ตอนที่ 300 ซู่ 1
ทางเหนือของชนเผ่า บนพื้นหิมะค่อนข้างโล่ง
ในกระโจมหนังของซูหมิง เขานั่งขัดสมาธิอยู่กลางหนังสัตว์ที่ปูบนหิมะ หนังสัตว์นี้กันความหนาวจากหิมะได้ จึงไม่รู้สึกหนาวมากนักเมื่อนั่งอยู่ด้านบน
ภายในกระโจมยังมีกระถางเพลิงส่องสว่างสีแดง ความร้อนของมันกระจายสู่ด้านนอก จึงทำให้หิมะบนพื้นละลายอย่างรวดเร็ว เมื่อละลายหมดแล้ว ภายในกระโจมหนังจึงอบอวลไปด้วยความอุ่น
เสียงเผาไหม้ในกระถางเพลิงดังเปาะแปะสู่ภายนอก โดยรอบเงียบสงัดยิ่งนัก ขณะซูหมิงนั่งขัดสมาธิ นัยน์ตาเขาขยับประกาย ยิ้มเยาะมุมปาก
เขาตั้งใจให้ภูตผีหุ่นเชิดพังลง ทำให้ตัวเขาเหมือนภูเขากระแทกบนพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น ใช้วิธีแบบนี้เพื่อให้คนสำนักทะเลตะวันออกตะลึง ฉะนั้นจึงมิกล้าดูแคลน แล้วเปลี่ยนเป็นที่พักตรงนี้ให้
ทำแบบนี้มิใช่ว่าซูหมิงใจแคบ อยากจะคิดเล็กคิดน้อยกับอีกฝ่าย แต่ยามนี้เขาออกมาข้างนอก ไม่ได้เป็นตัวแทนเพียงแค่ตัวเองแล้ว อีกทั้งก่อนบอกชื่อ เขาจะบอกว่าอยู่ยอดเขาลำดับเก้าเสมอ
เขาคือคนยอดเขาลำดับเก้า ศักดิ์ศรีของเขาก็คือศักดิ์ศรีของยอดเขาลำดับเก้า หากเขาอยู่กลางชนเผ่าที่เสียงดังและแออัดเช่นนั้นจริงๆ คนอื่นจะดูถูกยอดเขาลำดับเก้าเอาได้
จุดนี้ซูหมิงไม่มีวันยอมรับ โดยเฉพาะในเขตของสำนักเหมันต์สวรรค์นี้ การใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ เกินไปไม่มีความจำเป็นมากนักจริงๆ
อีกทั้งที่ซูหมิงทำเช่นนี้ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุ นั่นคือต้องการสร้างความตื่นกลัวให้กับคนที่มีเจตนาร้ายต่อเขา โดยเฉพาะ…ซือหม่าซิ่น และยังมีเทียนหลันเมิ่ง!
ตั้งแต่ได้รับบัตรเชิญ ซูหมิงก็เงียบไปหลายวันจนเข้าใจเรื่องนี้แจ่มแจ้ง นั่นก็เพราะประสบการณ์ของตน เขาจึงยังไม่มีสติปัญญาเทียบเท่าปีศาจ ทว่าหากหนึ่งชั่วยามยังไม่เข้าใจก็สองชั่วยาม สองชั่วยามยังไม่เข้าใจอีกก็หนึ่งวัน หลายวันมานี้เขาจึงเข้าใจเรื่องนี้อย่างแจ่มชัด
การที่ซูหมิงได้รับบัตรเชิญอาจไม่เกี่ยวกับซือหม่าซิ่นมากนัก
ซูหมิงไม่คิดว่าซือหม่าซิ่นมีอะไรที่สำนักทะเลตะวันออกต้องช่วย
อีกอย่าง บัตรเชิญนี้เชิญคนยอดเขาลำดับเก้าเข้าร่วมงานประมูล ขณะตรึกตรอง เขาก็รู้สึกว่าในนั้นน่าจะมีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง
ทว่า ในเมื่อยอดเขาลำดับเก้าได้รับบัตรเชิญ เช่นนั้นด้วยชื่อเสียงของซือหม่าซิ่น เขาต้องเข้าร่วมงานประมูลครั้งนี้แน่นอน พวกเทียนหลันเมิ่งก็ต้องมาด้วยแน่
ฉะนั้นซูหมิงจึงเลิกทำตัวเรียบๆ ช่วงที่เหยียบเข้ามาในเผ่าที่จัดงานประมูลแห่งนี้ ก็ใช้วิธีของเขาบอกกับทุกคนว่า เขาซูหมิงแห่งยอดเขาลำดับเก้ามาแล้ว!
