ตอนที่ 166 ขั้นรวมโลหิตสมบูรณ์
ซูหมิงไม่แน่ใจว่าเห็นอะไร บางทีอาจไม่เห็นอะไรเลยก็เป็นได้
ทว่าเขายังคงดิ้นรนอยากเห็นให้ชัด เพียงแต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเห็นอะไร โลกใบนี้เบื้องหน้าเขาเป็นสีดำ ไม่มีแสงสว่าง
“ปรารถนาจะเห็นแสงสว่างหรือ…” ซูหมิงกล่าวพึมพำในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดถามไถ่ คำถามนี้ไม่มีคำตอบ เขาคิดว่าตัวเองไม่ต้องการคำตอบแล้ว
เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่แสงสว่างและไม่ใช่ความมืด
“สิ่งที่ข้าอยากเห็น…คือความเข้าใจ…ความเข้าใจอย่างถ่องแท้…” ซูหมิงหลับตา สิ่งที่ปิดลงมิใช่ดวงตา แต่เป็นความคิดของเขา จิตใจของเขา และยังมีจิตวิญญาณของเขา
เหมือนกับรอยแยกที่เพิ่งเปิดออก ท้ายที่สุดทนไม่ไหวจึงต้องปิดลง เหมือนเพิ่งตะเกียกตะกายมาถึงขอบเหวลึก เงยหน้ามองโลกภายนอกแค่แวบหนึ่งก็ตกลงไปใหม่
แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังได้เห็นอะไรบ้าง
“หากวันหนึ่ง ตอนที่ข้ารู้ว่าข้าเป็นใคร ข้า…ก็จะเป็นข้า ตอนนี้ข้าคือซูหมิง ข้าคือ…โม่ซู” ซูหมิงลืมตา นัยน์ตายังมีความสับสน เพียงแต่ความสับสนถูกซ่อนอยู่ในส่วนลึก อยู่ในก้นบึ้งหัวใจ อยู่ในความคิดของเขา
เขาพลันเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว ความรู้สึกนี้เกิดจากในใจของเขา เหมือนถูกฟ้าดินและโลกทั้งใบทอดทิ้ง เหมือนกับคนเสียวิญญาณ ไม่รู้ว่าวิญญาณอยู่แห่งหนใด เหมือนกับเด็กหลงทาง ทั้งยังเหมือนนักเดินทางห่างไกลบ้านที่ลืมกลิ่นอายของบ้านเกิดขณะพเนจรอยู่ในโลกใบนี้
“สวรรค์หนอสวรรค์ เหตุใดเจ้าเศร้าโศกอยู่ผู้เดียว…” ซูหมิงเคยสับสนกับคำพูดประโยคนี้ กระทั่งยังเคยขบคิด ยามนี้มันแล่นผ่านจิตใจ เขาจึงค่อยๆ เข้าใจมากขึ้น
เขาเงียบขรึม แววตาสงบนิ่งแฝงไว้ด้วยความโดดเดี่ยว นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในถ้ำเงียบสงัด เพียงแต่ความสงบนิ่งกับความเงียบในครั้งนี้ เทียบกับตัวเขาเมื่อก่อนแล้วกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในความทรงจำของเขามีภาพตอนภูเขาทมิฬแล่นผ่านเป็นฉากๆ จนกระทั่งตื่นมาในแดนอรุณใต้แปลกตา ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เขาเรียนรู้ความสุขุม เรียนรู้ความสงบนิ่ง เรียนรู้ความโดดเดี่ยว
ทว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่เขาเรียนรู้มาเพื่อปกปิดจิตใจของตน เป็นเพียงสิ่งลวงหลอกที่อ่อนโยนหน่อยเท่านั้น
“โตเป็นผู้ใหญ่แล้วรึยัง…” ซูหมิงก้มหน้า กล่าวกับตัวเองเบาๆ
ภาพรอยยิ้มเจิดจ้าในความทรงจำ คำพูดไร้เดียงสา ภาพท่านปู่จูงมือคล้ายเป็นเด็กน้อย ทุกอย่างอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของซูหมิงตลอดมา
ภาพเด็กหนุ่มและเด็กสาวเล่นกันท่ามกลางหิมะ น้ำเสียงมีความสุขที่ถามเรื่องผมขาว เส้นผมหอมดำขลับมัดด้วยใยฝ้าย ยังคงอยู่ในใจซูหมิงมาโดยตลอด
“โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” ซูหมิงเงยหน้า ในตัวเขาพลันมีเสียงระเบิดดังกึกก้อง ก่อเป็นคลื่นเสียงจำนวนมากภายในถ้ำหุบเขา ราวกับเสียงคำรามดังก้องอยู่นานไม่เลือนหาย
ท่ามกลางเสียงโครมครามมีแสงสีแดงไร้ที่สิ้นสุดบนตัวซูหมิง ส่องสะท้อนถ้ำมืดมิดให้กลายเป็นสีแดง ทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในโลกสีแดง!
