ตอนที่ 181 เหลยเฉิน
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ซูหมิงเดินผ่านโซ่ส่วนที่หก เขาเพียงแค่โคจรพลังโลหิตเพื่อต้านทานแรงสูบพลังชีวิต นอกจากนี้แล้วก็ไม่ใช่วิธีการอื่นเลย
แม้แต่เคล็ดวิชาตราประทับก็ใช้แค่ทำลายเสาหิน ส่วนที่เหลือล้วนเก็บเอาไว้ในร่างกาย เขาไม่รอการมาเยือนของแสงจันทร์ ไม่แสดงเคล็ดวิชาตราประทับ กระทั่งการควบคุมความละเอียดอ่อนยังแทบไม่ค่อยใช้ สิ่งที่เขาใช้เพียงอย่างเดียวคือพลังโลหิตจากในตัวเขา
หลังจากนั่งฌานในแดนปิดด่านฝึกพลังของบรรพบุรุษเขาหานนานหลายเดือน ซูหมิงก็พบข้อดีเฉพาะของนักรบขั้นรวมโลหิตสมบูรณ์ นั่นคือการแสดงเส้นเลือด หากไม่ยินยอมก็จะไม่ปรากฏให้เห็นบนตัว
โซ่ส่วนที่ห้าก่อนหน้านี้ ซูหมิงใช้เพียงพลังจากเส้นเลือดประมาณเจ็ดร้อยเส้น
มีแค่ตอนอยู่บนโซ่ส่วนที่หกที่เขาต้องแสดงพลังจากเส้นเลือดทั้งหมดเก้าร้อยเจ็ดสิบเก้าเส้น
ยามนี้เผชิญหน้ากับโซ่ส่วนที่เจ็ด ซูหมิงทราบดีว่าเขาต้องแสดงพลังที่ซ่อนเอาไว้บ้างแล้ว มิเช่นนั้น ลำพังแค่เส้นเลือดเก้าร้อยเจ็ดสิบเก้าเส้น ต่อให้ผ่านโซ่ส่วนเจ็ดก็จะถูกสูบพลังชีวิตจนส่งผลกระทบถึงแผนการในอนาคตของเขา
‘ใต้แสงจันทร์ ร่างกายข้าจะฟื้นฟูเร็วขึ้น…การโคจรโลหิตก็เช่นเดียวกัน…พลังชีวิตจะมากขึ้นอีก’ ซูหมิงแหงนหน้ามองดวงจันทร์ซึ่งถูกเมฆปกคลุมไปมากกว่าครึ่งบนท้องฟ้า มันมิใช่จันทร์เต็มดวง ทว่าในสายตาของซูหมิงมันเป็นของเขาผู้เดียว
แสงจันทร์ไร้รูปสาดส่อง ลำแสงหักเหจากสายฝนปรอยเป็นสีสันที่คนอื่นไม่เห็น เข้าหลอมรวมกับร่างกายซูหมิง อย่างช้าๆ เขาค่อยๆ ยืนขึ้นแล้วเดินไปบนโซ่ส่วนที่เจ็ด
“เขาเริ่มเดินโซ่ส่วนที่เจ็ดแล้ว!”
“ส่วนนี้อันตรายยิ่งนัก มีคนตายตกตลอด ข้าเคยได้ยินมาว่ามีหลายคนล้มเหลวกันตรงส่วนนี้!”
