ตอนที่ 301 ซู่ 2
ท่ามกลางพายุหิมะ บางครั้งคนก็ได้ยินเสียงสายลมปานบทเพลงหวีดหวิวดังก้อง เหมือนกับไป๋ซู่ตอนนี้ นางดึงหนังกลับของคอเสื้อเอาไว้แน่น ไอที่ลอยขึ้นกลายเป็นหมอกขาว
เสียงสายลม บางคนได้ยินแล้วก็ว่ามิใช่เสียงครวญ แต่เป็นใครก็ไม่รู้กำลังถอนหายใจ เหมือนกับซูหมิง เขาเดินบนพื้นหิมะ เหยียบเกล็ดหิมะ ฟังเสียงย่ำเท้าบนพื้นปะปนในเสียงสายลมขณะเดินหน้าต่อไป
ทั้งสองคนเดินไม่เร็วนัก ไม่มีการสนทนาใดๆ เพียงรับลมหนาวและค่อยๆ เดินไกลออกไป
สายลมรุนแรง หิมะตกหนัก เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา ตกบนบ่าของทั้งสอง ตกบนอาภรณ์พวกเขา ทั้งยังตกบนศีรษะ
“เจ้า…เจ้ากับนาง ตอนนั้นเคยเดินอยู่ในพายุหิมะแบบนี้ใช่หรือไม่?” ผ่านไปพักใหญ่ เสียงเบาบางของไป๋ซู่ดังผ่านหูซูหมิง
“สุดท้ายเจ้าก็ยังถามคำถามนี้” ซูหมิงไม่หยุดเดิน เขาก้าวเดินตลอด ในน้ำเสียงแฝงด้วยเสียงถอนหายใจ
“ข้าไม่ควรถามหรือ?” ไป๋ซู่สาวเท้าเข้ามาไวๆ เดินอยู่ข้างซูหมิง เอียงศีรษะมอง
“ข้ากับนางเคยเดินกันแบบนี้เมื่อหลายปีก่อน” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวเบาๆ นัยน์ตาหวนคะนึงคิด
“ข้ากับนางเหมือนกับมากเลยหรือ?” ไป๋ซู่ก้มหน้า กล่าวเสียงเบา
“เหมือนมาก เว้นแต่จุดเล็กๆ บางส่วน” น้ำเสียงซูหมิงลอยล่องในสายลมหิมะ
“ขาดสิ่งนี้หรือ?” ไป๋ซู่หยุดชะงัก หยิบของสองสิ่งมาจากอกเสื้อ ก่อนใส่มันไว้ตรงติ่งหูต่อหน้าซูหมิง ยิ้มมุมปากบางๆ แล้วหันกลับมามอง
ช่วงที่ซูหมิงเห็นตุ้มหูใต้ติ่งหูของไป๋ซู่ เขาตัวสั่นสะท้าน แววตาเหม่อลอย ตุ้มหูคู่นี้ในความทรงจำเขา มันเป็นของไป๋หลิง
ไป๋ซู่สวมตุ้มหูนี้อยู่ในค่ำคืนสายลมหิมะ โดยเฉพาะตอนที่เกล็ดหิมะโปรยลงมาระหว่างทั้งสองคน ทำให้ซูหมิงเหม่อลอย เหมือนย้อนกลับไปยังเรื่องราวในอดีตท่ามกลางหิมะใต้ภูเขาทมิฬอันเป็นช่วงเวลางดงาม
“ซูหมิง เจ้าบอกว่าจะพาข้าไปเดินเล่นมิใช่หรือ…” ไป๋ซู่มีสีหน้าเขินอาย ทว่าเงยหน้าขึ้นเพ่งมองซูหมิง กล่าวเสียงนุ่มนวล
เมื่อกล่าวประโยคนี้ ไป๋ซู่รู้สึกอย่างชัดเจนว่าซูหมิงตรงหน้าเหมือนถูกหยุดอยู่ในสายลมหิมะชั่วพริบตา แม้แต่แววตายังแข็งค้าง เห็นท่าทางของซูหมิงตรงหน้า ไป๋ซู่นึกลำพองใจ นางเตรียมตัวเพื่อวันนี้มานานมากแล้ว
“ยังขาดอีกเล็กน้อย…” ขณะที่ไป๋ซู่ได้ใจ ซูหมิงหลับตาถอนหายใจเบา ตอนที่ลืมตาขึ้น แววตายังคงสงบนิ่ง จากนั้นหมุนตัวเดินหน้าต่อ
ไป๋ซู่เบิกตากว้าง กระทืบเท้าอย่างไม่ยอม รีบตามไปทันที