เหตุที่สร้างความตื่นกลัวให้ซือหม่าซิ่น ก็เพื่อให้ซือหม่าซิ่นไม่ผลีผลามลงมือ
ซูหมิงไม่อยากประมือกับซือหม่าซิ่นที่นี่ เขาสนใจสงครามหมอกนภาล่าเชมันมากกว่า
ทว่าหากซือหม่าซิ่นไม่รู้จักแยกแยะถูกผิด หลังจากซูหมิงกระทำการก่อนหน้านี้แล้ว จึงกล่าวประโยคหนึ่งออกไป
‘ขออภัย…’
ส่วนเทียนหลันเมิ่ง ซูหมิงก็สร้างความตื่นกลัวให้นางเช่นกัน แต่เป้าหมายของนางกับซือหม่าซิ่นต่างกันโดยสิ้นเชิง เทียนหลันเมิ่งมีความต้องการจากตัวเขา ฉะนั้นยิ่งซูหมิงแสดงพลังที่แข็งแกร่งมากเท่าไร ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจะยิ่งซับซ้อน
เมื่อเป็นเช่นนั้นสตรีผู้นี้ก็จะเป็นพันธมิตรชั่วคราว ในงานประมูลครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอันตรายหรือการซื้อของ นางจะเป็นตัวช่วยซูหมิงอย่างมาก
‘ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีเหรียญหินมากนัก…’ ซูหมิงลูบคาง ใบหน้าเผยรอยยิ้มบาง ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่า ช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตบนยอดเขาลำดับเก้าทำให้นิสัยเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นการวางแผน ก่อนมาสำนักเหมันต์สวรรค์ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงนึกไม่ถึงจุดนี้
อย่างเช่นของที่ ‘ทำหาย’ ในเผ่าแดนภูต ก็เป็นสิ่งที่ซูหมิงในอดีตไม่อาจคิดได้ ทุกอย่างนี้ศิษย์พี่รอง หู่จื่อ…เทียนเสียจื่อค่อยๆ เปลี่ยนมันตอนเขาอยู่ยอดเขาลำดับเก้า
ขณะซูหมิงขบคิดก็พลันเงยหน้า กระถางเพลิงในกระโจมแผ่ความอบอุ่น บนพื้นไม่มีหิมะอีก บนหนังสัตว์ก็ถูกอบจนอุ่นเช่นกัน เทียบกับพื้นหิมะนอกกระโจมแล้วราวกับสองโลก
ซูหมิงเงยหน้าไม่นาน ก็มีเสียงเคาะกระโจมดังเข้ามา ตามด้วยเสียงของจื่อเชอ
“อาจารย์อา สำนักทะเลตะวันออกส่งสมุดภาพงานประมูลมาแล้ว”
ซูหมิงสะบัดมือขวา ประตูหนังของกระโจมพลันเปิดขึ้น ลมหนาวลากยาวเข้ามาจากด้านนอก ตอนนี้ด้านนอกเป็นยามค่ำคืน ทว่ามีหิมะบนพื้นเสริมให้สว่างจึงไม่มืดทึบ โดยเฉพาะยามนี้ที่มีเกล็ดหิมะลอยล่องในลมหนาว
ด้านนอกหิมะตกแล้ว
จื่อเชอยืนอยู่หน้าประตูอย่างนอบน้อม เส้นผมเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ เขาสวมชุดคลุมยาว มือถือสมุดภาพงานประมูลที่เข้าเล่มด้วยหนังสัตว์หนา
เมื่อประตูกระโจมเปิดขึ้นแล้ว จื่อเชอเดินเข้ามา
วางสมุดภาพในมือตรงหน้าซูหมิงอย่างนอบน้อม ก่อนถอยหลังไปหลายก้าว เห็นซูหมิงไม่มีคำสั่งจึงเตรียมจะออกไปข้างนอก
“ข้างนอกมันหนาว เดิมทีควรจะให้เจ้าเข้ามาในกระโจมเพื่อความอบอุ่น แต่เจ้าฝึกฝนวิชาเกี่ยวกับความหนาว สภาพอากาศแบบนี้เหมาะกับการฝึกฝนของเจ้ามากกว่า ข้าเห็นเจ้าฝึกฝนมานานแล้ว รู้สึกว่ายังขาดอะไรไปบางอย่าง ข้าแนะนำว่าเจ้าลองฟัง…เสียงของหิมะ” ซูหมิงไม่เงยหน้า แต่เปิดสมุดภาพหนังสัตว์พลางกล่าวอย่างสงบนิ่ง
