ตอนที่ 142 สิ่งที่หายไป…ในปีนั้น
นางเป็นสตรีสวมเสื้อยาวสีฟ้า เครื่องหน้าทั้งห้ากระจุ๋มกระจิ๋ม มองดูงดงามยิ่งนัก รูปร่างไม่สูงใหญ่ ในทางตรงกันข้ามกลับดูสวยน่ารักมีเสน่ห์ดึงดูด
ผิวนางเป็นสีขาวผ่อง ราวกับดีดเบาๆ อาจทำให้เนื้อแตกได้ ยามนี้นางนั่งแทนที่ซูหมิงหลับตา ขนตายาวสั่นไหวเล็กน้อย ทำให้ตัวนางเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ที่ต่างจากหานเฟยจื่อโดยสิ้นเชิง
เอกลักษณ์นี้ต่างกับความเย็นชาของหานเฟยจื่อ และต่างจากความงามแบบดื้อรั้นของไป๋หลิง แต่มอบความรู้สึกสงบยิ่ง ประดุจดอกกล้วยไม้งามท่ามกลางหุบเขา
ใบหน้านางงดงามยิ่งนัก มองไม่ออกถึงอายุ ยามนี้นั่งอยู่ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของหอแห่งนี้
ฟางเซินมองสตรีตรงหน้า นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยน นางเป็นน้องสาวเพียงหนึ่งเดียวของเขา ตั้งแต่เล็กไม่ค่อยเป็นที่สนใจในชนเผ่าสักเท่าไร อีกทั้งขั้นพลังยังไม่สูงส่ง
ด้วยนิสัยเงียบขรึมของนางจึงมักทำให้ถูกมองข้ามเสมอ
ทว่าใครจะไปคาดคิด หญิงสาวที่ดูเหมือนอ่อนแอคนนี้กลับใช้พลังลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิตบุกโซ่เขาหานเมื่อสิบปีก่อนเพราะเหตุผลบางอย่างที่มีแต่ฟางเซินเท่านั้นที่ทราบ!
สำหรับสามชนเผ่าเมืองเขาหานแล้ว โซ่เขาหานจัดขึ้นเพื่อคนนอก ชาวเผ่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ทุกครั้งที่สำนักเหมันต์สวรรค์รับศิษย์ก็จะมาเลือกผู้มีพรสวรรค์จากในสามชนเผ่าโดยตรง แม้หลายร้อยปีจะมีไม่ถึงสิบคนจากสามเผ่าที่ได้รับเลือกก็ตาม ทว่ามันก็ยังเป็นความหวังหนึ่ง
หากไม่ถูกเลือกและอยากไปสำนักเหมันต์สวรรค์ ก็ต้องทำเหมือนคนนอก ใช้การบุกโซ่เขาหานเพื่อให้ได้สิทธินั้นมา
ไม่มีใครคาดคิด แม้แต่ฟางเซินยังไม่คาดคิด น้องสาวของเขาฟางชางหลันใช้ขั้นพลังลำดับเจ็ดรวมโลหิตบุกโซ่เขาหาน
เรื่องราวแต่ละฉากเมื่อสิบปีก่อนผุดขึ้นในความคิดฟางเซินบ่อยครั้ง ท้ายที่สุดหญิงสาวผู้ไม่มีใครสนใจใช้ความตั้งใจอันแรงกล้า ไม่ทราบว่าทำอย่างไรถึงบุกไปจนถึงโซ่ส่วนที่หก ทำให้มีสิทธิ์เข้าร่วมสำนักเหมันต์สวรรค์
ฟางเซินมองน้องสาวตัวเอง เขาทราบดีว่าแม้ภายนอกนางจะดูอ่อนแอ ทว่าความแข็งแกร่งจากข้างใน แม้แต่เขายังต้องถอนหายใจด้วยไม่อาจเทียบ เพราะว่าเขาไม่มีความกล้าพอจะไปบุกโซ่เขาหาน
“ตอนนี้เขาไม่ใช่ขั้นชำระล้าง” ชางหลันลืมตาขึ้น กล่าวเสียงเบา
“ตอนนี้?” ฟางเซินขมวดคิ้ว
“ทว่าเขาไม่ได้พูดโกหก เขารักษาฟางมู่ได้จริงๆ” มืองามของชางหลันหยิบแก้วของซูหมิงขึ้นมา กล่าวอย่างสงบนิ่ง
“อ้อ?” ฟางเซินมองชางหลัน กล่าวเสียงเบา “ตรงนี้เป็นจุดที่ข้าสงสัย อาการบาดเจ็บที่แม้แต่เจ้ายังรักษาไม่ได้ เหตุใดน้ำสมุนไพรของเขาถึงทำได้”
ชางหลันก้มหน้าลง สีหน้าสลดเล็กน้อยก่อนหลับตา
