Skip to content

สู่วิถีอสุรา 272

ตอนที่ 272 การแข่งขัน

“การสร้างของเจ้า?” เทียนเสียจื่อหมุนตัวกลับ แววตาเป็นประกายวาว

มองซูหมิงที่แม้เหนื่อยล้าแต่แววตากลับสงบนิ่งเหมือนน้ำ เขามองศิษย์คนที่สี่ของตัวเองพลางรอคอยคำตอบ

“อาจารย์ นี่คือการสร้างของข้า” ซูหมิงมองไปทางชนเผ่าเชมันกิ้งก่าก่อนกล่าวเรียบๆ

“การสร้างของศิษย์พี่ใหญ่ ข้าเข้าใจไม่มาก ทว่าเห็นเขาฝึกฝนหล่อหลอมเพลิงน้ำแข็ง น้ำแข็งคือความหนาว เพลิงคือความร้อน เหมือนสองขั้วที่ต่างกัน การหล่อหลอมแบบนี้ไม่ตรงกับหลักความเป็นจริง จึงยากจะเข้าใจได้ แต่การเอาสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์มารวมกัน หากทำสำเร็จจิตใจจะสงบ นี่คือการสร้างของศิษย์พี่ใหญ่”

ซูหมิงละสายตากลับจากเผ่าเชมันกิ้งก่ามามองเทียนเสียจื่อ

เทียนเสียจื่อเงียบไปครู่หนึ่ง มองตาซูหมิง

“การสร้างของศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าคือการสร้างเสียงอึกทึก”

“เสียงอึกทึกเป็นเสียงดัง การปิดด่านฝึกพลังคือความเงียบ สองขั้วที่แตกต่างมารวมกัน ฝึนฝนคือน้ำแข็ง เสียงดังคือเพลิง สองอย่างเหมือนกัน”

ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“ส่วนศิษย์พี่รอง เขามีสองมือแห่งการสร้าง กลางวันสร้างชีวิตของพืชดอก ยามกลางคืนถอนรากพวกมัน เหมือนกับทำลายชีวิต…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เสียงดังสะท้อนในป่าทึบ

“สองขั้วต่างกันนี้ไม่ตรงตามหลักความเป็นจริงเช่นกัน สร้างและทำลาย เหมือนความเป็นกับความตาย การสร้างของศิษย์พี่รองคือการหลอมรวมระหว่างความเป็นและความตาย ผสานกันระหว่างการสร้างและทำลาย”

เทียนเสียจื่อมีสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับสั่นไหว ไม่คิดเลยว่าซูหมิงอยู่ยอดเขาลำดับเก้าไม่นานนัก กลับสังเกตและเข้าใจถึงเพียงนี้

“พูดต่อไป!” เทียนเสียจื่อกล่าวช้าๆ

“ศิษย์พี่สาม เขาก็ฝึกฝนสองขั้วเช่นกัน เป็นความคิดที่ไม่ตรงกับหลักความเป็นจริง คือการหล่อหลอมระหว่างจริงกับปลอม จริงคือสภาพความเป็นจริง ปลอมคือความฝันของเขา

ความเป็นจริงกับความฝัน เมื่อลองหล่อหลอมโดยการเมาสุราและเข้าฝัน วนเวียนอยู่ระหว่างตื่นกับฝัน หากวันหนึ่งตื่นขึ้นมาอย่างแท้จริง…การสร้างของเขาจะสำเร็จ”

“อาจารย์ ศิษย์พูดถูกหรือไม่” ซูหมิงมองเทียนเสียจื่ออีกครั้ง ก่อนกล่าวเบาๆ

“นี่เป็นเส้นทางที่ศิษย์พี่ทั้งสามของเจ้าต้องเดินจริงๆ” แววตาเทียนเสียจื่อเผยความชื่นชมพลางพยักหน้า

“ไม่ใช่” น้ำเสียงซูหมิงเบาและอ่อนแรง แต่กลับแน่วแน่อย่างยิ่ง

“นี่คือเส้นทางที่อาจารย์ให้พวกเขาเดิน…” ซูหมิงส่ายศีรษะ

“เพราะไม่มีใครเข้าใจ เพราะต้องหล่อหลอมสองขั้วที่แตกต่าง ดังนั้นในสายตาคนอื่น คนยอดเขาลำดับเก้าจึงเป็นตัวประหลาด ศิษย์พี่ใหญ่ปิดด่านฝึกฝนตลอดทั้งปียังไม่เท่าไร เพราะออกไปข้างนอกน้อยมากจึงไม่ค่อยมีคนรู้จัก