สีแดง!
สีแดงสด!
มันเป็นตัวแทนของพลัง เป็นตัวแทนของระดับพลัง เป็นสีแดงที่ทำให้ผู้พบเห็นต้องปวดดวงตา!
แสงสีแดงโอบล้อมตัวซูหมิงส่องสะท้อนเด่นชัดโดยรอบกาย ภายใต้ความเงียบขรึมและสงบนิ่งของเขา เสื้อผ้าส่วนนอกบนตัวเขากลายเป็นเศษละเอียดปลิวหาย เหลือเพียงสิ่งของพวกถุงเก็บวัตถุที่ตกอยู่ตรงเท้าเขา
เมื่อเสื้อผ้าแหละละเอียด เผยให้เห็นร่างกายเขาอย่างชัดเจน ยามนี้เส้นเลือดบนนั้นแน่นขนัด จำนวนของมันเพียงมองแวบแรกยากจะคาดเดา มีแค่ซูหมิงเท่านั้นที่ทราบ จำนวนของเส้นเลือดยามนี้ทะลวงถึงเก้าร้อยสามสิบเก้าเส้น!
“หากไม่ตายนั่นก็เป็นวาสนา…หานคง…ขอบคุณท่านมาก” ซูหมิงมิได้ตกใจกับการเปลี่ยนแปลงของตน คำพูดของหานคงผุดขึ้นในความคิดเขา กระดูกหมานที่เขาหลอมรวมอยู่ในร่างกาย ซูหมิงสัมผัสได้ชัดว่ามันยังอยู่ รู้สึกว่ามันกำลังหลอมรวมอย่างช้าๆ
เดิมทีการดูดซับพลังจากกระดูกหมานไม่ง่ายขนาดนั้น ทว่าเจ้าของกระดูกหมานชิ้นนี้เดิมทีถูกหานคงหลอมเป็นร่างแยก แม้เขาจะไม่ค่อยสนใจขั้นพลังของร่างแยกนี้เท่าไร แต่ด้วยความที่มันค่อยๆ ซึมซับตามกาลเวลา จึงเกิดการเปลี่ยนแปลง
จากการหลอมรวม พลังที่แผ่จากกระดูกหมานทำให้ขั้นพลังของซูหมิงทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว!
ซูหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิ นำความสับสนทุกอย่างหลอมละลายในจิตใจ ไม่ยอมเผยให้เห็น เขาไม่รู้ว่าเส้นทางอยู่ตรงไหน เขารู้เพียงว่าต้องเป็นผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะสามารถไขปริศนาของตัวเอง มีเวลาและโอกาสไปหาคำตอบของตัวเอง
‘ข้าไม่สนหรอก โชคชะตาก็ดี ความทรงจำถูกลบก็ดี สักวันหนึ่งข้าจะต้องรู้คำตอบได้ เมื่อถึงตอนนั้น…ข้าจะมีสิทธิ์เลือกโชคชะตาของตัวเอง!’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เส้นเลือดในร่างกายเขาเกิดเสียงระเบิดอีกครั้ง จำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เก้าร้อยสี่สิบเอ็ด เก้าร้อยสี่สิบสาม…จนกระทั่งถึงเก้าร้อยห้าสิบสองเส้น!
เส้นเลือดเก้าร้อยห้าสิบเส้น ในแดนเผ่าหมานพบเห็นได้ยาก ขั้นพลังนี้เรียกว่ารวมโลหิตสมบูรณ์ หากทะลวงถึงเก้าร้อยแปดสิบเส้นจะเรียกว่ารวมโลหิตมหาสมบูรณ์ ผู้แข็งแกร่งขั้นพลังระดับนี้นับว่าหายากยิ่งนัก!
