Skip to content

สู่วิถีอสุรา 165

ตอนที่ 165 ฉากเบิกโรง

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนในพริบตา

ณ แดนลับใต้เมืองเขาหาน เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเป็นโบราณสถาน ทว่าหลังจากนั้นมิใช่ความลับอีก ไม่ว่าใครก็เข้าออกได้ตามใจชอบ ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามอีกต่อไป

และความลับเมืองเขาหานที่อยู่มานานหลายปีก็หายไปด้วย

นอกจากชาวเผ่าบางกลุ่มและผู้นำเผ่าทั้งสาม มีน้อยคนนักที่ทราบว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นที่นี่ พวกเขาทราบเพียงว่าในค่ำคืนเมื่อหนึ่งเดือนก่อน มีเสียงระเบิดดังกึกก้องจากในเหวลึกใต้เมืองเขาหาน มีเงาคนบินออกมา ด้านหลังเขาเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์กำลังแผดเสียงคำรามไล่ตาม

ขณะที่เงาร่างคนบินขึ้นมา มีหนึ่งคนจากเผ่าบูรพาสงบและเผ่าผู่เชียงพุ่งตัวเข้ามาขวางเอาไว้ ก่อนเข้าประมือ

สงครามครั้งนั้นเกิดขึ้นไม่นาน ท้ายที่สุดเงาร่างคนนั้นตายตก ถูกตัดศีรษะ

ผู้อื่นไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร ทว่าผู้นำสามชนเผ่าทราบ บุคคลนั้นคือบรรพบุรุษเขาหาน…

การตายของเขาทำให้สามชนเผ่าหลุดพ้นจากการเป็นทาส ได้รับอิสระที่พวกเขาเฝ้าปรารถนามาแสนนาน ทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ในภูเขาหานอีก และจะมีการพัฒนาที่กว้างขวางมากขึ้น

เผ่าเหยียนฉือได้รับมรดกทั้งหมดในสิ่งก่อสร้างยักษ์ที่คล้ายกระบี่ของบรรพบุรุษเขาหาน สำหรับของเหล่านี้ สำนักเหมันต์สวรรค์มิได้เรียกร้องอะไร ชายชราเสื้อคลุมแดงเพียงนำกระบี่ยักษ์เล่มนั้นจากไปเท่านั้น

อีกทั้งด้วยความที่เผ่าเหยียนฉือศึกษาอาคมเคลื่อนย้ายมิติระดับสี่ได้อย่างถ่องแท้ จึงมีคุณูปการครั้งใหญ่ เมื่อรับมือกับเผ่าบูรพาสงบและผู่เชียง เผ่าเหยียนฉือเลือกอพยพ พวกเขาสละสิทธิ์ในการควบคุมเมืองเขาหาน ป่าวประกาศยกเลิกแขกพิเศษทั้งหมด และขอใช้เวลาหนึ่งปีในการย้ายถิ่น

นอกจากนี้แล้ว สมุนไพรทั้งหมดในแดนลับใต้เมืองเขาหาน เผ่าเหยียนฉือมอบให้บูรพาสงบกับผู่เชียง มิได้นำกลับมามากนัก แต่เหลือเอาไว้ส่วนใหญ่เพื่อคลายความขัดแย้งระหว่างกัน ถึงอย่างไรสามชนเผ่าก็เติบโตมาพร้อมกันเป็นเวลาหลายร้อยปี สร้างพันธะสัญญาเอาไว้อย่างมั่นคง หากจะมาพังพราะเหตุนี้คงได้ไม่คุ้มเสีย

ในช่วงที่ผู้คนเมืองเขาหานทราบข่าว พวกเขาเดินทางไปยังแดนลับด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในกลุ่มพวกเขามีคนได้สมุนไพรและโชคลาภจริงๆ ทว่าส่วนใหญ่แล้วต้องกลับไปมือเปล่า

แต่พวกเขาก็ได้เห็นแดนลับที่เคยทำให้สามชนเผ่าต้องอยู่ในเมืองเขาหานหลายร้อยปีด้วยตาตัวเอง สำหรับคนนอกเหล่านั้น ก็เพียงพอจะเติมเต็มความพอใจเรื่องความลับเกี่ยวกับที่แห่งนี้ได้แล้ว