ศิษย์พี่รองปลูกพืชดอกยามกลางวันและทำลายยามกลางคืน พฤติกรรมแบบนี้ใช้คำว่าประหลาดมาอธิบายไม่ได้แล้ว

ศิษย์พี่สามเมาสุราแล้วหลับฝัน มักจะพึมพำพาคนอื่นเข้าฝัน พอคนที่ไม่เข้าใจได้ยินเข้าก็จะคิดว่าเป็นคนเสียสติ

เรื่องแบบนี้เพราะมันไม่ตรงกับหลักความเป็นจริง เพราะต่างจากคนรอบข้าง เพราะไม่มีใครเข้าใจ มันถึงกลายเป็นที่ชื่นชมในสายตาของอาจารย์ และกลายเป็นคำว่าเสีย (ชั่วร้าย) ในชื่อของอาจารย์ เทียนเสียจื่อ!”

ซูหมิงกล่าวถึงตรงนี้ ชะงักไปครู่หนึ่ง

เทียนเสียจื่อเงียบงัน

“อาจารย์ นี่คือเส้นทางของท่าน…มิใช่ของข้า” ศิษย์และอาจารย์เงียบอยู่ในป่าทึบครู่หนึ่ง ซูหมิงกล่าวเบาๆ

“เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าแสวงหาคืออะไร?” เทียนเสียจื่อเพ่งมองซูหมิง แววตาซับซ้อน

“ข้าไม่รู้…..” ซูหมิงส่ายศีรษะ มองท้องฟ้าด้านหลังชนเผ่าเชมันกิ้งก่าอีกครั้ง

“หากมีจริงๆ ข้าคิดว่าน่าจะเป็น…ลืมตา” ซูหมิงหลับตาลง

“ลืมตาเพื่อมองอะไร?” เทียนเสียจื่อมองซูหมิง ความซับซ้อนในแววตาเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เขามองซูหมิงเหมือนเห็นตัวเองในอดีตตอนที่เผชิญหน้ากับอาจารย์ แม้คำพูดต่างกัน กลับมีสีหน้าเหมือนกัน

“บางทีอาจเพื่อมองโลกที่คนอื่นมองไม่เห็น” ซูหมิงลืมตา ในแววตามีเส้นประกายแสง ในประกายแสงมีความยึดมั่นแน่วแน่และแสวงหา

“มองโลกที่คนอื่นมองไม่เห็น เพื่ออะไร?” เทียนเสียจื่อกล่าวอย่างสงบนิ่ง น้ำเสียงเขาแฝงไว้ด้วยความประหลาดใจ ดังก้องกังวานโดยรอบ

ซูหมิงเงียบ มองเทียนเสียจื่ออยู่นาน

“เพื่อมองตัวข้า…ตัวข้าที่แท้จริง!” ซูหมิงพึมพำเบาๆ

เทียนเสียจื่อเผยยิ้มบาง รอยยิ้มนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดังขึ้นฟ้า เสียงหัวเราะกึกก้องป่าทึบ ลอยล่องเข้าสู่สวรรค์เก้าชั้น

“ดี สิ่งที่เจ้าแสวงหามิใช่คำว่าเสียของอาจารย์ เจ้าอยากลืมตาเพื่อมองโลกที่คนอื่นมองไม่เห็น ก็เท่ากับว่าเมื่อทุกคนบนโลกหลับ เจ้าจะตื่นเพียงผู้เดียว!

นี่มิใช่เสีย นี่คือโลกที่เหยียบย่ำอยู่เหนือเสีย นี่คือ…ชีวิตที่ข้าไม่รู้นาม! ซูหมิง หากเจ้ามีวันนั้นจริงๆ เจ้าต้องเตรียมใจให้ดี บางทีเจ้าอาจจะมิได้อยู่ในโลกที่ลุ่มหลง! เพราะว่า…เจ้าตื่นอยู่!”