“บุคคลนี้ช่างน่าเสียดาย…เขาเสียพลังไปมากกับโซ่ส่วนที่หก ส่วนที่เจ็ดนี้เกรงว่า…”
ในยามค่ำคืนแสงจันทร์สาดส่อง แม้กล่าวว่าไม่ชัดเจนเท่ายามกลางวัน ทว่าก็เห็นเงาซูหมิงผู้กำลังเดินบนโซ่ส่วนที่เจ็ดได้ ผู้คนในเมืองเขาหานเฝ้ามองตลอดยามกลางวัน ต่อให้ตอนนี้เป็นยามค่ำคืนพวกเขาก็ไม่ยอมกลับไปพักผ่อน มีหลายคนหาที่ไม่มีแอ่งน้ำแล้วนั่งขัดสมาธิลง มองขึ้นไปพร้อมกับสนทนา
บนยอดเขาเหยียนฉือ แม้ว่าหญิงชราดูเหนื่อยล้า แต่ยังคงยืนอย่างมั่นคง
มีเหยียนหลวนคอยประคองข้างพลางมองอยู่ตลอด
“ส่วนที่เจ็ด…ส่วนแห่งความตาย…” หญิงชราพึมพำเบาๆ
เหยียนหลวนเงียบไม่กล่าวสิ่งใด เพียงมองไป
ซูหมิงในยามนี้ไม่ได้สังเกตเลยว่าด้านหลังของเขา บนชั้นสองเมืองเขาหาน ใต้ชายคาเรือนหลังหนึ่ง ไม่ทราบว่าหานเฟยจื่อมาตั้งแต่เมื่อไร นางยืนมองเงาแผ่นหลังของซูหมิงอยู่ตรงนั้นนานมากแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
บนยอดเขาบูรพาสงบ ทุกคนกำลังเพ่งมองอยู่
“เขาจะเดินผ่านโซ่ส่วนที่เจ็ดได้หรือไม่…” จ้าวเผ่าบูรพาสงบลังเลครู่หนึ่ง ก่อนมองไปทางจ้าวหมานด้านข้าง
“เรื่องนี้เจ้าควรไปถามหานชางจื่อ” ใบหน้าจ้าวหมานบูรพาสงบเรียบเฉย กล่าวเรียบๆ
หานชางจื่อเงียบไปชั่วครู่ กล่าวด้วยน้ำเสียงเบาทว่ากลับหนักแน่น
“ได้”
ณ ยอดเขาผู่เชียง ทุกคนเงียบขรึม เพราะการเคลื่อนไหวของซูหมิงจึงทำให้เกิดเสียงสนทนาเบาๆ
“บางทีอาจไม่ต้องลงมือเองก็ได้ ดูจากท่าทางเขาตอนโซ่ส่วนที่หกแล้วคงไม่ผ่านโซ่ส่วนที่เจ็ด!”
“หากเป็นข้า จะเดินผ่านโซ่ส่วนที่หกคงไม่ลำบากขนาดนั้น พวกเราประเมินเขาสูงเกินไปหน่อย”
“พลาดไปเป็นดีที่สุด ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งรอตรงนี้”
น้ำเสียงสนทนาเบาบาง ทว่าความเย็นชาจากน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความตายเหมือนวิชาหมานที่พวกเขาฝึกฝน
ขณะทุกคนกำลังสนทนา มีเพียงชายรูปร่างอ้วนเหมือนภูเขาเนื้อข้างกายจ้าวหมานเผ่าผู่เชียงเท่านั้นที่ไม่กล่าว ทั้งสองคนมีสีหน้าต่างกัน จ้าวหมานผู่เชียงหรี่ตาทั้งสองข้างไม่เผยความคิด ส่วนชายเหมือนภูเขาเนื้อกลับขมวดคิ้ว
“เจ้าคิดว่าอย่างไร” จ้าวหมานผู่เชียงชายชราผอมเหมือนโครงกระดูกมองชายข้างกายแวบหนึ่ง
“เขาทำลายเสาหินมีสามความหมาย หนึ่งเป็นการเตือน สองเป็นการแสดงพลังอำนาจ สามเป็นการตัดทางหนีของตัวเอง ทำให้เขาจำเป็นต้องบุกโซ่เขาหานต่อไป
ไม่มีใครเคยทำเช่นนี้ ทว่าเขากลับทำ…จากจุดเล็กๆ นี้เราจะเห็นได้ว่าเขามั่นใจพอควร ทว่าความมั่นใจอาจไม่มากนัก มิเช่นนั้นคงไม่ต้องตัดทางหนีของตัวเอง แต่ข้าคิดว่าเขาน่าจะเดินผ่านโซ่ส่วนที่เจ็ดได้”
ดวงตาชายรูปร่างเหมือนภูเขาเนื้อเป็นประกายยามกล่าวเรียบๆ
สายฝนยามค่ำคืนเบาลง แต่ยังมีสายฟ้าแลบพร้อมกับเสียงฟ้าผ่าลงมาบ่อยครั้ง สะท้อนแสงจนฟ้าดินสว่างจ้าในชั่วพริบตา ยามนี้พลันมีสายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าลงมา ในช่วงเวลาอันสั้นที่มันสว่างวาบ ทุกคนเห็นซูหมิงบนเสาหินต้นที่หกกำลังเดินเหยียบไปบนโซ่ส่วนที่เจ็ด
ทว่าในช่วงที่เหยียบลงซูหมิงพลันชะงัก
ผู้อื่นมองไม่เห็น แต่ซูหมิงที่อยู่ตรงนั้นเห็นได้ ยามเขาเหยียบบนโซ่ส่วนที่เจ็ด พลันปรากฏเงาคนรูปร่างเลือนรางขึ้น คนผู้นี้เป็นเพียงเงาขมุกขมัวลอยอยู่ตรงหน้าเขา ลอยอยู่บนโซ่เขาหาน กำลังมองเขาอย่างเงียบงัน
“ซู…หมิง…” น้ำเสียงอ่อนแรงลอยเข้ามากระทบหูซูหมิง ทำให้หัวใจสงบนิ่งของเขาสั่นสะเทือน
“เหลยเฉิน!” ซูหมิงรู้ทันทีว่านั่นคือเสียงของใคร!
