ตอนที่ 146 พบเสวียนหลุนอีกครั้ง
ช่วงวันสร้างบรรพกาลจะมีหมอกหนาปกคลุมทั่วแดนอรุณใต้ ตรงใจกลางดินแดนมีหมอกหนามากที่สุด แผ่ขยายเป็นวงกว้าง แม้บางลงเล็กน้อยก็ยังขมุกขมัว
เมืองเขาหานยามนี้ถูกหมอกปกคลุม หากยืนบนเมืองเขาหานแล้วมองลงไปจะไม่เห็นเหวลึก แต่จะเห็นเพียงทะเลหมอก กระทั่งหากมองนานๆ อาจเกิดความรู้สึกเหมือนเหยียบอยู่บนหมอก
ตรงส่วนภายในภูเขาที่ตั้งของเมืองเขาหาน ด้านล่างมีห้องลับยักษ์ห้องหนึ่ง ห้องแห่งนี้มีขนาดใหญ่ราวหลายร้อยจั้ง เป็นส่วนล่างของภูเขาลูกนี้ ผู้ที่รู้จักที่นี่มีไม่มากนัก
ภายในห้องลับโดยรอบมีแสงจากกองเพลิงสลัว ราวกับไม่อาจมอดดับไปชั่วนิรันดร์ ส่องแสงวูบวาบสะท้อนแดนแห่งนี้ ออกจะมืดครึ้มเล็กน้อย
บนพื้นเป็นซอกหุบเขาตัดขวางหลายเส้น ก่อขึ้นเป็นภาพสัญลักษณ์วงกลม มันดูซับซ้อนยิ่งนัก เผยกลิ่นอายของกาลเวลา เห็นได้ชัดว่าอยู่มานานแสนนาน
โดยรอบเงียบสงัด นอกจากเสียงเปาะแปะเบาๆ จากกองเพลิงแล้วไม่มีเสียงอื่นอีก บนหินผาห้องลับเห็นได้ว่ามีโซ่เหล็กสามเส้นแบ่งเป็นสามทาง ประดุจปากใหญ่ดำมืดสามปากกำลังอ้าอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นบนภาพสัญลักษณ์ขนาดใหญ่พลันมีแสงสีขาวขยับวูบวาบเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ แสงเพลิงโดยรอบก็ถูกแสงสีขาวกลบจนมิด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในช่วงที่แสงสีขาวเด่นชัดถึงขีดสุด พบว่าในลำแสงมีเงาคนสามคนคล้ายบิดเบี้ยวค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น ขณะเดียวกัน ลำแสงจากภาพสัญลักษณ์วงกลมพลันหายไป ทำให้ห้องลับกลับมามืดทึบอีกครั้ง
ในเงาสามคน มีชายหนุ่มอายุราวสามสิบปีคนหนึ่ง
บุคคลนี้คือแขกพิเศษแซ่เฉินของเผ่าบูรพาสงบ เขามีใบหน้าขาวซีด คุกเข่าลงกับพื้นแล้วอาเจียนไม่หยุด กลับไม่มีอะไรออกมา ทว่าตัวสั่นเทา เห็นได้ชัดว่าระหว่างการเคลื่อนย้ายมาที่นี่สร้างความเจ็บปวดให้เขายิ่งนัก
ข้างกายชายหนุ่มเป็นชายชราแขกพิเศษแซ่ตงฟาง แม้เขาไม่ได้อาเจียนเหมือนชายหนุ่มแซ่เฉิน ทว่ามีใบหน้าย่ำแย่ไม่ต่างกัน มีเม็ดเหงื่อผุดตรงหน้าผาก พยายามเดินมาถึงขอบภาพสัญลักษณ์ แล้วพลันนั่งขัดสมาธิลง ขณะปรับลมหายใจก็มองซูหมิง
ซูหมิงยืนอยู่ตรงใจกลางสัญลักษณ์บนพื้น เขาสวมหน้ากากสีดำทำให้ผู้อื่นมองไม่เห็นใบหน้า ยามนี้เขาหลับตา หัวใจเต้นแรงยิ่งขึ้น ใบหน้าภายใต้หน้ากากมีเลือดฝาดผิดปกติ
ตอนที่เขาลืมตาอีกครั้ง บังเอิญเป็นช่วงที่ชายชราแซ่ตงฟางมองมาที่เขา ทั้งสองคนประสานสายตากัน ในความคิดเขา แววตาของซูหมิงเย็นชา ไม่มีระลอกคลื่นแม้แต่น้อย ราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บจากการเคลื่อนย้ายมากนัก