ซูหมิงตัวสั่น มองเทียนเสียจื่อพลางพยักหน้า

“ไปกันเถอะ อาจารย์จะพาเจ้ากลับบ้าน…” เทียนเสียจื่อตบบ่าซูหมิง สะบัดแขนเสื้อ ลมพายุคลั่งพัดเข้ามาม้วนตัวอาจารย์และศิษย์ลอยขึ้นฟ้า แล้วหายไปกับท้องฟ้ากว้างใหญ่ของเผ่าเชมัน

“ทว่าก่อนกลับบ้าน ข้าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง เมื่อเจ้าเห็นแล้วจะเข้าใจความแค้นระหว่างเผ่าหมานกับเผ่าเชมันมากขึ้น…และเพื่อให้เจ้าลืมตาเห็นโลกที่กว้างใหญ่ขึ้น จะได้เตรียมตัวไว้” เสียงของเทียนเสียจื่อดังก้องฟ้า ก่อนค่อยๆ เลือนหาย

ในกำแพงหมอกนภา ณ ชายแดนแผ่นดินเผ่าหมาน ระหว่างเทือกเขาสลับสูงต่ำแห่งหนึ่ง บนท้องฟ้าบิดเบี้ยว เทียนเสียจื่อกับซูหมิงเดินออกมาจากระลอกคลื่นนั้น

“ดูแผ่นดินตรงนี้ให้ดี แล้วบอกข้า เจ้าเห็นอะไร” เทียนเสียจื่อมองเทือกเขาด้านล่าง น้ำเสียงดังเข้าหูซูหมิง

ซูหมิงยังมีสีหน้าเหนื่อยล้า ทว่าก็ระงับบาดแผลเอาไว้แล้ว เขามองตามคำของเทียนเสียจื่อ เทือกเขาแถบนี้หากมองแวบแรกคงไม่เห็นความต่างอะไร อาจจะมีสายลมพัดผ่านเล็กน้อย เทือกเขาหัวโล้น ไม่มีพืชขึ้นแม้แต่นิด

ซูหมิงขมวดคิ้ว ทะยานตัวลงมายืนบนภูเขาหัวโล้น นั่งยองลงหยิบดินทรายบนภูเขาวางไว้ตรงขอบปาก ทันใดนั้นนัยน์ตาเขาวาววับ

“มีกลิ่นคาวเลือดจางๆ…” ซูหมิงเงยหน้ามองไปรอบตัวแวบหนึ่ง ช่วงที่เขากวาดสายตามองพลันหยุดอยู่ที่หนึ่ง

ตรงนั้นเป็นที่ราบระหว่างภูเขา เงียบสงัด ดินทรายบนพื้นมีความรู้สึกอ้างว้าง

ซูหมิงเดินมาถึงที่ราบระหว่างภูเขาพร้อมความสงสัย สีหน้าเริ่มเคร่งทีละน้อย เขาใช้มือขวากดอากาศระหว่างแผ่นดิน พลันมีสายลมหอบใหญ่พัดเข้ามา ม้วนดินทรายโดยรอบกลายเป็นน้ำวน ก่อนแผ่กระจายออกรอบด้าน เปิดดินทรายบนพื้นหลายชั้นออก

ใต้ดินทรายเป็นเสาไม้ผุพังเล็กน้อย และยังมีชามหินแตกร้าว และมี…กระดูกมนุษย์ที่ผ่านกาลเวลามาจนกลายเป็นสีน้ำตาล

ซากกระดูกกองเต็มพื้น…

ซูหมิงกวาดสายตามองซากกระดูกรอบด้านเหล่านั้น บ้างก็ค่อนข้างเล็ก บ้างก็หนาใหญ่ จนกระทั่งสายตาซูหมิงหยุดอยู่ที่กระดูกค่อนข้างสมบูรณ์

มันเป็นกระดูกของเด็ก มีแค่ท่อนบนและผุพังไม่น้อยแล้ว ในกระดูกของเด็ก เหมือนว่าก่อนตายกำอะไรเอาไว้ ทว่าตอนนี้กลับหายไป

ซูหมิงตัวสั่นเทิ้ม เขาเงยหน้ามองเทียนเสียจื่อบนท้องฟ้า

“ที่นี่เคยเป็นชนเผ่าแห่งหนึ่ง…”

“จัดเป็นชนเผ่าขนาดเล็กที่ค่อนข้างใหญ่ มีคนราวเจ็ดร้อยคน ในนั้นมีนักรบหมานไม่ถึงสี่สิบ คนที่เหลือเป็นชาวเผ่าธรรมดาหรือไม่ก็เด็ก สามร้อยปีก่อนกำแพงหมอกนภาถูกข้าศึกตีแตก มีชาวเผ่าเชมันมันบางส่วนเข้ามาในแดนเผ่าหมาน ชนเผ่านี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ถูกพวกมันสังหาร บุรุษสตรีชราและเด็กล้วนถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด!”

