ตอนที่ 141 แขกพิเศษ
ชายวัยกลางคนสวมเสื้อดำ ใบหน้าเผยรอยยิ้ม รูปร่างสูงใหญ่ยืนประดุจภูเขาเล็ก แขนทั้งสองข้างใหญ่โต แม้ยังไม่ปล่อยพลังโลหิต แต่กลับมีแรงกดดันวูบวาบ
เขามองซูหมิง ซูหมิงก็พิจารณามองเขาเช่นกัน
“ช่างเถอะ ฟางมู่เด็กคนนี้ข้าโปรดปราน” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ก้าวเดินไปเบื้องหน้า เขาอยู่ห่างจากบิดาของฟางมู่เพียงสิบกว่าก้าว ยามนี้เดินเข้าไประยะห่างค่อยๆ ใกล้มากขึ้น
ทว่าในช่วงที่เดินเข้าไปเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงแรงกดดันจากในตัวชายร่างกำยำตรงหน้าค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เมื่อเดินเข้าใกล้ในระยะห้าก้าวแรงกดดันทะยานถึงขีดสุด นี่เป็นการหยั่งเชิงแบบซึ่งหน้า ไม่ต้องปิดบังใดๆ ชายร่างกำยำยืนอยู่ตรงนั้น อมยิ้มมองซูหมิงเดินเข้ามา
หอแห่งนี้ เป็นเรือนพักจ้าวเผ่าบูรพาสงบ ที่นี่มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะเหยียบเข้าไปได้ ต่อให้เป็นในชนเผ่าก็ยังเป็นเช่นนี้ คนธรรมดาอยู่ได้เพียงเขตนอกเท่านั้น
ในช่วงที่ห่างจากจ้าวเผ่าบูรพาสงบเก้าก้าว ซูหมิงพลันก้าวยาวไปเบื้องหน้า ในก้าวนี้ข้ามไปไกลหนึ่งจั้งเข้าใกล้จ้าวเผ่าบูรพาสงบในระยะห้าก้าวทันที เสื้อผ้าทั้งตัวจ้าวเผ่าบูรพาสงบพลันโบกสะบัด ทำให้ซูหมิงชะงักฝีเท้าราวกับไม่อาจก้าวเดินต่อไป ร่างกายเหมือนจะถอยหลัง
ทันใดนั้นนัยน์ตาซูหมิงฉายแววประหลาดใจ ประสานสายตากับจ้าวบูรพาสงบ ชายร่างกำยำตัวสั่นไหวเกิดความรู้สึกเจ็บปวดตรงศีรษะ จำต้องคลายแรงกดดันจากร่างกายในทันที ก่อนซูหมิงพลันเหยียบเท้าลง
“โม่ซู” ซูหมิงประสานมือคารวะชายร่างกำยำ
ชายร่างกำยำเสื้อดำมีสีหน้าปกติ ถอยหลังไปหนึ่งก้าวเผยทางเข้าหอแห่งนี้ ก่อนประสานมือคารวะซูหมิงเช่นกัน
“สหายโม่ แม้เราพบกันเป็นครั้งแรก แต่แซ่ฟางกลับเหมือนรู้จักกันมานาน หากท่านไม่ถือสาก็เรียกข้าว่าฟางเซิน มา สหายโม่ เชิญ!” ฟางเซินหัวเราะเสียงดัง สีหน้าเป็นมิตร
“สหายฟาง เชิญ!” ซูหมิงพยักหน้า เดินเข้าไปในหอพร้อมกับฟางเซิน
ฟางมู่ยืนมองอยู่ไม่ไกล เห็นดังนั้นจึงถอนหายใจโล่งอก เขาแทบไม่เคยเห็นบิดาต้อนรับแขกเช่นนี้ ทว่าผู้อาวุโสโม่กลับได้รับการยอมรับจากบิดาอีกครั้ง เขาขบคิดอยู่ชั่วครู่ มิได้จากไป แต่เลือกรออยู่หน้าประตู
ภายในหอออกแบบอย่างเรียบง่ายมิได้หรูหราอะไรมากนัก กลับมีความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างสร้างขึ้นจากหิน เมื่อฟางเซินเชิญซูหมิงนั่งลงตรงโต๊ะหินแล้วจึงหยิบใบสมุนไพรมาชงแล้วเทใส่แก้วก่อนวางไว้ตรงหน้าซูหมิง