ยามนี้ งานประมูลที่จัดโดยสำนักทะเลตะวันออก ตรงชายขอบมุมหนึ่งของชนเผ่าชั่วคราว ท่ามกลางกระโจมหนังจำนวนมาก มีกระโจมหนังหนึ่งที่ดูหรูหรากว่าไม่น้อย ในนั้นซือหม่าซิ่นกำลังนั่งฌาน เขาลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววยินดี
“ไม่น่าพลาด…ชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้ ข้ารู้สึกว่าเมล็ดพันธุ์หมานจะแตกหน่อ! เมล็ดพันธุ์หมานนี้อยู่บนที่ราบหิมะนอกชนเผ่านี้…เมล็ดพันธุ์หมานผันแปรรุนแรง มากกว่าเมล็ดพันธุ์หมานของข้าทั้งหมด เขาก็คือซูหมิง! ไป๋ซู่ ข้าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ต้องพึ่งเจ้าแล้ว…”
เดิมทีซือหม่าซิ่นคิดจะยอมแพ้เรื่องให้ไป๋ซู่ช่วยเรื่องเมล็ดพันธุ์หมาน เขาคิดว่าตนคงไม่น่าจะทำสำเร็จแล้ว ฉะนั้นจึงตั้งใจสร้างเรื่องของจื่อเชอขึ้นมา อยากให้เผ่าชายแดนเหนือสังหารซูหมิง กลับไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะเป็นเช่นนั้น
สำหรับไป๋ซู่ เขาเคียดแค้นชิงชังนาง ทว่ากลับไม่กล้าล่วงเกิน เขายังต้องการให้อีกฝ่ายช่วยเรื่องเข้าอุโมงค์เหมันต์สวรรค์อยู่ แม้บอกว่าจะช้าเกินไปหน่อย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นผล แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นความหวัง
เดิมทีเขาวางแผนเรียบร้อยแล้ว หากยังไม่ได้รับคำตอบเรื่องสิทธิ์เข้าอุโมงค์เหมันต์สวรรค์ก่อนสงครามหมอกนภา ล่าเชมัน ซูหมิงก็จะไม่เป็นบุตรชายหมานของเขา ฉะนั้นเขาก็ต้องเข้าร่วมสงครามล่าเชมันเพื่อเอาศีรษะคนก่อน ทว่าสองอย่างนี้ ขอแค่สำเร็จหนึ่งเรื่อง เขาก็จะไม่ต้องเข้าร่วมสงคราม แต่เตรียมตัวเรื่องเข้าฝ่ายนภาอย่างเต็มที่ วันนี้ในยามค่ำคืนพลันเกิดการแตกหน่อ ทำให้จิตใจซือหม่าซิ่นมีชีวิตชีวาทันใด
เขายืนขึ้นจากท่านั่งขัดสมาธิ เปิดประตูกระโจม มองทอดไกลออกไป นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้นและเฝ้ารอคอย
“ไป๋ซู่ เจ้าเป็นผู้สูงศักดิ์ในชีวิตข้าซือหม่าซิ่น หากเจ้าช่วยข้าทำเรื่องนี้สำเร็จ
ข้าซือหม่าซิ่นขอสาบานว่าจะตบแต่งเจ้าเป็นภรรยา!” ซือหม่าซิ่นพึมพำ กำหมัดแน่น สูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้งเพื่อให้ตนสงบลง แล้วนั่งขัดสมาธิบนพื้นหิมะ
ท่ามกลางลมพายุหิมะ ซูหมิงเดินอยู่บนหิมะ ไป๋ซู่ตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่ยอมแพ้ บ้างก็มองซูหมิงอย่างโมโห ไม่รู้ว่าในหัวมีความคิดอะไรอีก