“ทั้งสองท่านปรับลมหายใจก่อน แซ่โม่จะคุ้มกันให้” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง
ชายชราแซ่ตงฟางรีบเหยียดรอยยิ้ม พยักหน้าให้ซูหมิงแล้วหลับตาลงทำสมาธิ
ยามนี้ชายหนุ่มแซ่เฉินพยายามดิ้นรนมาอยู่ข้างชายชรา หอบหายใจแรง หัวเราะแห้งๆ ก่อนปรับลมหายใจ
ซูหมิงไม่กล่าวสิ่งใด แต่เดินออกจากภาพสัญลักษณ์มายืนนิ่งห่างจากคนทั้งสองไม่ไกลนัก แววตาขบคิดมองภาพสัญลักษณ์บนพื้น
สัญลักษณ์ดังกล่าวดูซับซ้อนยิ่งนัก หากมองนานๆ จะทำให้เกิดความรู้สึกตาลาย
“พลังของสหายโม่ไม่ธรรมดา ทนแรงกดดันจากการเคลื่อนย้ายได้ ข้านับถือนัก…ขอบใจสหายโม่ที่คุ้มกันให้ ภาพสัญลักษณ์นี้เป็นภาพแกะสลักของชาวเผ่าเขาหานในตอนนั้น สลักขึ้นตามปณิธานอันแรงกล้าของบรรพบุรุษของพวกเขา การใช้งานโดยละเอียดยามนี้แทบไม่มีใครรู้ หลังจากสามชนเผ่าครอบครองเมืองเขาหาน
พวกเขาก็ใช้เทวรูปหมานปรับแก้มัน กลายเป็นภาพเคลื่อนย้ายช่วงที่ผนึกของแดนแห่งนี้อ่อนแรงลง” ชายชราแซ่ตงฟางลืมตาขึ้น กล่าวเรียบๆ
“ไม่ต้องเกรงใจ ในเมื่อเราสามคนมาพร้อมกันก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อีกทั้งแซ่โม่เพิ่งเข้ามาเป็นแขกพิเศษของเผ่าบูรพาสงบ ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอีกมาก ต้องรบกวนทั้งสองท่านช่วยอธิบาย” ซูหมิงละสายตาจากภาพสัญลักษณ์บนพื้น หันไปมองชายชรา
ชายชรามองชายหนุ่มแซ่เฉินแวบหนึ่ง
เห็นว่าเขายังปรับลมหายใจอยู่และคงต้องใช้เวลาอีกนานถึงจะเป็นปกติ จึงประสานมือคารวะซูหมิงอย่างนอบน้อม ยิ้มกล่าวว่า “ข้าตงฟางหวา แม้สหายโม่เพิ่งมาเป็นแขกพิเศษบูรพาสงบ ทว่าคนที่จ้าวหมานบูรพาสงบมอบตราเลขสามให้ แสดงว่าสหายโม่มีความสำคัญกับพวกเขา หลังจากนี้ข้าอาจต้องรบกวนสหายโม่”
“ตราหมายเลขสาม?” ก่อนหน้านี้ซูหมิงพอคาดเดาเอาไว้บ้าง ยามนี้ได้ยินชายชรากล่าว จึงมั่นใจมากยิ่งขึ้น
“ไม่ผิด สหายโม่ เหรียญตราของแขกพิเศษเผ่าบูรพาสงบจะเรียงลำดับตามศักยภาพ” ตางฟางหวากล่าว พลางหยิบตรามาจากอกเสื้อ
“ตราของข้าด้านบนมีตัวเลขเจ็ด แสดงว่าก่อนหน้าข้าอาจมีอีกหกคนที่แข็งแกร่งกว่าข้า” ตงฟางหวาชี้ไปทางชายหนุ่มที่กำลังทำสมาธิข้างกาย ก่อนกล่าวต่อ
“ตราของน้องเฉินคือเลขสิบเอ็ด ส่วนโจวเยวี่ยที่ท่านสังหารไปก่อนหน้านี้คือเลขแปด”
“เช่นนั้นก่อนหน้าข้า ใครถือตราเลขสาม?” ซูหมิงพลันกล่าว