“สหายโม่ อาการบาดเจ็บของบุตรชายข้าในช่วงหลายปีมานี้ต้องขอบใจท่านมาก แซ่ฟางไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรดี ใบสมุนไพรนี้แม้ว่าล้ำค่าทว่ายังไม่เพียงพอจะต้อนรับสหายโม่ หวังว่าสหายโม่จะไม่ถือสา” ฟางเซินมองซูหมิงด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ
ซูหมิงมองแก้วบนโต๊ะเบื้องหน้า ในนั้นเป็นน้ำร้อนมีใบสมุนไพรลอยขึ้น มองดูเหมือนธรรมดา ทว่าวัตถุชนิดนี้ไม่ใช่ว่าเขาเคยเห็นเป็นครั้งแรก ตอนอยู่ในเผ่าร่องลมก็เคยเห็นวางอยู่ข้างท่านปู่ เห็นท่านปู่กับจิงหนานดื่มน้ำคล้ายกันและยังเคยสังเกตท่าทางขณะดื่มของท่านปู่
“อาการบาดเจ็บของฟางมู่สั่งสมมานานหลายปี ข้าแซ่โม่ทำได้เพียงบรรเทาเท่านั้น” ซูหมิงดูเหมือนปกติ แต่ความจริงแล้วในใจตึงเครียดเล็กน้อย ขั้นพลังจ้าวเผ่าบูรพาสงบเมื่อครู่นี้เขามองออกแล้ว แม้ยังไม่ถึงขั้นชำระล้าง เส้นเลือดในร่างกายกลับมีมากถึงเก้าร้อยกว่าเส้น
ตามหลักการแล้วหากอีกฝ่ายอยากชำระล้างไม่น่าเป็นเรื่องยาก ทว่ายามนี้ยังไม่ชำระล้างนั่นก็เพราะเจตนาอันแรงกล้า อยากรอจนเส้นเลือดทะลวงจนสมบูรณ์แล้วค่อยชำระล้าง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แม้จะเป็นชำระล้างตอนต้น แต่ก็ยังประมือกับชำระล้างตอนกลางได้
เส้นเลือดเป็นเหมือนพื้นฐาน ยิ่งจำนวนมากยิ่งมั่นคง เมื่อต่อสู้อย่างเต็มที่ย่อมทำให้ผู้คนตื่นตะลึง แต่นี่มิใช่สาเหตุความตึงเครียดของซูหมิง สิ่งที่เขาตึงเครียดคือตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ กระทั่งมาถึงแดนอรุณใต้ ส่วนใหญ่เขาจะอยู่เพียงลำพัง ไม่มีประสบการณ์พบปะผู้คนมากนัก โดยเฉพาะตอนนั่งอยู่ในห้องแล้วสนทนากันเช่นนี้ยิ่งน้อยมาก อีกทั้งด้วยฐานะของอีกฝ่าย เกรงว่าต่อให้เป็นจิงหนานก็ยังต้องเกรงใจ
ฟางเซินยิ้มหยิบแก้วขึ้นมาดื่ม เขากลับไม่ชอบใบสมุนไพรที่มันลอยอยู่จึงกลืนใบสมุนไพรเหล่านั้นตามไปด้วย
‘บุคคลนี้ยังคาดเดาขั้นพลังได้ยาก……ไม่ใช่ชำระล้างแต่กลับมีการควบคุมความละเอียดอ่อน อีกทั้งกลิ่นอายพลังยากจะสัมผัส เมื่อครู่เขาทำให้ข้าเกิดความรู้สึกถึงภัยอันตราย หากบอกว่าเขาเป็นชำระล้าง แต่ช่วงที่เขาเดินเข้ามาในระยะห้าก้าวก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่าฝืนตัวเล็กน้อย ถึงกระนั้น ตอนที่ข้ามองตาเขาจิตใจกลับสั่นไหว ดวงตาคู่นั้นทำให้ข้ารู้สึกเหมือนถูกมองทะลุ ทำให้พลังโลหิตไม่มั่นคง…บุคคลนี้ลึกลับ! ทว่าเขาเหมือนจะตึงเครียดเล็กน้อย?’