ยามนี้นางไม่รู้เลยว่า ในชนเผ่าไกลออกไป ซือหม่าซิ่นกำลังเพ่งมองอยู่ตรงนั้นและรอคอยอย่างร้อนใจ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไม่นานก็เข้าสู่กลางดึก แสงจันทร์บนท้องฟ้าส่องผ่านเกล็ดหิมะจนแยกเป็นส่วนๆ ทว่าหนึ่งลมหายใจต่อมาก็กลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง มอบความรู้สึกว่าเป็นภาพลวงตาให้ผู้พบเห็น
“ดึกมากแล้ว หากเจ้าไม่มีเรื่องอื่นอีก ก็กลับกันเถอะ” ซูหมิงหยุดชะงัก หมุนตัวไปมองไป๋ซู่
ไป๋ซู่เงียบ ไม่กล่าวสิ่งใด
ซูหมิงมองเส้นทางตรงหน้า ก่อนเดินไปท่ามกลางสายลมหิมะพัดผ่าน
“ซูหมิง!” ไป๋ซู่พลันกล่าว
ตอนที่ซูหมิงหมุนตัวกลับมามอง ไป๋ซู่สาวเท้าไวๆ เข้ามากอดซูหมิงเอาไว้ มุดศีรษะเข้าไปในอ้อมอกของเขา ซูหมิงเงียบอยู่ชั่วครู่ ยกสองมือขึ้นจับไหล่ของไป๋ซู่เอาไว้
ไป๋ซู่เงยหน้ามองซูหมิง แววตาที่ซับซ้อนและมีความหมายแฝงที่บอกไม่ถูกจับจ้องมา
“ท่ามกลางสายลมหิมะ หากพวกเราเดินต่อไปเรื่อยๆ จะ….เดินไปจนถึงวันที่เส้นผมขาวเลยหรือไม่…..” ไป๋ซู่พึมพำเบาๆ น้ำเสียงในสายลมหิมะเหมือนข้ามกาลเวลามา เข้าสู่หูซูหมิง ทำให้แววตาซูหมิงเศร้าโศก
ยามนี้ ซือหม่าซิ่นที่นั่งฌานอยู่ในกระโจมหนังตรงมุมชนเผ่าตัวสั่น นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้น แทบจะเทียบเท่าแสงจันทร์ได้
หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น เขารู้สึกได้อย่างเด่นชัดว่า บนที่ราบหิมะไกลออกไป กลิ่นอายของเมล็ดพันธุ์หมานเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ยังขาดอีกเล็กน้อยก็จะสำเร็จ
ความรู้สึกนี้ทำให้เขาตื่นเต้นจนอยากจะแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง
“ซูหมิงหนอซูหมิง ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นสักเพียงใดเจ้าก็ยังมั่นใจในตัวเองมากเกินไป หัวใจของไป๋ซู่ยังอยู่ที่ข้าเสมอ นางจะทำตามคำสั่งข้า ทำให้ข้าสมปรารถนา! ถึงที่สุดแล้ว เจ้าก็ต้องเป็นบุตรชายหมานของข้า!” ซือหม่าซิ่นมองที่ราบหิมะไกลออกไปอย่างตื่นเต้นและรอคอย
บนที่ราบหิมะ ซูหมิงมองไป๋ซู่ ข้างหูยังคงได้ยินเสียงของนางกังวาน ความเศร้าในแววตามากขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ หลับตาลง
ไป๋ซู่มีสีหน้าซับซ้อนมากขึ้น นางมองซูหมิงอย่างสงสัยและลังเลใจ
