Skip to content

สู่วิถีอสุรา 147

ตอนที่ 147 ท้องฟ้ากระจ่างดาวผืนนั้น

“ไม่ผิด นี่คือสัญญาของเผ่าบูรพาสงบเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด ต้อง…หืม?”

ตงฟางหวาชะงัก ขณะกำลังอธิบายดวงตาพลันหรี่ลง มองไปนอกรอยแยกอย่างระวัง ด้านนอกรอยแยกยามนี้เงียบสงัด เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนมารอต้อนรับตามสัญญา

“เกิดเรื่องแล้ว!” ชายหนุ่มแซ่เฉินมีสีหน้าจริงจัง ก้าวเดินไปเบื้องหน้าหลายก้าว วางมือขวาบนผนังหินข้างรอยแยก หลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้น

“ด้านนอกไม่มีคนซุ่มโจมตี แต่ว่า…ก็ไม่มีแขกพิเศษมาต้อนรับตามสัญญาเหมือนกัน” ขณะกล่าวพลันออกแรงใช้มือขวาหักหินชิ้นหนึ่ง ก่อนกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตลงไป แล้วโยนออกไปนอกรอยแยก

ช่วงที่หินกระทบลงพื้นพลันกลายเป็นเงาคนเหมือนกับชายหนุ่มแซ่เฉินทุกประการ สีหน้าตื่นตัว เดินวนอยู่นอกรอยแยกนั้นรอบหนึ่ง

“ไม่มีคนซุ่มโจมตีอยู่จริงๆ ทว่าเหตุใดพวกเขาถึงไม่มา…” ชายหนุ่มแซ่เฉินมองตงฟางหวา และกล่าวเสียงเบา

“รออีกหน่อย!” ตงฟางหวาขมวดคิ้วมองร่างแปลงจากเคล็ดวิชาหมานนอกรอยแยก

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป เงาคนร่างแปลงกลายเป็นหมอกแดงกลับคืนสภาพหินอีกครั้ง

ซูหมิงเห็นภาพดังกล่าวจึงเกิดความระแวงต่อชายหนุ่มแซ่เฉิน

“สหายโม่ น้องเฉิน มีบางอย่างผิดปกติ หลังจากพวกเราออกไปแล้วอย่าเพิ่งแยกกันจะเป็นการดีที่สุด มุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือด้วยกัน ข้าจำได้ว่าตรงนั้นเป็นจุดรวมพลของเผ่าบูรพาสงบ”

ตงฟางหวามีสีหน้าร้อนรน กล่าวเสียงเบา เห็นว่าซูหมิงกับชายหนุ่มแซ่เฉินพยักหน้ารับจึงสูดลมหายใจเข้าลึก กัดฟันพุ่งทะยานออกไป

ชายหนุ่มแซ่เฉินตามไปติดๆ ซูหมิงอยู่ด้านหลัง ทั้งสามคนพุ่งทะยานออกจากรอยแยก ด้านนอกมีลมพัดพากลิ่นคาวเลือดกระทบใบหน้า เส้นผมยาวของซูหมิงปลิวไสว โดยรอบมืดทึบ มีหมอกบางๆ โอบล้อม เห็นเป็นภูเขาหัวโล้นวังเวง มีหมอกดำผุดขึ้นมาจากผืนดินต่อเนื่อง ก่อนรวมตัวกันอยู่บนท้องฟ้า

ตงฟางหวากับชายหนุ่มแซ่เฉินห้อเหยียดมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กลายเป็นสายรุ้งยาวสองเส้นบนพื้น เดิมทีซูหมิงคิดจะตามไป ทว่าขณะเดินออกมาเขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าโดยบังเอิญ ทันใดนั้นพลันตัวแข็งค้าง ความสงบและเย็นชาในแววตาพลันถูกแทนที่ด้วยความตื่นตะลึง ร่างกายพลันหยุดชะงัก

“สหายโม่?” ชายหนุ่มแซ่เฉินห้อเหยียดอยู่เบื้องหน้ามึนงงครู่หนึ่ง หันกลับไปมองซูหมิง

“ไม่ต้องสนใจเขา ตอนนี้ต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างแน่นอน จะอยู่นานไม่ได้!” ตงฟางหวารีบกล่าวก่อนมุ่งหน้าต่อไป ส่วนชายหนุ่มแซ่เฉินลังเลครู่หนึ่งแล้วรีบตามไปติดๆ ไม่นานเงาคนทั้งสองค่อยๆ หายลับไป