ฟางเซินวางแก้วลง มองซูหมิง
“ตอนนี้เป็นช่วงวันสร้างบรรพกาล มีหมอกหนาทั้งแดนอรุณใต้ และก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญของทั้งสามชนเผ่าแห่งภูเขาหาน ดังนั้นประตูเขาจึงปิด เรื่องนี้หวังว่าสหายโม่จะเข้าใจ ไม่ทราบว่าสหายโม่มาเผ่าบูรพาสงบมีเรื่องอันใดรึ?” ฟางเซินยิ้มกล่าว ในปากมีใบสมุนไพรที่ยังไม่กลืนก่อนหน้านี้ ขณะกล่าวหยิบแก้วขึ้นมาดื่มอีกครั้งถึงจะกลืนใบสมุนไพรจนหมด
“เจ้าสิ่งนี้เวลาดื่มมันยุ่งยากจริงๆ เป็นของที่อาของฟางมู่นำกลับมาด้วย หากสหายโม่ไม่คุ้นชิน….เอ่อ…” ฟางเซินกำลังกล่าวพลันหยุดชะงัก เขาเห็นซูหมิงหยิบแก้วขึ้นมา เขย่าเบาๆ ทำให้ใบสมุนไพรเหล่านั้นแตกตัว บางส่วนตกตะกอนสู่ก้นแก้ว ส่วนที่เหลือติดกับขอบแก้ว เขาถือเอาไว้เพียงครู่หนึ่ง ก่อนดื่มอย่างเป็นธรรมชาติแล้ววางแก้วลง
ฟางเซินสังเกตเห็นมือของซูหมิงเป็นลักษณะสองนิ้วพันรอบแก้ว ใช้กลางฝ่ามือโอบล้อม มองดูให้ความรู้สึกงดงามยิ่งนัก ทำให้ฟางเซินกะพริบตาปริบๆ การทำเช่นนี้เขาเคยเห็นจากน้องสาวของเขา กระทั่งน้องสาวยังเคยสอนบุตรของเขาให้ดื่มแบบนี้ ถือแก้วแบบนี้ ทว่าฟางเซินคิดว่ามันยุ่งยากจึงไม่สนใจเรียน ยามนี้พอได้เห็นซูหมิงทำพลันนึกถึงท่าจับแก้วของตนก่อนหน้านี้ ทั้งยังกินใบเข้าไปอีก ทำให้อดรู้สึกเขินอายมิได้
“แซ่โม่มานี่เพราะอยากเป็นแขกพิเศษของบูรพาสงบ” ยามนี้ความตึงเครียดค่อยๆ ลดลง เขาเรียนรู้ท่าทางของท่านปู่ในตอนนั้น ราวกับตนเป็นท่านปู่จริงๆ
“อ้อ?” ฟางเซินเงยหน้ามองซูหมิง สีหน้าทีเล่นทีจริง คนอย่างเขาเป็นจ้าวเผ่าบูรพาสงบได้ ไม่มีทางเป็นคนหยาบคายไร้การวางแผนเหมือนดังเปลือกนอกอย่างแน่นอน คนแบบนี้ซูหมิงทราบดีว่าแผนการของตนในความคิดของอีกฝ่ายเป็นเพียงการเล่นแบบเด็กๆ เขารู้ดีว่าเขาสู้ตรงจุดนี้ไม่ได้จึงทำตัวลึกลับและตรงไปตรงมาในเวลาเดียวกัน
“แซ่โม่อยากเข้าไปในแดนลับใต้เมืองเขาหาน เพราะนั่นเป็นจุดที่มีกิ่งไม้เสียงสวรรค์อยู่” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
ฟางเซินแววตาเป็นประกายไม่อาจคาดเดา เขาไม่คิดเลยว่าซูหมิงจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ความจริงแล้วแผนการของซูหมิงเขาพอมองออกเล็กน้อย เรื่องนี้เขามิได้ปฏิเสธในทันที
อันดับแรกถึงอย่างไรคนตรงหน้าก็เป็นคนรักษาอาการบาดเจ็บของฟางมู่ ลำดับต่อมาเขากับซูหมิงไม่ได้พบกันครั้งแรก ในช่วงหลายปีมานี้เขารู้ที่อยู่ของอีกฝ่าย อีกทั้งยังเคยผูกมิตรกันเรื่องส่งมอบดาบและคืนดาบ หากไม่ใช่เพราะมูลเหตุเหล่านี้ เป็นเพียงคนแปลกหน้ามาร้องขอ เขาฟางเซินต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน
“ข้าขอเหตุผลหนึ่งข้อ!” ฟางเซินมองซูหมิงสีหน้าเคร่งขรึม เกี่ยวกับซูหมิงเขาเคยตรวจสอบอย่างละเอียดในช่วงหลายปีมานี้ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ใกล้ชิดกับฟางมู่ ดังนั้นเข้าจึงต้องจริงจังกับเรื่องนี้