ภายในเวลาหนึ่งเดือน แดนลับมีคนจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นักรบหมานจากเมืองเขาหานเข้ามาในแดนแห่งนี้ ทำให้ความลึกลับของมันค่อยๆ หายไป

หลังจากที่เผ่าเหยียนฉือยกเลิกแขกพิเศษ

เหตุเพราะไม่มีความกระหายใดๆ แล้ว เผ่าผู่เชียงจึงทำตามด้วยเช่นกัน พวกเขายกเลิกแขกพิเศษทั้งหมด ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากแขกพิเศษอีก รวมถึงเผ่าบูรพาสงบก็ยกเลิกแขกพิเศษ ทำให้สามชนเผ่ากลับมาปิดกั้นตัวเองอีกครั้ง และทำให้โครงสร้างเมืองเขาหานเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีเรื่องสำนักเหมันต์สวรรค์รับศิษย์ในทุกๆ หลายปีเข้ามา จึงน้อยนิดจนไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง

ทั้งเมืองเขาหานครึกครื้นอีกครั้ง คนนอกผู้มาเยือนทั้งหมดต่างสนทนากันเพียงหัวข้อเดียว นั่นคือเรื่องสำนักเหมันต์สวรรค์รับศิษย์

การเข้าร่วมสำนักเหมันต์สวรรค์หรือสำนักทะเลตะวันออกเป็นความปรารถนาของนักรบหมานแทบทั้งหมดในแดนอรุณใต้ ทว่าผู้คนที่มาเมืองเขาหานล้วนเลือกสำนักเหมันต์สวรรค์

การรับศิษย์ของสำนักเหมันต์สวรรค์เข้มงวดยิ่งนัก มีระบบพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นในเมืองเขาหาน คนนอกที่ไม่ใช่สามชนเผ่าจะต้องบุกโซ่เขาหานเพื่อพิสูจน์คุณสมบัติ แต่นั่นก็เป็นเพียงคุณสมบัติเท่านั้น จะผ่านหรือไม่ก็ยังไม่แน่นอน

ขณะเดียวกันในช่วงเวลาหนึ่งเดือน ในเมืองเขาหานมีอยู่ชื่อหนึ่งเป็นหัวข้อสนทนาจากวงแคบไปจนถึงวงกว้าง ชื่อนี้กล่าวจากปากของหนานเทียนและได้รับการยอมรับจากเสวียนหลุน ทั้งยังเป็นคนที่หานเฟยจื่อตามหา ในเมืองเขาหานแทบไม่มีใครไม่รู้จักเขา

ชื่อของเขาคือ โม่ซู!

ท่ามกลางวงสนทนา ผู้คนในเมืองเขาหานจากที่ไม่คุ้นกับชื่อนี้ก็ค่อยๆ เกิดความคุ้นเคย และสัมผัสได้ถึงความลึกลับแข็งแกร่งจากตัวเขา เขาเป็นแขกพิเศษคนใหม่ของเผ่าบูรพาสงบ ขั้นพลังไม่อาจคาดเดา เหยียนก่วงแห่งเผ่าเหยียนฉือก็ตายในมือเขา ทางชนเผ่าเองกลับไม่เอาเรื่องอะไร

เผ่าบูรพาสงบยกเลิกแขกพิเศษทั้งหมด ทว่าเหลืออยู่เพียงชื่อเดียว เขา…ก็คือโม่ซูผู้ลึกลับ!

ตามข่าวลือบุคคลนี้มีขั้นพลังชำระล้าง เมื่อหนึ่งเดือนก่อนในแดนลับเมืองเขาหาน เขาเทียบเคียงกับหนานเทียน ทั้งยังทำให้เสวียนหลุนตื่นกลัว นอกจากนี้เขายังเคยประมือกับหานเฟยจื่อ

การต่อสู้ในครั้งนั้นไม่ทราบผล ทว่าหลังจากหานเฟยจื่อกลับมาถึงเผ่าเหยียนฉือก็เริ่มออกตามหาบุคคลนี้ ทำให้ผู้คนมองเห็นถึงเงื่อนงำเล็กน้อย

การปรากฏตัวของผู้แข็งแกร่งชำระล้างในเมืองเขาหานล้วนเป็นเรื่องน่าตะลึง นอกจากสามชนเผ่าแล้ว ผู้แข็งแกร่งชำระล้างมีเพียงห้าคนเท่านั้น