ซูหมิงยืนเหม่อลอยมองดาราบนท้องฟ้า เสียงเหอเฟิงดังเรียกในความคิดอย่างร้อนรน แต่ราวกับเขาไม่ได้ยิน ลืมเลือนจนหมดสิ้น

เขามองท้องฟ้าดาวทอประกาย ความสับสนในแววตาเข้ามาแทนที่ทุกสิ่ง

ผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายตอนภูเขาทมิฬ ผ่านความสับสนของแดนอรุณใต้ ผ่านความโดดเดี่ยวในช่วงเวลาหลายปี ผ่านเหตุการณ์ของเหอเฟิง ช่วงเวลาเหล่านี้ทำให้เขาเคยชินกับความสงบนิ่ง คุ้นเคยกับความเย็นชาและรักสันโดษ

ตัวเขาเกิดอารมณ์ความรู้สึกตื่นตะลึงเช่นนี้ แม้ไม่เรียกว่าพบเห็นได้ยาก ทว่าก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายามนี้อยู่ในแดนนั่งฌานละสังขาร ภายในเต็มไปด้วยอันตราย อาการตกตะลึงเช่นนี้ทำให้ความคิดเขาขาวโพลนไปหลายลมหายใจ

เขามองท้องฟ้า แม้มีหมอกปกคลุม แต่ดวงตากลับมองทะลุหมอก ยังคงเห็นเป็นภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนแจ่มชัด มีจุดดาวระยิบระยับ หากมิใช่เพราะหมอกไหลเข้าไปตามรอยแยกสี่เส้นที่ไม่รู้ใครทำไว้นานเท่าไรด้านบน เกรงว่าซูหมิงคงไม่แน่ใจว่าท้องฟ้าผืนนี้เป็นของจริงหรือไม่

“ของปลอม…” ซูหมิงพึมพำ

เขามองเส้นทางรอยแยกสี่เส้น พวกมันบอกซูหมิงอย่างชัดเจนว่าท้องฟ้าดาวทอประกายผืนนี้เป็นของปลอม มีคนสร้างมันขึ้นมา มัน…ไม่มีอยู่จริง

ท้องฟ้าผืนนี้ซูหมิงเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง

‘ซูหมิง จำท้องฟ้าผืนนี้เอาไว้…’ ในควมคิดซูหมิง มีเสียงท่านปู่ตอนนั้นดังก้องกังวานประดุจลมหนาว

ซูหมิงมีหน้าสับสน ยืนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น เขามองท้องฟ้ากระจ่างดาว ในแววตาว่างเปล่า โดยรอบเงียบสงัด ทว่าในใจของเขากลับมีเสียงพึมพำ

‘เหตุใดที่นี่ถึงมีท้องฟ้าที่ท่านปู่ให้ข้าจดจำ……’

‘เหตุใดบรรพบุรุษเขาหานถึงได้สร้างท้องฟ้าผืนนี้เอาไว้ที่นี่…’

‘เหตุใดสมบัติของเขาถึงทำให้ข้าเกิดความรู้สึกผูกพัน…’

‘เหตุใดเหอเฟิงถึงครอบครองสมบัติชิ้นนี้มิได้ แต่พอมันเห็นข้ากลับหลอมรวมกับร่างกายข้า…’

‘เหตุใดหลังจากกระบี่เล็กหลอมรวมกับข้าแล้วถึงได้เปิดเส้นทางเลือดเนื้อ เส้นทางนี้เดิมทีข้ามีมันอยู่ เพียงแต่ถูกปิดตายก็เท่านั้น…..’

‘เหตุใดทุ่งหญ้าสีแดงของบรรพบุรุษเขาหาน ตอนผู้อื่นใช้งานถึงถูกสูบพลังโลหิต แต่พอข้าใช้มันกลับต่างกัน…..’

‘เพราะอะไร’

‘บรรพบุรุษเขาหาน ท่านมาจาก…ที่ไหน…ท่านมาจากดินแดนท้องฟ้าผืนนี้ใช่หรือไม่…แล้วข้ามาจากที่ไหน…’ เสียงในจิตใจของซูหมิง จากดังพึมพำกลายเป็นเสียงตะโกน เสียงตะโกนดังกล่าวอยู่กลางใจเขา ผู้อื่นไม่ได้ยิน จึงเห็นเพียงเขายืนเหม่อมองท้องฟ้าอยู่นอกรอยแยก

