัยน์ตาเปล่งประกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เสียงนี้ดังก้องไม่หยุด เข้าไปถึงชั้นสาม ชั้นสอง จนกึกก้องชั้นหนึ่ง ระหว่างที่ เสียงดังกังวาน เสียงฟ้าผ่าก็ยังไม่อาจกลบเสียงนี้ได้ แต่เบาลง แสงสายฟ้าก็เหมือนจะขยับวูบวาบต่อไปไม่ได้ ถูกหยุดนิ่งไว้

จนกระทั่งทุกสายตาเพ่งมองฟ้า ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อเดินอากาศไปใต้หน้าผาหนึ่งก้าว หนึ่งก้าวออกจากยอดเขา หนึ่งก้าวเข้าไปในชั้นสี่ หนึ่งก้าว…เหยียบบน เข็มทิศยักษ์นั้น ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลง

ตอนนี้เองเป็นที่จับจ้องทั้งสำนักเจ็ดจันทรา สายตามากมายเพ่งมองซูหมิง

“เขาคือหวังเทารึ?”

“หวังเทา เป็นหวังเทา ได้ยินมาว่าเขาไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา ขะ…เขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโส!”

“ผู้อาวุโส เป็นไปไม่ได้…”

“เฮอะๆ ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะผ่านไปได้กี่วงแหวนอาคม หากผ่านสามถึงห้า วงแหวนอาคมไม่ได้ ก็คงเป็นเรื่องตลก”

เสียงสนทนาพลันดังก้องในคืนฝนตกของสำนักเจ็ดจันทรา โดยเฉพาะศิษย์ ฝ่ายนอกชั้นหนึ่ง พวกเขาสนใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรพวกเขาก็พอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักฝ่ายนอกก่อนหน้านี้ ยามนี้จึงอยากรู้อยากเห็นต่อซูหมิงอย่างยิ่ง

ส่วนศิษย์สำนักเจ็ดจันทราชั้นสองกับชั้นสาม คนที่รู้ว่าซูหมิงเป็นผู้อาวุโสมีไม่มาก ตอนนี้พอได้ยินแล้วต่างพากันประหลาดใจ แต่ในสายตาที่มองซูหมิงมีการ เหยียดหยามเพิ่มมา

แม้ไม่รู้ว่าซูหมิงเป็นผู้อาวุโสได้อย่างไร แต่ในแคว้นกู่จั้ง สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ต้องดูที่พลังของตัวเอง หากพลังไม่สูง ต่อให้มีฐานะสูงส่งก็ได้รับเพียงความเกรงใจและยำเกรงจากคนอื่นชั่วคราวเท่านั้น จะไม่ยืนยาว เหมือนกับพืชไร้ราก ขอแค่มีโอกาสก็อาจจะตายได้

มีเพียงมีพลังแก่กล้าคู่กับฐานะเท่านั้นถึงจะคงอยู่ยาวนานได้ ถึงจะได้รับความเคารพอย่างแท้จริง

คนที่มองด้วยสายตาดูถูกเหล่านี้ นอกจากชั้นสองกับชั้นสามแล้วยังมีสายตาจากชั้นสี่ เพียงแต่ว่าชั้นสี่ส่วนใหญ่เย็นชาไม่สนใจ คนที่เย้ยเยาะก็เหมือนกับมองตัวตลก

“อยากรู้จริงๆ ว่าหวังเทาผู้ไม่กล้าเผยหน้ามาตลอดแปดปีจะมีความสามารถเท่าไรกันแน่!”

“ข้านับถือเยี่ยหลงเล็กน้อย แต่ว่าหวังเทา…เฮอะๆ ดูเดี๋ยวก็รู้เอง”

“คนขี้ขลาดมีอะไรให้น่าสนใจกัน หึ ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า ดูท่า ข่าวจากศิษย์ฝ่ายนอกเรื่องเขาเป็นผู้อาวุโสก็น่าเชื่อถืออยู่”

“ผู้อาวุโส? เขามีสิทธิ์อะไรมาเป็นผู้อาวุโส!” จิตสื่อสารบนชั้นสี่ดังก้อง คนที่ฝึกฝนที่นี่ต่างมองซูหมิงด้วยสีหน้าต่างกัน แต่ส่วนใหญ่เย็นชา

“สหายร่วมสำนักสายเลือดที่สามทุกท่าน จากนี้พวกเจ้าพบหวังเทาแล้วต้องคารวะทันที ต้องเรียกอาจารย์อาด้วยความเคารพ” ภายในชั้นสี่ ทันทีที่มีเสียง เย้ยเยาะดังแว่วมา ศิษย์สำนักเจ็ดจันทราที่กำลังฝึกฝนกลางยอดเขาเงาสะท้อนฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่ตรงยอดเขาที่ซูหมิงอยู่มีสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง

ยอดเขาที่ซูหมิงอยู่มาแปดปีคือสายเลือดที่สาม ตอนนี้บนยอดเขาสายเลือดที่สามของฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่ คนที่อาศัยล้วนเป็นศิษย์ที่อายุน้อยกว่าซูหมิงหนึ่งรอบชีวิต คนเหล่านี้คิ้วขมวด หน้ามืดทะมึน เสียงหัวเราะเยาะจากยอดเขาอื่นดังแว่วมาทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดมาก

“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ หวังเทา…เขา…”

“สมควรตาย ไฉนเขาต้องทำให้ขายหน้าด้วย ในเมื่อหลบมาแปดปีแล้วก็ควรจะหลบต่อไป แต่กลับทำให้ขายหน้าเช่นนี้ ทำให้พวกเราถูกหัวเราะเยาะ!”