ต่อให้มีคนใช้วิธีเดียวกับซูหมิง ดูดซับพลังจากกระดูกหมานของผู้แข็งแกร่งขั้นเซ่นไหว้กระดูก แต่หากมิได้หานคงบ่มเพาะเกือบพันปี เกรงว่าคงทำแบบนี้ไม่ได้ กระทั่งความจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น และยังมีส่วนสำคัญเกี่ยวข้องกับโลหิตหมานในร่างกายเล็กน้อย
ในช่วงที่เส้นเลือดของซูหมิงทะลวงถึงเก้าร้อยห้าสิบสองเส้น ด้านนอกถ้ำหุบเขาในแดนลับเมืองเขาหาน ยามนี้มีผู้คนเกือบร้อยแบ่งกลุ่มกันสามถึงห้าคน บ้างก็มาคนเดียว เดินแยกกันในแดนลับแห่งนี้
แดนแห่งนี้เดิมทีเงียบสงัด ทว่ายามนี้แผ่นดินสั่นสะเทือน นักรบหมานทุกคนที่นั่นล้วนเกิดเหตุการณ์เส้นเลือดในร่างกายปั่นป่วนดุจเสียการควบคุม
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ทำให้ทุกคนตื่นตะลึง
“เกิดอะไรขึ้น!” ชายวัยกลางคนเพิ่งเดินออกมาจากจุดเพาะปลูกสมุนไพรในหุบเขาแห่งหนึ่งเปลี่ยนสีหน้า เส้นเลือดทั้งหมดในตัวเขาปะทุขึ้นเอง ทำให้มีแสงสีแดงปกคลุมรอบตัว ชายวัยกลางคนอึ้งงันไปชั่วครู่ สีหน้าดูหวาดกลัว
ขณะเดียวกัน ทุกคนในแดนลับเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกัน แสงจากเส้นเลือดปกคลุมรอบตัวพวกเขา แสงนั้นเคลื่อนไหวไร้เสถียรภาพ เหมือนกับมีพลังมหาศาลกำลังฉุดดึง คล้ายจะหลุดออกจากร่างกายพวกเขา
“นะ…นี่มันเกิดอะไรขึ้น ที่นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
“เส้นเลือดของข้าเสียการควบคุม สมควรตาย ความรู้สึกอย่างนี้จะเกิดตอนเผชิญหน้ากับนักรบขั้นชำระล้างเท่านั้น หรือว่าจะมีผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างมา?”
“ไม่ใช่ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างก็ไม่มีทางทำได้ถึงขนาดนี้ ตอนนี้ที่นี่มีคนกว่าร้อยคน เจ้าดูแสงสีแดงรอบตัวสิ เห็นได้ชัดว่าทุกคนเสียการควบคุมเส้นเลือดเหมือนกันหมด…”
เสียงเกรียวกราวดังก้องแดนลับ ทำให้เกิดความสับสนอลหม่านและตื่นกลัว หากเปลี่ยนเป็นสถานที่อื่น บางทีอาจไม่วุ่นวายเท่านี้ ถึงอย่างไรนักรบหมานที่เข้ามาเหล่านี้ก็มิใช่ผู้อ่อนแอ
ทว่าสองเดือนก่อน ที่นี่ยังเป็นดินแดนลับที่สุดในเมืองเขาหาน ยามนี้แม้บอกว่าเปิดเสรีก็ตาม ความลึกลับของมันก็ยังคงอานุภาพอยู่!
ยามนี้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นที่นี่ ย่อมทำให้พวกเขาเกิดความตื่นตะลึง
“ที่นี่จะต้องมีความลับที่สามชนเผ่ายังไม่พบอีกแน่ ตอนนี้แค่เพิ่งเริ่มต้นก็ทำให้เส้นเลือดของข้าแทบลอยออกจากร่างกาย…จะต้องรีบออกไป!”