จื่อเชอหยุดชะงัก ยืนอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง เขาเหมือนเข้าใจแล้วจึงคำนับซูหมิง ก่อนออกจากกระโจมหนัง
ซูหมิงเปิดสมุดภาพหนังสัตว์ ทุกหลายหน้าที่เปิดผ่าน นัยน์ตาเขาจะเป็นประกาย บนหนังสัตว์หน้านี้ที่เขามองอยู่เป็นภาพหม้อใบหนึ่ง บนหม้อมีควันหลายเส้น
“หม้อฮวงไร้นาม…” ซูหมิงพึมพำ สี่คำนี้เขียนอยู่บนหนังสัตว์หน้านี้
“เพราะยอดหม้อฮวงเป็นของราชวงศ์ต้าอวี๋ ฉะนั้นจึงใช้หม้อนี้เป็นสัญลักษณ์ เป็นของหายากและมีพลังทรงอานุภาพ หม้อใบนี้ได้มาจากชนเผ่าแห่งหนึ่งในแผ่นดินเชมัน เป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่า จากนั้นมีคนนำกลับมาเผ่าหมาน และมอบให้สำนักทะเลตะวันออก” ข้างชื่อหม้อใบนี้มีตัวอักษรเล็กๆ หนึ่งแถวอธิบายประวัติหม้อนี้อย่างง่ายๆ
ส่วนการใช้งานโดยละเอียดไม่ได้บอกเอาไว้
หลังจากเพ่งมองหม้อใบนี้อยู่พักหนึ่ง ซูหมิงก็พลิกไปยังสองสามหน้าที่เหลือ เป้าหมายหลักของเขาคือหม้อใบนั้น ฉะนั้นสิ่งอื่นจึงไม่สำคัญเท่าไร โดยเฉพาะสมุดภาพเล่มนี้ยังมิใช่ของทั้งหมดในงานประมูล ยังมีบางส่วนที่บันทึกไม่ทัน
ตอนที่พลิกมาจนถึงหน้าสุดท้าย ช่วงที่มองไป สายตาพลันเพ่งมอง หยิบหนังสัตว์หน้านี้ขึ้นมาดูอย่างละเอียด ยิ่งมองแววตายิ่งเป็นประกาย
“สิ่งนี้…” นัยน์ตาซูหมิงวูบไหว เขาแทบจะมั่นใจได้เลยว่าสิ่งนี้เป็นของที่เขาคิดอยู่ในสมอง!
มันคือหินภูเขาสูงราวเท่าคน ไม่มีสี เป็นวัตถุโปร่งใส ทว่าภายในหินภูเขาก้อนนี้กลับมีวัตถุลักษณะคนสีดำทึบ เหมือนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่
วัตถุลักษณะคนนี้ดูสมจริงยิ่งนัก มีสองมือสองขา มีห้านิ้วมือ ศีรษะเป็นต้นครบถ้วน
ซูหมิงจ้องสองมือที่วางบนหน้าตักของวัตถุลักษณะคนเขม็ง ภาพนี้ดูหยาบเล็กน้อยจึงมองเห็นไม่ชัดเท่าไรนัก อีกทั้งปลีกย่อยยังไม่ถูกต้อง
“น่าจะเป็นสิ่งนี้!” ซูหมิงพึมพำ ในวัตถุดิบโอสถมอบจิต ตอนนี้เขามีขาที่เก้าของแมงมุมเก้าขาแล้ว ยังขาดอีกสองชนิด หากเป็นหนึ่งในวัตถุดิบจริงๆ เช่นนั้นก็ขาดเพียงเกล็ดหางงูเหลือม
ลักษณะของเกล็ดหางนี้ ซูหมิงจำได้ว่ามันต่างจากเกล็ดงูเหลือมธรรมดามาก ลักษณะของมันมีสามเขา
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากคนแคระในหินภูเขาเป็นสิ่งที่ซูหมิงต้องการ เช่นนั้นสำหรับเขาแล้วมันก็สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงประตูในมิติพิลึกของโอสถมอบจิต มันเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ต้องการเม็ดโอสถเพื่อเซ่นไหว้
ยิ่งเป็นเช่นนั้น ก็ยิ่งอธิบายได้ถึงระดับความยากในการหลอม ขณะเดียวกันเมื่อยิ่งเป็นเช่นนั้น ก็ยิ่งอธิบายถึงอานุภาพของมันในระดับปาฏิหาริย์ กระทั่งมากกว่าโอสถชิงวิญญาณ!