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ คนที่ถือตราเลขสามส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมาสุงสิงกับพวกข้าเท่าไร…” ตงฟางหวาฝืนยิ้ม
“สหายโม่ เรื่องนี้แซ่เฉินรู้” ชายหนุ่มแซ่เฉินสูดลมหายใจเข้าลึก ลืมตาแล้วลุกขึ้นประสานมือคารวะซูหมิง พลางกล่าวเสียงเบา
“แขกพิเศษเผ่าบูรพาสงบมีไม่มาก เหมือนว่าจะมีอยู่ประมานยี่สิบกว่าคนตลอด ก่อนหน้าสหายโม่ ผู้ถือตราหมายเลขสามน่าจะตายไปแล้ว อีกทั้งมีความเป็นไปได้ว่าจะตายที่นี่ มิเช่นนั้นจ้าวหมานบูรพาสงบไม่มีทางแก้ตราอย่างแน่นอน”
“แดนแห่งนี้ความเสี่ยงกับโชคลาภขนานกัน จ้าวเผ่าบูรพาสงบมิได้หลอกพวกเรา ในนี้มีโอกาสได้ทรัพยากรที่หาไม่ได้จากข้างนอก และนี่คือเหตุผลที่พวกเรามาเป็นแขกพิเศษและยอมทำงานให้เผ่าบูรพาสงบ
สหายโม่ อย่าเดินคนเดียวจะเป็นการดีที่สุด มิเช่นนั้นหากพบกับแขกพิเศษของอีกสองชนเผ่า…อาจเป็นอันตรายได้” ชายหนุ่มแซ่เฉินมีสีหน้ากลับมาเป็นปกติ เขากล่าวเสียงเบา
“เอาละ ในเมื่อน้องเฉินหายดีแล้ว พวกเราก็ไปจากที่นี่กันเถอะ พวกเราเข้ามาเป็นกลุ่มที่สาม ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง นอกเส้นทางลับคงมีแขกพิเศษเผ่าบูรพาสงบรอต้อนรับเราอยู่ จะต้องรีบไปรวมตัวกับพวกเขา อีกทั้งแขกพิเศษกลุ่มที่สามของผู่เชียงกับเหยียนฉือก็น่าจะใกล้ถึงแล้วเหมือนกัน สามชนเผ่าระแวงกันเอง เวลาเข้าแดนลับก็ใกล้เคียงกัน แม้ก่อนเดินออกจากเส้นทางลับจะมีแรงกดดันจากผนึกเคลื่อนย้ายแผ่กระจายก็ตาม ทว่าสามชนเผ่าก็เป็นกังวลเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด จึงห้ามทั้งสามชนเผ่าต่อสู้กันเองในเวลานี้ แต่หลีกเลี่ยงพวกเขาจะเป็นการดีที่สุด”
ตงฟางหวากล่าวเร่ง
ชายหนุ่มแซ่เฉินพยักหน้ารับ ประสานมือคารวะซูหมิง ก่อนรีบเดินไปตามเส้นทางประดุจปากกว้างด้านข้าง ซูหมิงเงียบขรึม เดินตามหลังไปพร้อมกับตงฟางหวา
ทันใดนั้น แทบจะเป็นช่วงที่ทั้งสามคนเหยียบไปบนเส้นทางปากกว้าง ภาพสัญลักษณ์บนพื้นห้องลับด้านหลังพวกเขาพลันเปล่งแสงอีกครั้ง แสงในครั้งนี้มิใช่สีขาว แต่เป็นสีทึบส่องแสงสะท้อนภายในห้องลับ
ตงฟางหวากับชายหนุ่มแซ่เฉินสีหน้าเปลี่ยน
“เผ่าผู่เชียง!”
ซูหมิงหรี่ตามองด้วยสีหน้าเรียบเฉย แสงทึบปรากฏเพียงชั่วครู่ ไม่นานก็หายลับไป บนพื้นห้องลับปรากฏเงาสามคน
คนนำหน้าสุดสวมเสื้อคลุมม่วง มีสีหน้าเคร่งขรึม มือไพล่หลัง คล้ายมีท่าทางสงบนิ่งอย่างยิ่ง
เขาพลันกวาดสายตามองพวกซูหมิงทั้งสามคน ก่อนพิจารณาซูหมิงอย่างละเอียด ทำเสียงหึแล้วไม่สนใจอีก
“เสวียนหลุน!”
“แขกพิเศษสูงสุดของเผ่าผู่เชียง เขา…เขาไม่ได้เป็นกลุ่มแรก แต่เป็นกลุ่มสาม!”
