ตอนที่ 2 การชี้นำหมาน
มันเป็นเศษหินธรรมดาๆ มีขนาดเท่ากับกำปั้นเด็กทารกเท่านั้น รูปร่างผิดแปลก ด้านบนนอกจากจะมีลายที่น่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแล้ว ยังมีรูขนาดเล็กตรงกลางเหมือนกับเครื่องประดับที่ใช้ห้อยคอ ทว่าพอมองภาพรวมแล้วก็ไม่ได้มีจุดแปลกอะไร เป็นรูปร่างที่พบเห็นได้ทั่วไป
ทว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่พิกล นั่นคือตอนที่ซูหมิงหยิบแผ่นหินขึ้นมา กลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ราวกับมีธารอุ่นไหลเข้าสู่ร่าง ทำให้รู้สึกสบายยิ่งนัก
“หือ?” ซูหมิงพิจารณาอย่างละเอียด ทว่ามองอยู่นานก็ไม่พบกับร่องรอยอะไร
“เคยได้ยินท่านปู่เล่าว่า เมื่อนานมาแล้วที่นี่เคยเป็นดินแดนของหมานเพลิง บางทีเจ้าสิ่งนี้อาจจะมีพลังของหมานเพลิงอยู่บ้างเลยทำให้รู้สึกอบอุ่น ไม่ผิดแน่” ซูหมิงแกะสร้อยคอกระดูกจันทร์เสี้ยวที่ห้อยอยู่บนคอออก จากนั้นนำเศษหินใส่เข้าไป ก่อนจะแขวนกลับไว้ดังเดิม แผ่นหินแนบชิดกับหน้าอก ทำให้ความอุ่นมีมากกว่าเดิม
“กลับบ้านดีกว่า!” เด็กหนุ่มสาวเท้าก้าวยาว วิ่งด้วยความเร็วไปทางแสงไฟที่ห่างไกลออกไป ทว่าเขาไม่ได้สังเกตเลยว่า เศษหินที่แนบชิดอยู่ตรงอกของเขามีประกายแสงอ่อนๆ เปล่งออกมา
พอจวนจะถึง แสงไฟอ่อนเบื้องหน้าของซูหมิงก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น จนเห็นชนเผ่าแห่งหนึ่งซึ่งโอบล้อมไปด้วยกำแพงที่ทำขึ้นจากซุงไม้ขนาดใหญ่จำนวนมาก
พื้นที่ไม่ใหญ่นัก มีแค่ประมาณหลายร้อยครัวเรือนอาศัยอยู่ ทว่าในสายตาของซูหมิง ที่นี่กลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่น
นอกจากนี้ด้านในยังมีเสียงโห่ร้องครึกครื้นดังอยู่รางๆ หากมองลอดเข้าไปในซอกกำแพงไม้ที่เรียงราย จะสามารถเห็นใจกลางของชนเผ่าได้ว่ามีกองไฟขนาดใหญ่ตั้งอยู่ โดยรอบมีผู้คนจำนวนมาก และยังมีสตรีในเผ่าที่กำลังเต้นรำอยู่หน้ากองไฟด้วย
ประตูหลักของชนเผ่าก็ทำขึ้นจากไม้ซุงท่อนใหญ่เช่นเดียวกัน ตอนเปิดออกจะต้องใช้เชือกเส้นใหญ่หลายเส้นยกขึ้น ทว่าตอนนี้ปิดสนิท ด้านบนมีชายร่างกำยำหลายคนยืนอยู่ สวมเสื้อหนังสัตว์ ผิวหนังหยาบกร้านมาก บนคอห้อยสร้อยกระดูกสีขาวเรียงกันขนัด ตรงใบหูมีต่างหูกระดูก อัดแน่นไปด้วยความกล้าหาญ สายตาเป็นประกายสอดส่องโดยรอบ ยามเห็นซูหมิงวิ่งมาแต่ไกล เหล่าชายร่างกำยำต่างก็ยิ้มออกมา
“ลาซู ท่านปู่หาเจ้าอยู่นาน เหตุใดถึงเพิ่งกลับมา”
“เมื่อครู่ฝนตก ไม่ใช่ว่าเจ้าไปแย่งเอาน้ำลายมังกรมาอีกแล้วนะ”
“ท่านปู่ตามหาข้าหรือ[PP1] ? โยนเชือกลงมา ครั้งนี้ข้าได้ของดีมาด้วย”