ชายชราผมขาวผู้หนึ่ง ใบหน้าเขาขาวซีด สีหน้าเคร่งขรึม ร่างกายขยับไหว ขณะกำลังทะยานออกจากแดนลับเพื่อกลับเมืองเขาหาน เขารู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงของที่แห่งนี้ ซึ่งมิใช่สิ่งที่ตัวเขาจะสอดรู้ได้
เพียงแต่ว่าขณะห้อเหยียดยังไปไม่ถึงหนึ่งร้อยจั้ง ทันใดนั้น เสียงอึกทึกที่ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนดังขึ้นภายในหุบเขาจำนวนมากในแดนลับอย่างต่อเนื่อง
ถัดจากแรงสั่นสะเทือนราวเคลื่อนภูเขา ลมและเมฆแปรปรวน ผู้คนเกือบร้อยในแดนลับมีหลายคนร้องด้วยความตื่นกลัว
ชายชราคนนั้นไม่หันกลับไปมอง หัวใจเต้นโครมคราม พลันเร่งความเร็วเพื่อออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด คนที่คิดแบบเดียวกับเขามีไม่น้อย ยามนี้มีหลายสิบคนแบ่งกลุ่มกันแยกตัวไปยังจุดต่างๆ เพื่อออกจากที่นี่
ทว่าหลังจากแผ่นดินไหวครั้งนั้น พลันเกิดแรงกดดันมหาศาลประดุจลมพายุคลั่งซัดสาด พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั่วแดนลับ อานุภาพกดดันมาฉับพลันเกินไป พวกเขาจึงไม่อาจรู้ตัวแม้แต่น้อย
เสียงระเบิดดังกังวาน เกิดแรงกดดันน่าสะพรึง ผู้คนที่กำลังหลบหนีล้วนตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ภายใต้แรงกดดันพวกเขาต้องหยุดชะงัก แล้วนั่งขัดสมาธิลงโคจรพลังโลหิตในร่างกายเพื่อต่อต้านแรงกดดัน
บนท้องฟ้าเดิมทีเป็นดาวทอประกาย ยามนี้เมื่อผนึกถูกทำลายจึงเผยให้เห็นเป็นผืนฟ้าห่างไกล ท้องฟ้าผืนนี้เป็นของชาวเผ่าหมานในแถบแดนอรุณใต้
ยามนี้เมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนตัวรวมกันเป็นดอกตูมหลายดอก มีแสงสีทองโอบล้อม การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ดึงความสนใจของทุกคนในเมืองเขาหาน รวมถึงคนจากสามชนเผ่าที่ต่างพากันมองขึ้นไป
“นี่คือ…”
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดท้องฟ้าถึงเป็นเช่นนี้!”
“หรือว่าคนของสำนักเหมันต์สวรรค์มา? ไม่ใช่ ตามเวลาแล้วสำนักเหมันต์สวรรค์น่าจะมาอีกหลายเดือนหลังจากนี้….”
“เป็นแรงกดดันที่แข็งแกร่งมาก เส้นเลือดข้าเสียการควบคุมเล็กน้อย ปรากฏการณ์ฟ้าดินเช่นนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
“นี่มันปรากฏการณ์อะไรกัน ก้อนเมฆรวมตัว แสงทองโอบล้อม หรือว่า…หรือว่าจะมีสมบัติล้ำค่าถือกำเนิด?” แทบทุกคนในเมืองเขาหาน ยามนี้ต่างพากันหยุดงานของตัวเอง ล้วนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เสียงสนทนาดังเกรียวกราว แฝงไว้ด้วยความประหลาดใจและสับสน ทั้งยังตื่นกลัวอย่างไร้สาเหตุยิ่งขึ้น
“นี่…นี่…” ภายในเมืองเขาหาน มีชายชราคนหนึ่งตัวสั่นเทาเล็กน้อย เขายันไม้เท้ากับพื้นยืนอยู่ในกลุ่มคน พลางเหม่อมองท้องฟ้า แววตาของเขามิได้สับสน แต่เป็นหวาดกลัวและเหลือเชื่อ
“นี่คือการอวยพรจากเทพหมานเมื่อมีผู้แข็งแกร่งขั้นรวมโลหิตสมบูรณ์ทำการชำระล้าง! นี่…” ชายชราหลุดเสียงเอ่ย เมื่อผู้คนรอบข้างได้ยินก็พลันเงียบงันชั่วครู่ ก่อนร้องออกมาเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