ห่างจากซูหมิงไปหลายร้อยจั้งมีภูเขาเล็กลูกหนึ่ง ยามนี้ด้านบนมีเงาสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิบนยอดเขา หนึ่งในนั้นเป็นชายชราเสื้อคลุมดำ แววตาไร้ประกาย สองนิ้วมือขวากดบนดวงตาขวา

“ในสามคนของเผ่าบูรพาสงบกลุ่มนี้ ตงฟางหวากับเฉินนั่วไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ น่าจะไปจุดรวมผลเผ่าบูรพาสงบ ตรงนั้นไม่ต้องสนใจก็ได้ พวกเขาสองคนไปที่นั่นก็เหมือนรนหาที่ตาย ยังเหลืออีกคนยืนเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ ขั้นพลังของเขา…ไม่เกินแปดร้อยเส้นเลือด! แต่ในแขกพิเศษเผ่าบูรพาสงบไม่มีข้อมูลของเขา”

“ไม่ถึงแปดร้อยเส้น เช่นนั้นเด็ดหัวเอาเลือดเขามาก็พอ ครั้งนี้เผ่าเตรียมตัวมาหลายปี เผ่าบูรพาสงบไม่มีทางทันระวังตัวแน่ บุคคลนี้อาจเป็นแขกพิเศษคนใหม่ก็ได้ หลินตง เจ้าลงมือ” คนกล่าวเป็นชายร่างกำยำอายุราวสี่สิบปี เขากล่าวอย่างสงบนิ่ง

“รีบจบให้เร็วที่สุด พวกเราต้องไปรวมกลุ่มกับพวกซุ่มโจมตีเผ่าผู่เชียงอีก”

ชายร่างกำยำอายุราวสี่สิบกว่าปีกล่าวจบก็หลับตาลง เขาสวมเสื้อคลุมแดง ด้านบนมีใบหน้าเด็กสาวขยับวูบวาบ เครื่องแต่งกายเช่นนี้มีเพียงชาวเผ่าเหยียนฉือเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ครอบครอง เห็นได้ชัดว่าชายร่างกำยำคนนี้เป็นสายเลือดชนเผ่าเหยียนฉือ!

ชายชราเสื้อคลุมดำนามหลินตงพยักหน้ารับ ลดมือขวาลง ยันกายขึ้นทะยานไปเบื้องหน้า ด้วยความเร็วของเขาไม่นานก็หายลับไป

ซูหมิงยังคงยืนอยู่อย่างนั้น แววตาสับสน เขามีความรู้สึกเด่นชัดว่าตนกับบรรพบุรุษเขาหานจะต้องมีบางอย่างคล้ายกัน!

ทว่าเบื้องหน้าเขาราวกับมีม่านบังอยู่ เขาอยากมองเห็นทุกอย่างให้ชัดเจน ทว่ามักจะเกิดความรู้สึกเลือนราง ทุกอย่างทำได้เพียงคาดเดา

“ข้าต้องไปแดนนั่งฌานละสังขารของเขา…ข้าอยากเห็น…เขา!” ซูหมิงหลับตา ยกมือขวาขึ้นแล้วพลันปล่อยหมัดใส่อากาศ

ได้ยินเพียงเสียงโครมดังสนั่น อากาศข้างกายซูหมิงเกิดเป็นระลอกคลื่นดังกึกก้อง ชายชราเสื้อคลุมดำเผยตัวให้เห็นอย่างเด่นชัด ใบหน้าเขาขาวซีด มีโลหิตไหลจากมุมปาก แม้นัยน์ตาฉายแววตื่นตะลึงกลับไม่ถอย แต่ใช้มือขวาคว้าลง เกิดเป็นหมอกดำอบอวล มือของเขากลายเป็นกรงเล็บแหลมคมสีดำตรงเข้าใส่ซูหมิง

แม้ก่อนหน้านี้ซูหมิงอยู่ในอาการเหม่อลอย ทว่าช่วงที่เขาเดินออกจากรอยแยกก็ขยายเคล็ดวิชาตราประทับในขอบเขตสองร้อยจั้งแล้ว หากมีลมพัดผ่านใบหญ้าสั่นไหวเขาย่อมสัมผัสได้ ขณะที่ชายชราเสื้อคลุมดำปรากฏตัว เขาจึงสัมผัสได้ก่อนแล้ว