ซูหมิงรีบวิ่งมาถึงหน้าประตูใหญ่ ก่อนตบไปที่ตะกร้าสานด้านหลังอย่างภูมิใจพร้อมตะโกนกล่าวเสียงดัง
ซูหมิงคว้าเชือกสานที่ถูกโยนลงมาจากด้านบน แล้วปีนขึ้นไปอย่างว่องไว ไม่กี่ช่วงอึดใจก็มาถึงยอดด้านบนของประตูใหญ่ หลังยิ้มให้กับยามรักษาการณ์ที่อยู่เวรดึกเสร็จ ก็รีบเดินลงบันไดด้านข้างไปทันที
“เจ้าเด็กนี่รูปร่างมันปราดเปรียวจริงๆ แถมยังใจกล้าไม่เบา อายุไม่เท่าไรก็กล้าขึ้นเขามังกรทมิฬไปเก็บสมุนไพรคนเดียวแล้ว เห็นทีภายภาคหน้าแพทย์สามัญในชนเผ่าจะต้องเป็นมันแน่นอน”
“น่าเสียดาย มันไม่มีกายหมาน มิเช่นนั้นแล้ว บางทีอาจจะเป็นแพทย์หมานเหมือนกับท่านปู่ก็ได้” ชายร่างกำยำหลายคนมองซูหมิงที่เดินห่างออกไป ถอนหายใจเบาๆ
ซูหมิงวิ่งเข้าไปด้านในชนเผ่า ตลอดทางที่ผ่านบ้านไม้โดยรอบ ผู้คนที่พบเห็นเขาก็มักจะตะโกนเรียกเขาว่าลาซูอย่างเป็นมิตร
ลาซูชื่อนี้ไม่ได้หมายถึงเพียงเขาเท่านั้น แต่หมายถึงชื่อเรียกรวมเด็กที่ยังไม่ได้ทำพิธีกรรมชี้นำหมานครั้งที่สอง
ไม่ไกลนัก ณ ด้านนอกกระโจมหนังสัตว์ของชนเผ่าหลังหนึ่ง
เด็กหญิงอายุราวห้าถึงหกขวบกำลังมองซูหมิง บนใบหน้าเยาว์วัยเผยรอยยิ้มบริสุทธิ์และงดงาม นางกอดสัตว์ตัวเล็กสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือไว้ตรงหน้าอก สัตว์ตัวนี้ดูท่าจะเชื่องเอามากๆ ลักษณะของมันคล้ายกับก้อนขนสีขาว
“พี่ลาซู ท่านหาของกินมาให้ผีผีหรือไม่” เด็กหญิงตัวน้อยเห็นซูหมิงก็หัวเราะเบาๆ
“ถงถง ให้เจ้า” ซูหมิงหัวเราะเสียงดัง จากนั้นวิ่งไปยังด้านหน้าของเด็กหญิงแล้วหยิบผลเจียง (ลูกเบอร์รี่) จากในอกเสื้อหลายลูกส่งให้เด็กหญิงไป ขณะที่นางหัวเราะเบิกบานใจ ซูหมิงก็เข้ามาถึงยังใจกลางของชนเผ่าแล้ว เห็นคนในเผ่าต่างล้อมรอบกองไฟกันเนืองแน่น โห่ร้องหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ด้านนอกกองไฟจัดเรียงราวไม้ทนไฟเอาไว้รอบๆ ด้านบนมีเนื้อชิ้นใหญ่หลายชิ้นถูกย่างจนขับน้ำมัน อีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมอย่างมาก
ในบริเวณนั้นมีเด็กสาวในเผ่าหลายคน เมื่อเห็นซูหมิงวิ่งมาต่างก็ยิ้มทักทายเขา สำหรับชนเผ่าแห่งนี้ ซูหมิงมีหน้าตาหล่อเหลาและยังมีรูปร่างแตกต่างกับคนในเผ่า แทบจะทุกคนเลยก็ว่าได้ที่สูงใหญ่กว่าเขา แม้แต่เด็กสาวพวกนี้ก็ไม่ละเว้น
ไม่ง่ายเลยกว่าจะเบียดตัวออกมาได้ มือหนึ่งถือเนื้อย่างที่ส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่ว กัดไปพลาง วิ่งทะยานสู่ด้านหน้าไปพลาง