ตงฟางหวากับชายหนุ่มแซ่เฉินตื่นตะลึง ถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว มองเสวียนหลุนด้วยแววตาเคารพยำเกรง
สองคนด้านหลังเสวียนหลุนดูอายุราวสี่สิบกว่าปี ยามนี้ใบหน้าขาวซีด พยายามฝืนเดินตามเสวียนหลุนออกจากภาพสัญลักษณ์ ก่อนนั่งทำสมาธิด้านข้าง
เสวียนหลุนยืนเอามือไพล่หลังอยู่ด้านข้าง ขมวดคิ้วกลัดกลุ้มอยู่ตลอด เขาตามหาเหอเฟิงกับคนแซ่สวี่อยู่นาน ทว่าก็ยังไม่พบเบาะแสอะไร ทำให้อารมณ์ฉุนเฉียวมากยิ่งขึ้น ไม่ทันไรก็สังหารคนอีกแล้ว
ยามนี้เห็นแขกพิเศษบูรพาสงบสามคน หากมิใช่เพราะการสังหารที่นี่จะทำให้เกิดคลื่นผนึกเคลื่อนย้าย แม้แต่เขาที่เป็นแขกพิเศษสูงสุดของผู่เชียงเองก็ไม่อาจต้านทาน คงลงมือสังหารทั้งสามคนแล้ว
“ยังไม่ไสหัวไปอีกรึ!” เสวียนหลุนกล่าวอย่างเย็นชา แม้ไม่มองพวกซูหมิง ทว่าพวกซูหมิงย่อมเข้าใจคำพูดของเขา
ตงฟางหวากับชายหนุ่มแซ่เฉินไม่กล้ากล่าว รีบก้มหน้าเดินจากไปทันที ซูหมิงอยู่ด้านหลัง กำลังเดินตามตงฟางหวาไป
“รอเดี๋ยว! ข้าเคยพบแขกพิเศษเผ่าบูรพาสงบมาหมดแล้ว แต่เจ้าเป็นใคร ถอดหน้ากากออก” เสวียนหลุนชี้ไปทางซูหมิง
ตงฟางหวาและชายหนุ่มแซ่เฉินชะงักฝีเท้าอย่างห้ามไม่ได้ ซูหมิงขมวดคิ้วอยู่ด้านข้าง สื่อสารกับเหอเฟิงในความคิด
‘นายท่าน ห้ามจากไปทั้งอย่างนี้ ด้วยนิสัยของเสวียนหลุนตามที่ข้าเข้าใจ เขาไม่ได้หยั่งเชิง แต่แค่อารมณ์ไม่ดีก็เลยถามไปอย่างนั้น นายท่านแค่แสร้งทำท่าทีโอหังเล็กน้อยก็ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว’
แววตาซูหมิงเป็นประกาย ชะงักฝีเท้าหมุนตัวมามองเสวียนหลุน นัยน์ตาเย็นชาประสานสายตากับเสวียนหลุน
“ให้แซ่โม่ถอดหน้ากาก เจ้าต้องมีคุณสมบัติในการเอาชนะข้าให้ได้ก่อน”
น้ำเสียงซูหมิงเรียบเฉย กล่าวจบจึงหมุนตัวเดินไปตามเส้นทาง ตงฟางหวากับชายหนุ่มแซ่เฉินได้ยินดังนั้น จิตใจก็สั่นไหว มองสลับกันไปมา ลังเลครู่หนึ่งก่อนรีบเดินตามไป
แววตาเสวียนหลุนขยับประกายวาววับ ยิ้มเยาะไม่กล่าวต่อ เพียงแต่ยังเผยจิตสังหารในดวงตา
ภายในเส้นทาง พวกซูหมิงห้อเหยียดอย่างเงียบๆ ตงฟางหวากับชายหนุ่มแซ่เฉินเริ่มตีตัวออกห่างจากซูหมิง ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดจะเชิญซูหมิงเข้าไปสำรวจแดนลับนั่งฌานละสังขารด้วยกัน ทว่าหลังจากเจอเรื่องของเสวียนหลุนจึงเปลี่ยนความคิด
ผ่านไปไม่นาน เบื้องหน้าทั้งสามคน เห็นเป็นแสงทึบตรงสุดเส้นทาง มันเป็นซอกเขาแห่งหนึ่ง ด้านนอกเป็นแดนลับเมืองเขาหาน
ขณะตงฟางหวากับชายหนุ่มแซ่เฉินกำลังเดินออกไป แววตาซูหมิงเป็นประกาย ชะงักฝีเท้า
“สหายตงฟางเคยบอกว่าหลังจากเดินออกจากเส้นทางลับแห่งนี้แล้วจะมีแขกพิเศษบูรพาสงบที่เข้ามาก่อนหน้านี้รอต้อนรับอยู่ใช่หรือไม่?” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