นอกจากเสวียนหลุนกับหนานเทียนแล้ว ยังมีเคอจิ่วซือแห่งเผ่าเหยียนฉือ ส่วนอีกสองคนไม่เข้าร่วมกับเผ่าใดๆ เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน นั่นคือเข้าร่วมสำนักเหมันต์สวรรค์

ห้าคนนี้เหมือนกับดวงตะวันในเมืองเขาหาน ไม่ว่าเข้าร่วมกับชนเผ่าใดๆ ก็ต้องได้เป็นแขกพิเศษสูงสุด ตอนนี้ปรากฏตัวผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างคนที่หก ทำให้เมืองเขาหานสนทนากันถึงชื่อของโม่ซูมากขึ้นเรื่อยๆ และ น่าจะเป็นสาเหตุที่เขายังไม่ยอมเผยตัว

ความลับแทบทุกอย่างในตัวโม่ซูมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนทราบเพียงว่าเขาสวมเสื้อคลุมดำ สัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดคือหน้ากากสีดำของเขา ไม่มีใครทราบว่าใบหน้าภายใต้หน้ากากเป็นอย่างไร กระทั่งหนานเทียนยังเคยกล่าวประโยคหนึ่งโดยบังเอิญว่า

“โม่ซูคนนี้ ข้าเทียบกับเขาไม่ได้ เสวียนหลุนก็เหมือนกัน ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างทั้งหมดในเมืองเขาหานไม่มีใครเทียบกับเขาได้!”

ข้ามเรื่องที่ว่าเขากล่าวประโยคนี้มีความหมายแฝงอะไรไปก่อน ทว่าหลังจากกล่าว เพราะเสวียนหลุนยอมรับแต่โดยดี เพราะเคอจิ่วซือหยักหน้าเห็นด้วย จึงทำให้เกิดการสั่นสะเทือนไปทั้งเมืองเขาหาน

นอกจากเรื่องสำนักเหมันต์สวรรค์รับศิษย์ ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างแห่งเมืองเขาหานคนที่หกก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในเมืองเขาหานยามนี้ บางทีอาจมีคนปลุกปั่น จึงทำให้ผู้คนในเมืองเขาหานแทบทุกคนเฝ้าสังเกตคนรอบข้างเพื่อตามหาโม่ซูผู้ลึกลับ

“ข้าผลักดันให้เขาโด่งดังถึงขีดสุดตามความต้องการของเจ้าแล้ว แม้ไม่รู้ว่าเจ้าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรก็ตาม” บนยอดเขาเผ่าเหยียนฉือ หานเฟยจื่อกำลังนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบๆ ในห้องลับ เบื้องหน้านางเป็นชายวัยกลางคนสีหน้าอ่อนโยน เขาสวมเสื้อผ้าสีดำ มองหานเฟยจื่อพลางหัวเราะกล่าวเบาๆ

“ขอบคุณผู้อาวุโสจิ่วซือ” หานเฟยจื่อกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“ไม่เป็นไร ข้ากลับแปลกใจนัก เขามีความสามารถขนาดนั้นจริงๆ รึ ไม่ใช่แค่เจ้าตามหาเขา แม้แต่เผ่าบูรพาสงบก็ร่วมมือด้วย สร้างเหตุการณ์ขึ้นมาเพื่อตามหาเขา”

“ดีที่หลังจากเผ่าผู่เชียงยกเลิกแขกพิเศษแล้วก็ปิดเผ่า ตัดขาดจากโลกภายนอก มิเช่นนั้นแล้วหากพวกเขาเข้าร่วมด้วย ข้าคงประหลาดใจกับโม่ซูมากกว่านี้” ชายวัยกลางคนยิ้ม

หานเฟยจื่อเงียบไม่กล่าว ผ่านไปนาน ชายวัยกลางคนส่งเสียงหัวเราะ ยันกายขึ้นก่อนกล่าวลา จนกระทั่งเขาจากไปเพียงชั่วครู่ นัยน์ตาหานเฟยจื่อฉายแววแปลกใจ ก่อนกล่าวพึมพำ

“โม่ซู ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะตายไปแล้ว เจ้าต้องทำตามสัญญาของข้า!”