ท่ามกลางฝูงชน เบื้องหน้าเห็นชายชราเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ได้สวมเสื้อหนังสัตว์ แต่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบกำลังนั่งอยู่ ศีรษะของชายชราท่านนี้ถักเปียเล็กๆ ไว้จำนวนมาก ดูแก่ชราทว่าดวงตาทั้งสองกลับงดงามดั่งเทพ ผู้อื่นได้สบตาเพียงหนึ่งครา เหมือนกับถูกดึงเข้าไปด้านใน
ตำแหน่งของเขาน่าจะสูงศักดิ์อย่างยิ่ง และกำลังกล่าวอะไรบางอย่างด้วยโทนเสียงเบา โดยรอบมีคนในเผ่าหลายคนโอบล้อม ฟังไปพลาง ผงกศีรษะไปพลาง สีหน้าดูเคารพยิ่งนัก
เห็นซูหมิงที่วิ่งเข้ามา ใบหน้าชายชราท่านนี้ก็เผยรอยยิ้มทันที พยักหน้าสื่อความหมายให้ซูหมิงนั่งลงข้างๆ ก่อนจะพูดคุยกับคนในเผ่าต่อ
คนในเผ่าหลายคนเห็นซูหมิงต่างก็ส่งยิ้มให้เช่นเดียวกัน
“เผ่าเขาทมิฬของเราแม้จะเป็นเผ่าขนาดเล็ก ทว่าก็ยังเป็นผู้สืบทอดเขาทมิฬโดยแท้ ครั้งนี้เป็นวันเกิดครบรอบหกสิบปีของจ้าวหมานแห่งเผ่าร่องลม อีกทั้งเรายังเคยเป็นพันธมิตรกับพวกเขาอยู่ช่วงหนึ่ง จะเสียมารยาทไม่ได้” ชายชรากล่าวขึ้นช้าๆ
“น่าเสียดายเมื่อหลายร้อยปีก่อนเผ่าเขาทมิฬของเราแตกพ่าย ตอนนี้เหลือเพียงสามสายเลือดเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วเผ่าของพวกเราคงได้เป็นเผ่าขนาดกลาง ตอนที่ปกครองแปดทิศโดยรอบ เผ่าร่องลมเองก็อยู่ภายใต้บริวาร ทว่าตอนนี้…เฮ้อ”
คนที่กล่าวเป็นชายอายุราวสี่สิบปี เขาเป็นจ้าวเผ่าเขาทมิฬ รูปร่างสูงใหญ่อัดแน่นไปด้วยพลังอันน่าตกตะลึง สร้อยกระดูกบนคอของเขาเป็นเขี้ยวที่มีความหนาเท่ากับนิ้วมือเก้าชิ้น โดยเฉพาะบนใบหน้าของเขา มีลวดลายเลือนรางไม่ชัดเจน ลักษณะของลายนั้นดูโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง ราวกับเทพปีศาจ เพียงแต่ว่ามันเลือนรางมาก เหมือนว่าจะไม่สามารถก่อตัวจนสมบูรณ์ได้
ซูหมิงมองดูลวดลายนั้น นัยน์ตาฉายแววนับถือ
ตำราหนังสัตว์ม้วนนั้นทำให้ซูหมิงได้ทราบว่า นั่นคือลวดลายแห่งหมานที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ในเผ่านี้ปัจจุบันยังไม่มีใครเลยที่สามารถวาดลวดลายแห่งหมานแล้วทำให้มันเกาะตัวได้
แม้แต่ท่านปู่เองก็ยังอยู่ในระดับขั้นพลังชั้นที่เก้าของการรวมโลหิตหมานเท่านั้น
ทว่าถึงอย่างนั้น มันก็ทำให้ท่านปู่กลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูงในหมู่ชนเผ่าจำนวนมากที่อยู่โดยรอบเขาทมิฬ คนที่สามารถเทียบเคียงได้ มีเพียงอีกสองสายเลือดที่แยกตัวออกจากชนเผ่าไปนานแล้วอย่างเผ่าภูผาดำและเผ่ามังกรทมิฬเท่านั้น