ผลสำรวจออกมาก่อนหน้านี้แล้ว จากที่ฟางมู่เล่าให้ฟังถึงอีกฝ่ายกับการคาดการณ์ของเขา มีความเป็นไปได้เก้าส่วนที่โม่ซูผู้ลึกลับตรงหน้าจะไม่ใช่คนในแถบภูเขาหาน แต่มาจากแดนอื่น จึงไม่คุ้นชินกับที่นี่สักเท่าไหร่ และก็ไม่มีทางทราบถึงความลับของเมืองเขาหานมากนัก ที่สำคัญคือบุคคลนี้ไม่มีเจตนาร้าย
นี่ไม่ใช่การเฝ้าสังเกตในช่วงเวลาอันสั้น แต่ใช้เวลาสี่ปีกว่าๆ จากพฤติกรรมของซูหมิงที่กระทำกับฟางมู่และฟางเซิน อีกทั้งยังมีขั้นพลังลึกลับและเจตนาดี ฐานะและประวัติไม่เกี่ยวกับภูเขาหาน สิ่งเหล่านี้เป็นจุดที่ฟางเซินให้ความสำคัญ ดังนั้นเขาจึงให้โอกาสซูหมิง ให้โอกาสในการพูดโน้มน้าว
“ข้าเคยบอกฟางมู่ไว้ว่ามีโอกาสเจ็ดส่วนที่จะรักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้ และเพราะต้องหลอมน้ำสมุนไพรชนิดหนึ่ง มันสำคัญกับข้ามาก หนึ่งในสรรพคุณของมันคืออาจรักษาอาการบาดเจ็บของฟางมู่ได้ ตอนนี้ยังขาดกิ่งไม้เสียงสวรรค์ ทว่าการหลอมน้ำสมุนไพรชนิดนี้ ความจริงแล้วสมุนไพรที่ข้าให้ฟางมู่หามาเป็นเพียงวัตถุดิบหลักในการหลอมเท่านั้น
ในเมื่อแดนลับของเมืองเขาหานมีกิ่งไม้เสียงสวรรค์ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีสมุนไพรชนิดอื่น หากข้าได้มามันจะมีส่วนช่วยในการหลอมน้ำสมุนไพรของข้ามากยิ่งขึ้น”
ซูหมิงกล่าวเรียบๆ เขาไม่ได้วางใจความสำคัญไว้ตรงผลลัพธ์การรักษาฟางมู่ วิธีการพูดแบบนี้ ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกไม่พอใจเหมือนกับถูกบีบ อีกทั้งยังไม่มีประโยชน์อะไรเลย
“แดนลับภูเขาหานมีอันตราย วิชาหมานที่ท่านฝึกฝนคืออะไร?” ฟางเซินขบคิดเพียงชั่วครู่ พลันกล่าว
“วิชาหมานสังหาร” ซูหมิงหรี่ตาตอบกลับอย่างสงบนิ่ง
“อาการบาดเจ็บของบุตรชายข้าคืออะไร?”
“อย่างน้อยก็ผู้แข็งแกร่งชำระล้างตอนกลาง ลงลวดลายหมานแห่งความตาย!” ช่วงที่ซูหมิงตรวจอาการบาดเจ็บของฟางมู่ เขาใช้เคล็ดวิชาความละเอียดอ่อนตรวจพบในจุดนี้ ฉะนั้นจึงมั่นใจว่าโอสถชิงวิญญาณจะช่วยรักษาได้ในทางอ้อม ตอนนั้นเข้ายังไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ ทว่าหลังจากขั้นพลังเพิ่มสูงขึ้น พอหวนคิดก็ได้คำตอบอย่างชัดเจน
ส่วนเผ่าบูรพาสงบไปล่วงเกินผู้แข็งแกร่งชำระล้างตอนกลางอย่างไรนั้น ซูหมิงไม่ได้อยากรู้อยากเห็นมากนัก
“หากท่านเข้าไปในแดนลับแล้วหาสมุนไพรพิเศษเหล่านั้นพบ โอกาสในการรักษาฟางมู่จะมีกี่ส่วน? หากหาไม่พบจะเป็นอย่างไร?” ฟางเซินกล่าวอีกครั้ง
“ข้อแรกตามสถานการณ์ความจริงแล้วมีมากกว่าแปดส่วน ข้อสอง…ก็ยังเป็นเจ็ดส่วนเหมือนเดิม” ซูหมิงขบคิดชั่วครู่ กล่าวตอบ
“สหายโม่ ในเมื่อมาเผ่าบูรพาสงบแล้ว เช่นนั้นก็อยู่นี่สักสองสามคืน เรื่องนี้แซ่ฟางยังต้องไตร่ตรอง!” ฟางเซินเงียบไปชั่วครู่ ยืนขึ้นประสานมือคารวะซูหมิง
ซูหมิงยืนขึ้น หลังจากคารวะแล้วจึงหมุนตัวเดินออกจากหอ จนกระทั่งเขาจากไปไม่นาน มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินลงมาจากชั้นสอง
“ชางหลัน คนนี้เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง?” ฟางเซินหมุนตัว มองไปทางหญิงสาวที่นั่งลงตรงตำแหน่งของซูหมิงก่อนหน้านี้