ซูหมิงก้มหน้ามองกระดูกเด็กน้อยอย่างเงียบงัน

“จากตรงนี้ไปทางตะวันออก ตลอดทางเจ้าจะเห็นชนเผ่าถูกทำลายเช่นนี้ มีมากกว่าสี่สิบชนเผ่า…ตรงนี้มีชนเผ่าที่ถูกเข่นฆ่าเมื่อสามร้อยปีก่อน และยังมีที่นานกว่านั้น”

ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าว ด้วยความเร็วของเขาจึงพุ่งทะยานไปทางทิศตะวันออกในชั่วพริบตา เทียนเสียจื่อตามอยู่ด้านหลัง เงียบตลอดทาง เขาเห็นซูหมิงห้อเหยียดผ่านซากชนเผ่าไปหลายแห่ง

เวลาผ่านไป ทุกซากชนเผ่าที่ซูหมิงผ่าน เขาจะมีสีหน้าทะมึนทึบมากขึ้นไม่น้อย หลังจากเดินทางมาตลอดทั้งวันแล้ว ซูหมิงก็มายืนอยู่บนที่ราบแห่งหนึ่ง เมฆดำอัดแน่นบนท้องฟ้า เขายืนอยู่ตรงนั้น ใต้เท้าเป็นหญ้าสีเขียวอุดมสมบูรณ์ ทว่ากลับไม่อาจปกปิดการสังหารและกลิ่นคาวเลือดที่เคยเกิดขึ้นตรงนี้

“นี่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น…” เทียนเสียจื่อเดินมาอยู่ข้างซูหมิง กล่าวอย่างสงบนิ่ง

“ในกำแพงหมอกนภาของแดนอรุณใต้ มีชนเผ่าที่ถูกฆ่าล้างสังหารแบบนี้อีกเยอะนัก หลายพันปีมานี้จึงกลายเป็นความแค้นระหว่างชนเผ่า หากไม่ตายก็ไม่ยอมเลิกรา…”

“เผ่าเชมัน…แข็งแกร่งมาก” ซูหมิงหลับตา ผ่านไปนานจึงกล่าวเสียงเบา

“มันคือความจริง” เทียนเสียจื่อหันไปมองทอดไกล

“เช่นนั้นสงครามหมอกนภาล่าเชมัน…” ซูหมิงลังเลครู่หนึ่ง

“ในเผ่าเชมัน พวกเขาก็มีการล่าหมานทุกๆ สิบปีเหมือนกัน” เทียนเสียจื่อตอบอยู่ด้านข้าง

ซูหมิงหรี่ตาลง คำสองคำง่ายๆ นี้แฝงไว้ด้วยกลิ่นคาวเลือด ไม่ใช่สิ่งที่สังหารสิบ สังหารร้อย สังหารพันหรือหมื่นคนจะมาแทนที่ได้ มันคือการสังหารที่แฝงไว้ด้วยกาลเวลา ในสองคำนี้ทำให้คนที่คิดที่ฟังอยู่ต้องรู้สึกถึงความชั่วร้าย

“ทั้งสองฝ่ายนัดหมายกันแล้วว่าจะสังหารกันทุกๆ สิบปี…” นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย มองเทียนเสียจื่อ

เทียนเสียจื่อมองซูหมิงอยู่นานก่อนพยักหน้า

“มันเป็นการแข่งขัน”

“การแข่งขัน?” ซูหมิงมองที่ราบใต้เท้าพลางหัวเราะ

“การแข่งขันของทั้งสองฝ่าย เหตุที่คงอยู่มาหลายพันปีจนถึงวันนี้ก็เพราะต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายของตัวเอง ส่วนเป้าหมายอะไรนั้น เจ้าต้องไปหาคำตอบเอาเอง ตอนนี้บอกข้ามา…เจ้าจะยังเข้าร่วมสงครามล่าเชมันอยู่อีกหรือไม่?”

เทียนเสียจื่อหมุนตัวกลับ เดินขึ้นฟ้าไป

ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนหมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งมายืนข้างอาจารย์ที่กำลังรออยู่กลางอากาศ

“ข้าจะเข้าร่วม…จะเข้าร่วมการแข่งขันในสายตาคนอื่นด้วยฐานะคนแดนอรุณใต้”

ซูหมิงกล่าวอย่างสงบ แล้วกลายเป็นสายรุ้งยาวมุ่งหน้าไปทางสำนักเหมันต์สวรรค์พร้อมกับเทียนเสียจื่อ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version