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว จะยกขึ้นมาให้ได้อะไร เผ่าที่ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับขั้นพลังชำระล้างคอยปกปัก ไม่มีทางเป็นเผ่าขนาดกลางได้หรอก ตอนนั้นบรรพบุรุษขั้นพลังชำระล้างสองท่านตายตกไป นั่นก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เผ่าแตกแยก ข้าฝึกฝนมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทะลวงขั้นรวมโลหิตลำดับชั้นที่เก้า ไปไม่ถึงลำดับสิบเสียที และหากทะลวงไม่ถึงจุดสูงสุดของลำดับชั้นที่สิบก็ไม่มีทางวาดลวดลายแห่งหมานที่สมบูรณ์ได้ จึงยากจะชำระล้าง…” ชายชราชุดถอนหายใจเบาๆ กล่าวขึ้นอย่างเชื่องช้า
“ช่างเถอะ พวกเจ้าลงไปได้แล้ว เตรียมของขวัญไว้ด้วย พรุ่งนี้..ซานเหิน เจ้าเป็นผู้นำกลุ่มล่าสัตว์เขาทมิฬ เช่นนั้นก็ให้เจ้านำกลุ่มออกเดินทางแล้วกัน”
ชายชรายืนขึ้น ปรายตามองชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างจ้าวเผ่าเขาทมิฬ ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินจากไป
ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเรียบเฉย พอได้ยินคำสั่งก็โค้งตัวขานรับทันที
ซูหมิงรีบเดินตามหลังท่านปู่ไป ผ่านจุดกองไฟที่ครึกครื้น ตลอดทางชายชราไม่ได้กล่าวอะไร เพียงเดินไปอย่างสุขุมเท่านั้น หลังจากเสียงโห่ร้องด้านหลังค่อยๆ เบาลง เขาก็เดินมาถึงเรือนไม้หลังหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
ขนาดเรือนหลังนี้ไม่ใหญ่มาก ด้านในค่อนข้างเรียบง่าย เมื่อเข้าไปแล้ว ชายชรานั่งขัดสมาธิลงด้านข้าง มองไปยังซูหมิงที่กำลังเดินเข้ามา
“ไปเก็บน้ำลายมังกรทมิฬมาอีกแล้วรึ?”
ยามนี้เขาอยู่กับชายชราเพียงลำพัง สำหรับท่านปู่ที่เลี้ยงดูตนมาตั้งแต่ยังเล็กท่านนี้ ซูหมิงให้ความเคารพอย่างมาก เขาวางตะกร้าสานที่แบกอยู่ด้านหลังลง แล้วหยิบขวดใบเล็กส่งให้ชายชรา
“ด้วยความปราดเปรียวของเจ้า มังกรทมิฬพวกนั้นคงทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ว่าเจ้าอย่าไปให้บ่อยจะดีที่สุด…
ถึงอย่างไรที่นั่นก็เป็นเขตของเผ่ามังกรทมิฬกับเผ่าภูผาดำ น้ำลายมังกรทมิฬนี้มันไม่มีประโยชน์สำหรับข้า เจ้าเก็บเอาไว้ใช้บำรุงร่างกายตัวเองให้ดีเถิด” ชายชรามองมองซูหมิง สีหน้าแฝงไว้ด้วยความเมตตา
ซูหมิงพยักหน้า เก็บขวดเล็กนั้นกลับไป หลายปีมานี้เขาดื่มมันไปเป็นจำนวนมากแล้ว และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขามีร่างกายที่ว่องไวเช่นนี้
หลายปีมานี้ ท่านปู่มักจะตุ๋นยาให้เขาดื่มอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่มีกายหมานที่ใช้ฝึกพลังหมาน ทว่าเขากลับแข็งแกร่งกว่าคนในเผ่าทั่วไปอยู่มาก
“เหลืออีกสามวันก็จะเป็นวันทำพิธีชี้นำหมานของลาซูรุ่นนี้ ปู่จำได้ว่าเจ้าก็อายุครบสิบหกปีแล้ว…ถึงเวลาต้องไปคารวะเทวรูปแห่งหมาน” ชายชรามองซูหมิง กล่าวขึ้นช้าๆ