ถึงอย่างไรศิษย์สายเลือดที่สามเหล่านี้ก็รู้เรื่องราวมากกว่าคนอื่นเล็กน้อย อย่างเช่นฐานะซูหมิง เพียงแต่หลายปีมานี้พวกเขาไม่ยอมพูดออกไป แต่ยามนี้… กลับต้องเผชิญกับปัญหานี้

“ให้เขารู้จักศักยภาพของตัวเองก็ดี แบบนี้พอเจอหน้ากันจะได้ไม่วางมาดผู้อาวุโส!”

“อัปยศ นี่คือความอัปยศของสายเลือดที่สามของเรา!”

“พอแล้ว เขายังไม่บุกเลย รอบุกแล้วพวกเจ้าค่อยว่าอัปยศก็ยังไม่สาย!” ณ สายเลือดที่สามของฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่ สตรีอายุราวยี่สิบปีขมวดคิ้ว กล่าวราบเรียบ เสียงดังก้อง ทำให้ทุกคนของสายเลือดที่สามพากันเงียบ

สตรีคนนี้ก็คือ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของพวกเขา และก็เป็นผู้นำศิษย์ของหลันหลัน

ท่ามกลางเสียงดังอื้ออึง เยี่ยหลงบนเข็มทิศเพ่งมองซูหมิง นัยน์ตาฉายแววมุ่งมั่นในการต่อสู้อย่างแรงกล้า ตอนนั้นในการทดสอบ ใต้ยอดเขาจันทร์โลหิตของซูหมิง หนึ่งก้าวที่ไม่ได้เดินไปนั้นกลายเป็นหนึ่งความคิดในใจเขาแล้ว

ความคิดนี้วนเวียนรอบตัวเขากลายเป็นเหตุที่เขาคิดจะใช้วงแหวนอาคมนี้พิสูจน์ตัวเองมาตลอดแปดปี และก็เป็นผลที่เขาท้าสู้ซูหมิง เพียงแต่แปดปีมานี้ซูหมิงไม่เคยปรากฏตัว ทว่านี่กลับทำให้เยี่ยหลงยึดมั่นกว่าเดิม

ตอนนี้ ในที่สุดเขาได้พบซูหมิง ในที่สุดซูหมิงก็ไม่หลบอีก การพบกันครั้งนี้คือ การพบกันครั้งแรกในรอบแปดปี!

“แปดปี ข้าท้าสู้วงแหวนอาคมที่เจ็ดสำเร็จแล้ว หวังเทา วันนี้แซ่เยี่ยอยากรู้นักว่าเจ้า…เจ้าที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่ใหญ่ในการทดสอบจะท้าประลองกี่วงแหวนอาคม!” เยี่ยหลงหัวเราะเสียงดัง เขาขยับวูบไหวกลายเป็นสายรุ้งยาวกลับไปยังยอดเขาที่เขาอยู่ ยืนอยู่ตรงนั้น หมุนตัวกลับดวงตาวาววับมองซูหมิง

เมื่อเขาพูดจบ เสียงอื้ออึงของฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่สำนักเจ็ดจันทราพลันเงียบลงเล็กน้อย แต่ไม่นานเสียงนี้ก็ดังสนั่นยิ่งกว่าเดิม

“ข้านึกออกแล้ว หวังเทาคนนี้ เขาคือคนที่ได้ป้ายวิญญาณหนึ่งร้อยสี่สิบกว่าอันซึ่งเหนือกว่าทุกคนในการทดสอบตอนนั้น!”

“เฮอะๆ ข้าก็เพิ่งนึกออก ไม่ผิด เป็นเขานี่แหละ! แต่ก็สร้างความตกใจชั่วคราวเท่านั้น”

ท่ามกลางเสียงสนทนา ซูหมิงยืนอยู่บนเข็มทิศ มองเข็มทิศที่สี่ใต้เท้าหายไป อย่างรวดเร็ว หลังจากเข็มทิศที่สามและที่สองกลายเป็นมวลอากาศแล้ว เขาเหยียบลงไปข้างล่าง ไปอยู่บนเข็มทิศที่หนึ่ง

“หวังเทา ขอท้าสู้วงแหวนอาคมจิตเต๋าสยบเงา!” คำพูดซูหมิงเรียบง่าย ทันทีที่เสียงดังขึ้น เขาได้ยินเสียงหัวเราะเยาะไม่น้อย เป็นตอนนี้เองมีเสียงหนึ่งดังแว่วมาเนิบๆ จากฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก

“อนุญาต!”