“ข้า…..ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เฮ้อ เจ้า…” ฟางเซินรีบตรงเข้ามา คิดจะอธิบายแต่กลับไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“พี่ เรื่องนี้ผิดที่ข้าเอง…ทว่าใต้หล้ากว้างใหญ่นัก ผู้มีพรสวรรค์มากมาย ข้าเห็นว่าโม่ซูคนนี้ไม่ได้พูดอวดดีอะไร ข้านั่งอยู่ตรงนี้สัมผัสได้ถึงความคิดของเขาเล็กน้อย เกี่ยวกับเรื่องการรักษา เขาไม่ได้พูดโกหก” ชางหลันลืมตาขึ้นกลับมาเป็นปกติ นางมองฟางเซินพลางกล่าวเสียงเบา
“อีกทั้งเขายังมีประวัติลึกลับ วิธีการดื่มน้ำใบสมุนไพรเมื่อครู่ดูเหมือนง่าย แต่ความจริงแล้วก่อนข้าเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ก็ยังไม่รู้ แม้ท่าทางจะยังดูไม่สละสลวย ทว่าก็ถูกต้อง เขาจะต้องเคยเห็นใครทำเช่นนี้มาก่อนอย่างแน่นอน และคนที่ทำอย่างนี้ได้ในดินแดนอรุณใต้…มีไม่มาก หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ทำให้ข้ามีโอกาสรับใช้ท่านบ่อยครั้ง เกรงว่าคงจะสัมผัสไม่ถึง”
ฟางเซินขมวดคิ้วเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง
“นอกจากนี้แล้ว…” ชางหลันวางแก้วในมือลง นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ กล่าวเสียงเบา “แม้เขายังไม่ทะลวงสู่ขั้นชำระล้าง ในความรู้สึกกลับแข็งแกร่งกว่าชำระล้างตอนต้นเล็กน้อย…ในตัวเขาราวกับมีความแค้นต่อผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้าง…บุคคลนี้อาจเคยสังหารผู้แข็งแกร่งชำระล้างมา! และอาจไม่ใช่เพียงคนเดียว!”
ฟางเซินได้ยินดังนั้นก็เหม่อลอยไปชั่วครู่ พลันมองชางหลัน เขาเชื่อมั่นในเคล็ดวิชาหมานของนางอย่างมาก หากบุคคลตรงหน้าไม่ใช่น้องสาวเขา เขาคงไม่เชื่อเด็ดขาด
“เคยสังหารชำระล้างมากกว่าหนึ่ง?”
ชางหลันหลับตา ใช้มือขวากดตรงระหว่างคิ้ว ร่างนางค่อยๆ เลือนรางในสายตาฟางเซิน ผ่านไปชั่วครู่จึงกลับมาเป็นปกติ ชางหลันลืมตาขึ้น สีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย
“ในตัวเขามีไอความตายขั้นชำระล้างสองเส้น เส้นแรกคือเมื่อห้าสิบปีก่อน กลิ่นอายพลังอ่อนมากทว่ายังคงอบอวลไม่เลือนหาย แต่ที่แปลกคือเวลาทำให้ข้ามีความรู้สึกสองแบบ หนึ่งคือเมื่อห้าสิบปีก่อน อีกหนึ่งคือเมื่อสี่ปีก่อน ทำให้ข้าไม่แน่ใจ…ส่วนไอความตายเส้นที่สองชัดเจนมาก ราวๆ หนึ่งปีก่อน…ทว่าก็อ่อนมากเช่นกัน”
ชางหลันเผยแววสงสัย ดูไม่แน่ใจอย่างยิ่ง
ได้ยินดังนั้นสีหน้าฟางเซินเคร่งขรึมมากขึ้น
เขาเข้าใจเคล็ดวิชาหมานของน้องสาวตัวเองดี มันเป็นหนึ่งในสามยอดเคล็ดวิชาหมานแห่งสำนักเหมันต์สวรรค์ หากไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ของชางหลันเหมาะจะเรียนเคล็ดวิชานี้ บวกกับมีอาจารย์คอยค้ำชู เกรงว่าคงจะมิได้ร่ำเรียน
โดยเฉพาะตอนนึกถึงอาจารย์ของชางหลัน ฟางเซินเกิดความรู้สึกเคารพในใจ
“ดังนั้นข้าเลยสงสัยว่าเขาอาจเคยทะลวงสู่ขั้นชำระล้าง จากนั้นด้วยสาเหตุบางอย่างทำให้ขั้นพลังร่วงหล่น จึงเกิดความไม่ชัดเจนเมื่อครู่” ชางหลันลังเลครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวเสียงเบา
“ว่าอย่างนี้แล้วแสดงว่าความลึกลับของเขาเกินกว่าที่ข้าคาดเดาเอาไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าอย่างนั้น…ก็ต้องตรึกตรองให้ดีว่าจะให้เขาเข้าไปดีหรือไม่…ชางหลัน เจ้าไปพักก่อนเถอะ เรื่องนี้ข้าจะปรึกษากับจ้าวหมาน” ฟางเซินกล่าว คิดจะเดินออกจากหอ
“พี่ สำนักเหมันต์สวรรค์รับศิษย์ในครั้งนี้ไม่น่าจะเลือกจากเผ่าบูรพาสงบของเรา เผ่าผู่เชียงก็เช่นกัน พวกเขาแค่จะมารับเพียงคนเดียวนั่นคือหานเฟยจื่อแห่งเหยียนฉือ เรื่องนี้ตัดสินใจกันแล้ว ข้าเองก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรไม่ได้ ทว่าตอนรับศิษย์ครั้งหน้าข้าจะเตรียมที่สำหรับมู่เอ๋อร์เอาไว้ให้ ส่วนโม่ซู ข้าแนะนำว่าให้เขาเข้าไปเถอะ แต่ก็ต้องส่งคนไปเฝ้าอย่างใกล้ชิดด้วย หากเขารักษามู่เอ๋อร์ได้อาจได้เป็นแขกพิเศษแท้จริงของเรา”
ชางหลันกดระหว่างคิ้ว กล่าวเสียงเบา
ฟางเซินพยักหน้า หมุนตัวเดินออกจากหอ ยามนี้ในหอเหลือเพียงชางหลันคนเดียว นางนั่งอยู่บนเก้าอี้หินเงียบๆ ขณะกำลังยืนขึ้นเพื่อกลับไปพักผ่อนก็พลันลังเลครู่หนึ่ง ก่อนนั่งลงกลับไปใหม่ มือขวาสะบัดอากาศ พลันปรากฏกระดูกสัตว์สีขาวสามชิ้นในมือนาง
บนกระดูกสามชิ้นมีตัวอักษรเล็กจำนวนมากมองเห็นไม่ชัด เปล่งแสงอ่อนแน่นขนัดเผยกลิ่นอายความรู้สึกเก่าแก่ เห็นได้ชัดว่าเป็นวัตถุโบราณ
‘โม่ซูคนนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ อาจารย์เคยบอกว่าข้าฝึกเคล็ดวิชาหมานอักขระจนถึงลำดับเจ็ดแล้ว ในสำนักเหมันต์สวรรค์นับว่าพบหาได้ยาก ทว่าในตัวโม่ซูกลับเลือนรางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…..คนผู้หนึ่งเหตุใดถึงได้มีความแตกต่างสองอย่างในด้านช่วงเวลา…..
มีเพียงคำอธิบายเดียวนั่นคือในความทรงจำของเขา ตอนที่ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างคนแรกตายคือเมื่อสี่ปีก่อน…ทว่าความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น! เรื่องนี้ข้าเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก…..’
ชางหลันขบคิดพลันกัดปลายนิ้ว หยดโลหิตลงบนกระดูกสัตว์สามชิ้น กระดูกเหล่านั้นดูดโลหิตเข้าไปทันที แสงอ่อนด้านบนพลันสว่างจ้าทำให้หอแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยแสงทึบ ทั้งยังทำให้ใบหน้าของชางหลันเกิดเป็นเงาดำ
‘หากเข้าใจเรื่องนี้ได้บางทีอาจเป็นประโยชน์กับข้า…ข้าไม่เชื่อหรอกว่าสามวัตถุแห่งต้นอ่อนอักขระที่อาจารย์มอบจะทำให้ข้ามองไม่เห็น’ นัยน์ตาชางหลันเป็นประกาย กล่าวพึมพำด้วยภาษาซับซ้อน ถ้อยคำเหล่านี้ไม่สละสลวยยากจะเข้าใจ หากผู้คนรอบข้างได้ยินคงมึนงง กระทั่งฟังนานไปอาจทำให้เกิดความสับสน
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ดวงตาชางหลันเป็นประกายแสงอ่อน กระดูกสามชิ้นตรงหน้าพลันลอยขึ้น บินวนรอบระหว่างคิ้วนางอย่างรวดเร็ว นางหลับตาลงอย่างช้าๆ ร่างกายเลือนรางอย่างรวดเร็วจนแทบหายไปในที่สุด อีกทั้งภายในหอแห่งนี้เกิดเป็นมิติบิดเบี้ยวขนาดใหญ่ ทว่าเพียงสามลมหายใจต่อมาพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น!