วินาทีงที่เขากล่าวชื่อนี้ กลับพบว่าเงาคนชัดเจนขึ้นมาอย่างรวดเร็วตรงหน้าตน ไม่รางเลือนอีกต่อไป เป็นเงาคนแปลกหน้าทว่าดวงตาสองข้างกลับดูคุ้นเคย!
เงาคนมีสีหน้าเจ็บปวด ยืนสับสนอยู่ตรงนั้น บนตัวเขามีบาดแผลเล็กๆ จำนวนมาก เห็นได้ว่าในบาดแผลเหล่านั้นมีแมลงเล็กสีดำกำลังชอนไช ใบหน้าของเขาดูแก่ชรายิ่งนัก ดวงตาขวาที่มืดบอดยามนี้เป็นประกายเหี้ยมโหด แต่ตาซ้ายของเขากลับมองซูหมิงอย่างเลื่อนลอย สีหน้าดูเหลือเชื่อ
“ซูหมิง…เป็นเจ้าจริงๆ หรือ…นี่…นี่…” เงาคนตัวสั่นเทา สีหน้าเจ็บปวดมากขึ้น ราวกับว่าร่างกายแทบไม่อาจทนรับความเจ็บปวดในตอนนี้ ตรงระหว่างคิ้วของเขา
ซูหมิงพบว่ามีตราประทับวงกลมหนึ่งวง
มันเป็นสีดำทึบ ทั้งยังมีไอดำลอยออกมาเหมือนทะลวงผ่านศีรษะของเขา
“นี่เป็นไปไม่ได้…ไม่ใช่เจ้า ไม่ใช่เจ้า เจ้าเป็นใคร!” เงาคนแผดเสียงคำราม จ้องซูหมิงเขม็ง พลันสาวเท้ายาวตรงมาทางซูหมิง
กลิ่นอายพลังแข็งแกร่งพลันปะทุจากในร่างกาย ซูหมิงรู้สึกว่าฟ้าดินรอบตัวกำลังแข็งค้าง แรงกดดันแกร่งกล้าแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความตาย เหมือนกับฝ่ามือใหญ่พลันตบลง ทำให้ซูหมิงตัวสั่นสะท้าน
“เหลยเฉิน…” ซูหมิงพึมพำ หัวใจเต้นรัวแรงมากขึ้น เขาไม่เคยคิดเลยว่าโซ่เขาหานส่วนที่เจ็ดจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น!
“นี่เป็นของปลอม ข้ากำลังบุกโซ่เขาหาน นี่เป็นสิ่งที่ความคิดข้าสร้างขึ้น….”
ซูหมิงยังคงมีสติครบถ้วนเป็นที่สุด และเพราะมีสติจึงทำให้จิตใจสั่นไหว
“เจ้าเป็นใครกันแน่!” เหลยเฉินแผดเสียงคำรามดุดัน เข้าใกล้ซูหมิงไม่ถึงสิบจั้ง กลิ่นอายพลังเหี้ยมโหดลอยกระทบใบหน้า อีกทั้งยังมีจิตสังหารบ้าคลั่งจากดวงตาขวาเหลยเฉิน
“เหลยเฉิน…ข้าคือซูหมิง…” ซูหมิงเข้าใจกระจ่าง ทว่ายิ่งเข้าใจมากเท่าไรก็ยิ่งหวาดกลัวมากเท่านั้น สิ่งที่เขากลัวมิใช่เหลยเฉิน มิใช่ฟ้าดิน แต่เป็นความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจกล่าว!