ยามนี้เผชิญหน้ากับกรงเล็บแหลมคมสีดำจากชายชรา ซูหมิงไม่หันกลับมามอง แต่แหงนหน้ามองภูเขาเล็กห่างออกไปไม่ไกลอย่างเย็นชา แทบจะเป็นช่วงที่เขามองไปบนยอดเขา ชายชราด้านข้างเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว เบื้องหน้าตัวเขาพลันมีแสงสีดำวูบไหว ลำแสงดำเส้นหนึ่งทะลวงผ่านระหว่างคิ้วชายชรา ยังผลให้โลหิตกระเซ็นไปด้านหลัง

ชายชราพลันเบิกตากว้าง สีหน้าเหลือเชื่อ ดวงตามืดสลัว ก่อนล้มลงกับพื้นห่างจากซูหมิงสามจั้ง ลำตัวชักกระตุกหลายครั้งก่อนสิ้นใจลง

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเร็วยิ่งนัก ชายร่างกำยำเสื้อคลุมแดงบนยอดเขาพลันยืนขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไปตื่นตะลึง เดิมทีเขาไม่สนใจการต่อสู้เช่นนี้ เขาเข้าใจว่าด้วยขั้นพลังของหลินตง แม้คนผู้นี้จะมีเส้นเลือดแปดร้อยเส้น ทว่าด้วยเคล็ดวิชาหมานพิสดาร ก็สามารถแปลงเป็นเงาเข้าประชิดโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัวได้ เคล็ดวิชานี้ทำให้หลินตงสร้างผลงานมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

แต่ชายร่างกำยำเสื้อคลุมแดงไม่คิดเลยว่าหลินตงจะตายตกเช่นนี้

กระทั่งวิธีการสังหารเขายังเห็นไม่ชัด เห็นเพียงอีกฝ่ายยืนเหม่อมองท้องฟ้าแล้วปล่อยหมัด จากนั้นหลินตงถูกบีบออกจากร่างเงา ทว่าก็ยังคิดสังหารต่อ แต่ทันใดนั้นหลินตงกลับล้มคว่ำลง…

ชายร่างกำยำจิตใจสั่นไหว ช่วงที่เขายันกายขึ้นเป็นจังหวะที่ซูหมิงมองมาพอดี ทั้งสองคนประสานสายตากัน

“ถอย!” ชายร่างกำยำเสื้อคลุมแดงตื่นตะลึง ในความคิดของเขา ซูหมิงในยามนี้เต็มไปด้วยความลึกลับ เขาเป็นคนของเหยียนฉือย่อมไม่ยอมเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด ขณะกล่าวก็พลันล่าถอยออกจากตรงนั้น

“คิดจะหนีรึ!” นัยน์ตาซูหมิงเย็นชา ก้าวทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความเร็ว กลายเป็นสายรุ้งยาวระนาบไปกับพื้นตรงขึ้นสู่ยอดเขานั้น หลังจากเห็นความเร็วของซูหมิง ชายร่างกำยำเสื้อคลุมแดงตะลึงพรึงเพริดยิ่งขึ้น ภูเขาเล็กอยู่ห่างจากซูหมิงสี่ร้อยกว่าจั้ง แต่ด้วยความเร็วของซูหมิง ระยะห่างจึงร่นเข้ามาเรื่อยๆ ต่อให้เขากำลังล่าถอย ไม่นานก็เข้าถึงตัว

‘บุคคลนี้สังหารหลินตงได้โดยง่าย จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่อำพรางขั้นพลังอย่างแน่นอน ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!’ ขณะชายร่างกำยำเสื้อคลุมแดงล่าถอย สีหน้าเขาเด็ดเดี่ยว เขาหยิบกล่องสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือมาจากอกเสื้ออย่างรวดเร็ว เมื่อใช้มือบีบจนแตกแล้วพบว่าภายในเป็นก้อนหินกลมหนึ่งก้อน

หินก้อนนี้เป็นสีแดงทุกส่วน ด้านบนมีลายเส้นแน่นขนัด ลักษณะเป็นภาพสัญลักษณ์ซับซ้อนยิ่ง ช่วงที่ก้อนหินอยู่ในมือชายร่างกำยำ มันพลันเปล่งแสงสีแดงเด่นชัด ระหว่างแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง เงาชายร่างกำยำเสื้อคลุมแดงก็ค่อยๆ เลือนหาย เขาจ้องซูหมิงที่อยู่ห่างราวสามร้อยจั้ง ยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา

‘แม้หลินตงจะตาย ทว่าก็ได้หยั่งเชิงผู้แข็งแกร่งอีกคนของเผ่าบูรพาสงบ ภารกิจครั้งนี้ถือว่าสำเร็จ…คิดจะสังหารแซ่เหยียนหรือ? หึ!’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version