“เทวรูปแห่งหมานประจำเผ่าเขาทมิฬของเรา ตกทอดมาจากเผ่าเขาทมิฬที่แท้จริงในตอนนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่เทวรูปหลัก และยังไม่อาจนำไปเปรียบกับเทวรูปแห่งหมานของเผ่าขนาดกลางได้ แต่ว่าหากเทียบกับละแวกใกล้เคียงแล้ว กลับยิ่งใหญ่จนเปรียบมิได้”
ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับ
“สองสามวันนี้เจ้าอย่าเพิ่งออกไปข้างนอก พักผ่อนเอาแรงเสีย สามวันหลังจากนี้จะต้องไปเข้าพิธีชี้นำหมานกับพวกเขา”
ชายชรากล่าวพร้อมกับปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ
ซูหมิงยืนอยู่นาน ก่อนหิ้วตะกร้าสานจากไปอย่างเงียบๆ เดินไปได้ไม่ไกลก็เป็นเรือนของเขาเอง
เขาไม่มีวันลืมเลือน ตอนเจ็ดขวบเขาเคยเดินเวียนรอบเทวรูปแห่งหมานพร้อมกันกับเด็กรุ่นเดียวกันในเผ่า นั่นเป็นภาพเหตุการณ์ของการทำพิธีชี้นำหมานครั้งแรก
เกิดเป็นคนของเผ่าหมาน ทั้งชีวิตจะต้องเข้าพิธีชี้นำยกระดับความรู้สองครั้งด้วยกัน นั่นก็คือการชี้นำหมาน ครั้งแรกตอนเจ็ดขวบ และอีกครั้งคือตอนอายุสิบหก
ในขณะเดียวกันนั้น ท่านปู่ของชนเผ่าก็จะยืมพลังของเทวรูปหมานเพื่อเลือกคนที่มีกายหมานออกมา
ซูหมิงถอนหายใจเบาๆ ในใจอัดแน่นไปด้วยความขมขื่น เขาปรารถนาจะฝึกฝนพลังหมานเพื่อเป็นนักรบแห่งหมาน ทุกคำบรรยายในตำราหนังสัตว์ทำให้เขาหมกมุ่นมาตั้งแต่เล็ก เพียงแต่ความจริงอันโหดร้ายบังเกิดขึ้น ตอนเจ็ดขวบในขณะที่เขากำลังคารวะเทวรูปแห่งหมาน ความจริงอันแจ่มแจ้งก็ปรากฏขึ้น เขาไม่มีกายหมาน ไม่มีคุณสมบัติของการฝึกพลังหมาน
หมานเป็นรากฐานของโลก มีเพียงนักรบแห่งหมานเท่านั้นที่จะสามารถเย้ยสวรรค์ทั้งเก้า และเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง!
จากตำราหนังสัตว์ ซูหมิงในวัยเยาว์ได้ทราบแล้วว่า บนโลกใบนี้มีชนเผ่าอยู่จำนวนมาก มีทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทุกเผ่าต่างก็มีเทวรูปที่ไม่เหมือนกัน มันเป็นดั่งรากฐานของชนเผ่านั้นๆ และก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้คนรุ่นหลังได้กลายเป็นหมานอีกด้วย
หลังจากตระหนักรู้ในเทวรูปแห่งหมานแล้ว หากได้รับการตอบรับ
นั่นหมายความว่าได้รับการสืบทอดพลังแห่งหมาน ไม่จำเป็นต้องมีคนสอน สามารถฝึกฝนได้ด้วยตนเอง ทว่าหากตอนอายุเจ็ดขวบและสิบหกปีล้มเหลว นั่นก็แสดงว่าทุกอย่างจะไม่มีทางแก้ไขได้ ในใจของซูหมิงลังเลมาโดยตลอด ยังไม่เห็นคำตอบเขาก็ยังคงเฝ้ารอ ทว่าตอนนี้เหลือเวลาเพียงสามวันก็จะเป็นการเข้าฌานครั้งสุดท้าย เขากลับหวาดกลัวขึ้นมา
“ครั้งนี้…จะสำเร็จหรือไม่…” ซูหมิงเดินกลับไปยังห้องของตนอย่างเงียบๆ นั่งลงด้านข้างแล้วเริ่มเหม่อลอย