“ข้าคือซูหมิง…ข้าคือซูหมิง…” ซูหมิงพึมพำ เขามองเหลยเฉินกำลังตรงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง กำหมัดขวาแล้วต่อยเข้ามา ก่อนพลันชะงักอยู่ตรงหน้าห่างจากซูหมิงสามชุ่น
การหยุดของเขาเป็นเพราะซูหมิงกล่าวประโยคหนึ่งออกไป
“เจ้าเคยบอกว่าพวกเราเปลี่ยนกันได้มิใช่หรือ…”
เหลยเฉินตัวสั่นเทา มองซูหมิงอย่างเลื่อนลอย ดวงตาแดงโลหิตฉายแววเหลือเชื่อและเหี้ยมโหด กระทั่งมีความหวาดกลัวอยู่มากกว่า
“ไม่มีทาง…ข้าฝังเจ้าเองกับมือ…นี่เป็นภาพลวงตา…เป็นภาพลวงตาที่รบกวนการฝึกฝนของข้า…” เหลยเฉินฝืนยิ้มปวดร้าว เก็บมือขวากลับไปทุบหน้าอกตน ขณะร้องเสียงอู้อี้ในลำคอ เงาเหลยเฉินพลันแหลกสลายกลายเป็นเลือนรางอีกครั้ง แล้วจึงค่อยๆ หายไปต่อหน้าซูหมิง
ซูหมิงหายใจกระชั้นถี่ เขาเดินผ่านโซ่ทั้งหกส่วนมายังไม่เคยมีอาการเช่นนี้ รวมถึงตอนได้ยินคำพูดของพวกผู่เชียงด้วย ทว่าตอนนี้เขาแทบควบคุมการหายใจของตัวเองมิได้ จึงหอบหายใจแรง
‘นี่มันเป็นภาพลวงตาหรือของจริงกันแน่!’
‘นี่เป็นภาพลวงตาของข้า…..หรือของเหลยเฉิน…’
‘นี่เป็นความจริงของข้าหรือความจริงของเหลยเฉิน! รูปร่างหน้าตาเหลยเฉินเปลี่ยนไปมาก ระดับพลังก็แข็งแกร่งขึ้น นี่เป็นจินตนาการของข้าหรือ…’
ซูหมิงตัวสั่นราวกับไม่อาจลืมตาตื่นจากฝันร้าย
เมืองเขาหานในยามนี้เกิดเสียงดังเกรียวกราวสะเทือนฟ้าดิน เสียงเหล่านั้นทำให้ผู้คนที่กำลังนั่งฌานจำนวนมากยืนขึ้นอีกครั้ง เผ่าเหยียนฉือ เผ่าบูรพาสงบ กระทั่งเผ่าผู่เชียงล้วนตื่นตะลึง
พวกเขาทุกคนเห็นกันอย่างชัดเจนว่าซูหมิงกำลังเดินอยู่บนโซ่เขาหานส่วนที่เจ็ดในค่ำคืนแสงจันทร์ ทว่าการเดินของเขาแตกต่างกับก่อนหน้านี้ เขาเหมือนลืมว่าที่นี่คือโซ่เขาหาน ลืมว่าใต้เท้าเป็นเพียงโซ่เหล็กมิใช่ทางเดิน
ในสายตาของทุกคน เขาเหมือนขาดสติไร้วิญญาณ แม้กำลังเดินอยู่แต่กลับเหมือนซากศพ กระทั่งบางก้าวยังเกือบตกลงไป
นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนมีสติครบถ้วนจะทำกัน!
“เป็นอย่างนี้อีกแล้ว! ข้าจำได้ เคยมีคนบอกว่าคนที่เดินผ่านโซ่ส่วนที่เจ็ดทุกคนจะมีอาการเช่นนี้!”
“บนโซ่ส่วนที่เจ็ดซ่อนความลับอะไรเอาไว้กันแน่!”
“จบสิ้นแล้ว เมื่อครู่เขาเกือบตกลงไป ดีที่ลมไม่แรงมาก โซ่ก็เลยไม่แกว่งนัก…ละ….ลมมาแล้ว!”
เสียงสนทนาดังสนั่นราวกับลูกคลื่นยักษ์ เพราะว่ายามนี้เกิดลมพายุคลั่งหวีดหวิวก่อนสงบลงในชั่วพริบตา ท่ามกลางเสียงลมครืนๆ โซ่ส่วนที่เจ็ดสั่นไหวอย่างรุนแรง อีกทั้งยามนี้มีสายฟ้าผ่าลากยาวลงมา ยิ่งทำให้เสียงสนทนาดังอื้ออึงมากขึ้นไปอีก!
เพราะว่าในช่วงที่สายฟ้าสะท้อนแสง พวกเขาเห็นกับตาเลยว่าซูหมิงบนโซ่เหล็กยกเท้าขวาขึ้นอย่างแข็งทื่อ ก่อนเหยียบพลาดลงไปข้างหนึ่ง!