เผ่าบูรพาสงบก็ตามหาซูหมิงเช่นกัน ด้วยความยึดมั่นของจ้าวเผ่าบูรพาสงบและน้องสาวของเขาหานชางจื่อ ทั้งชนเผ่าบูรพาสงบระดมคนออกตามหา รวมถึงหาในแดนลับภูเขาหานจุดที่ซูหมิงหายตัวไปด้วย แต่หนึ่งเดือนผ่านไปจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครพบซูหมิง ชื่อของโม่ซูจึงค่อยๆ ลึกลับมากขึ้นในเมืองเขาหาน

ณ ใต้เมืองเขาหาน เหวลึกหมื่นจั้ง ยามนี้ภายในหุบเขามีเงาคนขยับแสงบ่อยครั้ง บนผืนดินแผ่นใหญ่มีหุบเขาแห่งหนึ่ง ภายในเวลาหนึ่งเดือนมีคนเดินผ่านไปมาไม่น้อย ทว่าไม่มีใครทราบเลยว่าในหุบเขามีถ้ำประหลาดอยู่ ถ้ำแห่งนี้คนนอกไม่มีทางพบ ยามนี้ภายในถ้ำมีเสียงพึมพำดังก้อง

“ข้าเป็นใคร…..”

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิ เขาลืมตาขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ดูสับสนและว่างเปล่า เขาลืมเวลา ลืมจุดที่ตัวเองอยู่ เอาแต่ขบคิดถึงคำถามที่ไม่มีคำตอบ

ถ้ำหุบเขาแห่งนี้มิได้มืดทึบ ภายในเวลาหนึ่งเดือน ภายในค่อยๆ สะท้อนแสงสีแดงจากร่างกายของซูหมิง บนตัวเขามีเส้นเลือดจำนวนมากแน่นขนัดและกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

กระดูกหมานชิ้นนั้นในร่างกายเขาหลอมละลาย ดูดซับและโคจรพลังโลหิตมหาศาล ทำให้เส้นเลือดของซูหมิงในยามนี้ทะลวงถึงเก้าร้อยยี่สิบหกเส้น!

เส้นเลือดยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งเหล่านี้ซูหมิงมิได้สังเกตเห็น จิตใจทั้งหมดของเขาตกอยู่ในห้วงความคิด นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีสภาพเช่นนี้ ขบคิดถึงโชคชะตา ขบคิดว่าตัวเอง…เป็นใคร

ภายในเวลาหนึ่งเดือน เขาเหม่อลอยเหมือนคนหลงทาง ตกอยู่ในห้วงความคิด กลิ่นอายพลังเขาเปลี่ยนไป เพียงแต่มันเลือนรางยิ่งนักจึงยากจะสังเกตเห็น ทว่ามีอยู่จริง เหมือนกับตอนที่เขาเดินผ่านเส้นทางสีแดง ทำให้ได้ตระหนักและแปรเปลี่ยน

น้อยคนนักที่จะตามหาว่าตัวเองเป็นใคร มักตอบกันอย่างไม่ต้องคิดเลยว่าข้าก็คือข้า ทว่าคำพูดนี้มิได้ผ่านการตรึกตรองมาก่อน เป็นเพียงความมั่นใจลวงหลอกที่แม้แต่ตัวเองยังไม่ทราบ

“หากข้าก็คือข้า เช่นนั้นข้าคือใคร…” ซูหมิงพึมพำ เขาคิดไม่ออกและอยากรู้คำตอบ

คำตอบดังกล่าวไม่อาจคาดเดา บางทีอาจไม่มีใครบอกเขาได้ว่าเขาเป็นใคร ซูหมิงในยามนี้เหมือนกับทุกคนหลับตา แต่มีแค่เขาที่พยายามลืมตา เหมือนเขาตะกายปีนขึ้นมาจากหลุมลึกและจะตกลงไปได้ทุกเมื่อ พยายามเงยหน้าเพื่อมองโลกนอกหลุมลึก

เขาไม่รู้ว่าตัวเองมองเห็นอะไร เพียงแต่พยามขบคิดให้ชัดเจน ท่ามกลางความเลือนราง ในความคิดปรากฏภาพในตำราหนังสัตว์ที่ท่านปู่มอบให้เขา มีประโยคหนึ่งกล่าวเอาไว้และเป็นประโยคที่เขาสับสนมากที่สุด

“โลกที่ข้าเห็น…พวกเจ้า…มองไม่เห็น”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version