“นี่…นี่…นี่ไม่ใช่ห้าสิบปี!” ร่างกายชางหลันจากเลือนรางพลันเด่นชัด ใบหน้าสงบนิ่งยามนี้ดูตื่นกลัวอย่างพบเห็นได้ยากจากตัวนาง ภายในความตื่นกลัวแฝงไว้ด้วยความหวาดผวาและเหลือเชื่อ
“นี่ไม่ใช่ห้าสิบปี…..นี่มัน…” กระดูกสามชิ้นตรงระหว่างคิ้วชางหลันพลันระเบิดแหลกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับมีพลังที่ไม่อาจบรรยายได้ตรงเข้ามาหยุดการกระทำของนาง
ในช่วงที่กระดูกสามชิ้นแหลกเป็นเสี่ยงๆ เกิดเป็นเสียงระเบิดดังกังวาน เครื่องใช้หินภายในหอแห่งนี้แตกกระจาย ขณะเดียวกันตัวหอเกิดเสียงโครมดังขึ้นอีกครั้ง มันแตกร้าวพังทลายไปทีละนิด ก่อนกลายเป็นละอองฝุ่น
ชางหลันกระอักเลือดกระเด็นถอยไปหลายก้าว ใบหน้างามขาวซีดยืนเหม่อลอยอยู่อย่างนั้นราวกับเสียสติ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทั้งเผ่าบูรพาสงบตื่นตะลึง ดึงดูดสายตาของทุกคน พบว่ามีสายรุ้งลากยาวหลายเส้นตรงเข้ามา กระทั่งตรงยอดเขาที่ห่างไกลกว่ายังมีสายรุ้งยาวตรงเข้ามาเช่นกัน
จ้าวเผ่าบูรพาสงบมาถึงเป็นคนแรก ข้างกายเขามีชายชราสวมเสื้อคลุมฟ้า นัยน์ตาชายชราเป็นประกายวาว ทำให้ผู้คนต้องก้มหน้าลงไม่กล้าสบตา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!” ฟางเซินเดินเข้ามาใกล้ สีหน้าดูวิตกกังวลยามมองชางหลัน ส่วนชายชราขมวดคิ้ว เมื่อพิจารณาโดยรอบอย่างละเอียดแล้ว สีหน้าพลันเปลี่ยนเคร่งขรึมทันที
“ที่นี่…มีกลิ่นอายพลังที่ไม่อาจบรรยายได้…หานชางจื่อ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”
ชางหลันยืนอยู่กลางซากหอ ค่อยๆ หลับตาลง ผ่านไปนานจึงลืมตาขึ้นช้าๆ แววตามีสติกลับมา นางมองไปรอบๆ หอนี้เดิมทีเป็นส่วนหนึ่งของภูเขา ยามนี้พังลงก็เหมือนกับขุดหลุมใหญ่บนภูเขา อีกทั้งตรงนี้ยังเป็นขอบดินแดนจึงเกิดเป็นรอยร้าวแผ่ขยายจำนวนมาก ราวกับภูเขาลูกนี้เกิดความไม่มั่นคง
นางใจสั่น เงียบขรึมชั่วครู่ จากนั้นหันกลับไปมองไกลๆ ด้วยความสับสน ตรงนั้นท่ามกลางฝูงชน นางเห็นซูหมิงอยู่กับฟางมู่ เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ดึงความสนใจของอีกฝ่าย
“ไม่มีอะไร ข้าแค่เห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นก็เท่านั้น…พี่ ข้าอยากขอร้องท่านให้เขาเป็นแขกพิเศษของเผ่าบูรพาสงบ” ชางหลันไม่ได้กล่าวแนะนำแต่เป็นการขอร้อง กล่าวจบนางไม่มองชายชราเสื้อคลุมฟ้าแม้แต่หางตา ทว่าเดินไปทางซูหมิง
ฟางเซินตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้จากชางหลัน เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนกล่าวเสียงเบากับชายชราข้างกายที่กำลังสงสัย