เสียงนี้เป็นของเต้าหานชายชุดคลุมแดง เยี่ยหลงจะท้าสู้วงแหวนคมก็ต้องได้รับการอนุญาตจากเขา นั่นเป็นเพราะเยี่ยหลงเป็นศิษย์เขา หากเป็นคนอื่นจะไม่มีสิทธิ์ให้เขาต้องเอ่ยด้วยตัวเอง

แต่ซูหมิง…ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้อาวุโส แต่ผู้อาวุโสท้าสู้วงแหวนอาคมจิตเต๋าสยบเงา ก็มีเพียงอาจารย์ผู้ดูแลของสำนักเจ็ดจันทราตอนนี้เท่านั้นถึงมีสิทธิ์อนุญาตด้วยตัวเอง

หลักการนี้ ศิษย์สำนักเจ็ดจันทราหรือคนฝ่ายนอกชั้นหนึ่งอาจจะไม่เข้าใจนัก แต่ศิษย์ชั้นสองกับชั้นสามกลับรู้ทั้งหมด ตอนนี้พากันเงียบอีกครั้ง ข่าวลือที่ว่าซูหมิงเป็นผู้อาวุโสเหมือนว่าตอนนี้จะได้รับการยืนยันอย่างไร้รูปแล้ว

แต่แม้จะเงียบ ทว่าศิษย์สำนักเจ็ดจันทราส่วนใหญ่ก็ยังมองซูหมิงด้วยแววตาเหยียดหยามและเย้ยเยาะ มีเพียงศิษย์ฝ่ายนอกชั้นหนึ่งส่วนน้อยที่ตื่นเต้นและ เฝ้ารอคอย

ซูหมิงยืนอยู่บนเข็มทิศ ก้มหน้ามองเข็มทิศจากอักขระใต้เท้าแวบหนึ่ง เขานึกถึงกระเรียนขนร่วง

‘หากกระเรียนขนร่วงอยู่ที่นี่จะต้องควบคุมเข็มทิศแน่ จากนั้นรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่อมาด้วยความตื่นเต้นและฮึกเหิม’ ซูหมิงคิดไปคิดมาก็ยิ้ม ส่ายหน้าแล้วยกเท้าขวาขึ้นเหยียบบนเข็มทิศ

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เข็มทิศเริ่มหมุนโคจร ทันใดนั้นแรงกดดันแก่กล้าจากอักขระรวมมาที่ซูหมิง

“อยู่เงียบๆ มาแปดปี ก็ควรจะเผยพลังเล็กน้อย ถ้าไม่อย่างนั้น…ถูกท้าประลองบ่อยๆ คงจะไม่ดีนัก…” ช่วงที่ซูหมิงกล่าวราบเรียบ เขาไม่สนใจแรงกดดันที่รวมเข้ามาแม้ แต่น้อย แต่ยกเท้าขวาขึ้นเหยียบเข็มทิศอย่างแรงอีกครั้ง

เกิดเสียงโครมดังขึ้น แรงกดดันที่รวมไปที่ซูหมิงพลันพังทลายลง ที่พังไปพร้อมกันยังมีเข็มทิศที่หมุนโคจร เข็มทิศแตกเป็นเสี่ยงๆ อักขระในนั้นหมุนม้วนราวกับรับ แรงกระทืบเท้าของซูหมิงไม่ไหว

“วงแหวนอาคมที่สอง” ซูหมิงกล่าวเนิบๆ พร้อมกันนั้นอักขระที่กระจายไปรอบๆ รวมเข้ามาเป็นเข็มทิศอีกครั้ง พริบตาที่หมุนโคจรซูหมิงยกเท้าขึ้นเหยียบลงเบาๆ

โครม!

ท่ามกลางสายตาตกใจของศิษย์สำนักเจ็ดจันทรา เข็มทิศพังลงอีกครั้ง แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ไปรอบๆ ราวกับว่าแรงกดดันรวมถึงพลังของวงแหวนอาคมเหล่านั้นอ่อนแอจนรับการโจมตีของซูหมิงครั้งเดียวไม่ไหว

เมื่อพังลง ซูหมิงลอยอยู่กลางอากาศ กล่าวราบเรียบ

“วงแหวนอาคมที่สาม”

สิ้นเสียง ศิษย์สำนักฝ่ายนอกฟ้าเหนือฟ้าชั้นหนึ่งที่เฝ้ารอคอยและฮึกเหิมพลัน ส่งเสียงโห่ร้อง ทว่าศิษย์สำนักฝ่ายในชั้นสองตาค้างอ้าปากกว้าง พวกเขารู้ถึง ความแกร่งของวงแหวนอาคมที่หนึ่งกับที่สองดี แม้จะไม่ได้ยากมาก แต่…ซูหมิงใช้แค่การกระทืบเท้าก็ผ่านไปได้ง่ายๆ เรื่องนี้ทำให้พวกเขาเหลือเชื่อ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version