ซูหมิงมองหนังสัตว์ ค่อยๆ ปิดมัน
‘งานประมูลในครั้งนี้น่าสนใจมาก…..’ ซูหมิงคลึงระหว่างคิ้วพลางขบคิด
เวลาผ่านไป ขณะซูหมิงกำลังครุ่นคิด ประตูกระโจมหนังถูกคนเปิดออก ทำให้ลมหนาวพัดผ่านเข้ามา ซูหมิงไม่ต้องเงยหน้าก็รู้ คนที่จื่อเชอไม่ห้ามมีเพียงคนเดียว
“ซูหมิง ข้านอนไม่หลับ” ไป๋ซู่สวมเสื้อหนังสีขาว เส้นผมตกลงมา หาววอดเดินมาอยู่ข้างซูหมิง
ซูหมิงไม่สนใจไป๋ซู่ ยังคงหรี่ม่านตา นึกถึงเรื่องงานประมูล
“ซูหมิง เจ้ามันคนหูหนวก เจ้ามันคนใบ้ เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ข้านอนไม่หลับ เจ้าต้องคุยกับข้า มิเช่นนั้นเจ้าก็อย่าหวังจะได้อยู่อย่างสงบสุข” ไป๋ซู่ถลึงตามอง เดินมาอยู่ตรงหน้าซูหมิง
“เป็นเจ้าที่ตามมาเอง” ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง มองไป๋ซู่แวบหนึ่ง
“ข้าไม่สน ก็ข้านอนไม่หลับนี่ ข้าอยากออกไปดูหิมะ” ไป๋ซู่กลอกตา กล่าวขึ้น
“เจ้าอยากไปดูหิมะ?” ซูหมิงมองไปซู่ เงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวเรียบๆ
“ใช่ ข้าอยากไปดูหิมะ เจ้าไปกับข้าหน่อย” ไป๋ซู่รวบผม ยิ้มให้ซูหมิง
“ใกล้จะถึงสงครามหมอกนภาล่าเชมันแล้ว…ควรจะจัดการให้เรียบร้อยเสียที” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ไป๋ซู่ไม่ได้ยินเสียงของเขา มีแค่ตัวเขาเองที่รู้แน่ชัด ตนต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
“ได้” ซูหมิงยืนขึ้น เดินมาถึงประตูกระโจม หลังจากเปิดออก สิ่งที่เขาเห็นคือแผ่นดินสีเงินในยามค่ำคืน หิมะบนพื้นสะท้อนแสงเงิน มองแวบแรกไม่เห็นเขตสิ้นสุด ขณะเดียวกันยังทำให้ซูหมิงเกิดความรู้สึกคุ้นเคย
“ไปกันเถอะ” ซูหมิงกล่าวเบาๆ ทำมือบอกให้จื่อเชอที่เตรียมจะลุกขึ้นว่าไม่ต้องตามมา เขารับลมหนาว แล้วเดินหน้าไป
ไป๋ซู่อยู่ด้านหลังซูหมิง รีบตามมาติดๆ นางมีสีหน้าลำพองใจ ช่วงหลายเดือนมานี้นางฝันแปลกๆ หลายครั้ง ทว่าฝันนั้นเลือนรางและยังไม่ชัดเจนอีกมาก นางอยากรู้ว่าเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนกันในอดีตของซูหมิงเกี่ยวข้องกับนางอย่างไร
นางในตอนนี้ยังไม่รู้ว่าการกระทำโดยไม่ตั้งใจของนาง ทำให้การต่อสู้แห่งเมล็ดพันธ์หมานระหว่างซูหมิงกับซือหม่าซิ่นสูงขึ้นอีกหนึ่งระดับ
ซือหม่าซิ่นอยากให้ซูหมิงมีเงาของไป๋ซู่ในใจ ใช้ความคล้ายนี้ทำให้ซูหมิงเกิดความคิด จากนั้นนำก็ความคิดนี้เปลี่ยนเป็นเมล็ดพันธ์หมานของตัวเขาผ่านความสัมพันธ์ของซูหมิงกับไป๋ซู่
ทว่าซูหมิงอยากทำสิ่งตรงข้าม เขาจะเปลี่ยนไป๋ซู่ให้เป็นไป๋หลิงอย่างสมบูรณ์ ตัวเขาก็จะทุ่มทั้งตัวและหัวใจเข้าไปจริงๆ จากนั้นช่วงที่เขาเดินออกมา เมื่อสายลมพัดผ่านจะไม่ทิ้งร่องรอย