“พอแค่นี้เถอะ ไป๋ซู่ เจ้าไม่ใช่นาง อย่าทรมานตัวเองเลย” ซูหมิงกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง เขาลืมตาขึ้น นัยน์ตามีความเศร้าโศกและสงสาร เมื่อยกมือขวาขึ้น กลางฝ่ามือเขามีก้อนหิมะ
“ให้มันละลายในมือเจ้า เมื่อมันละลายเป็นน้ำ เจ้ายังเป็นเจ้า เจ้าไม่ใช่นาง”
ไป๋ซู่เหม่อมองหิมะในมือซูหมิง ผ่านไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงกล่าวเสียงเบา ราวกับขาดสติ
“ซูหมิง ยังจำสัญญาของเราได้หรือไม่…”
ทันทีที่นางกล่าวประโยคนี้ มือซูหมิงสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด
“ทว่าเจ้า…ไม่ได้ทำตามสัญญานั้น…” ไป๋ซู่พึมพำ ถอยหลังไปหลายก้าวพลางมองซูหมิง
หิมะในมือซูหมิงละลายเป็นน้ำ
เขามองไป๋ซู่ ยิ้มด้วยความขมขื่น แล้วจึงพยักหน้า
ไป๋ซู่เห็นซูหมิงแบบนี้ก็พลันเจ็บปวดหัวใจ นางเกิดความรู้สึกไม่กล้าเผชิญหน้าซูหมิง โซเซถอยหลัง กระทั่งถอยไกลออกไปเรื่อยๆ จนในสายตานางมองไม่เห็นเงาร่างซูหมิง
ภายในชนเผ่า ยามนี้ซือหม่าซิ่นแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง เขายืนอยู่ตรงนั้น ในความตื่นเต้นทางสีหน้ามีความยินดีที่ปกปิดไม่มิด เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเมล็ดพันธุ์หมานบนที่ราบหิมะสำเร็จสมบูรณ์แล้ว กระทั่งเขายังรู้สึกถึงความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์นี้ทำให้เขารู้สึกว่า เพียงแค่ความคิดเดียว ก็สามารถตัดสินความเป็นและความตายของเมล็ดพันธุ์หมานนี้!
“ซูหมิงหนอซูหมิง ในที่สุดเจ้าก็เป็นเมล็ดพันธุ์หมานของข้าซือหม่าซิ่น!”
ขณะซือหม่าซิ่นหัวเราะเสียงดัง ร่างเขาวูบไหว ตัวทะยานไปยังที่ราบหิมะ เขาอยากไปดูสภาพของซูหมิงด้วยตาตัวเอง!
ขณะทะยานไป ซือหม่าซิ่นหยุดชะงัก เขาเห็นไป๋ซู่เดินโซเซอยู่บนที่ราบหิมะเหมือนคนขาดสติ เขาจึงเดินไปหานางด้วยความยินดี
“ซู่เอ๋อร์ คงจะลำบากเจ้าแย่เลย!” ซือหม่าซิ่นกำลังจะกอดไป๋ซู่ ทว่านางกลับหลบ สีหน้าซับซ้อน และไม่พูดอะไร
“ตอนแรกข้าอยากไปดูซูหมิงเมล็ดพันธุ์หมานใหม่ของข้าสักหน่อย แต่เจ้าสำคัญกว่าเขา ข้าจะอยู่ข้างเจ้า ให้เขามาพบพวกเรา” ซือหม่าซิ่นตื่นเต้นไม่หยุด ไม่สนใจสีหน้าของไป๋ซู่ แต่ความคิดเคลื่อนไหว ออกคำสั่งเมล็ดพันธุ์หมานให้มาหาเขา
เมื่อออกคำสั่งไป ซือหม่าซิ่นเริ่มสีหน้าเปลี่ยนทีละน้อย จากยินดีกลายเป็นลังเล จากลังเลกลายเป็นสับสน ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนอย่างรุนแรง
บนที่ราบหิมะ ซูหมิงนั่งอยู่ตรงนั้นขณะมองหิมะบนท้องฟ้า สีหน้าไม่มีความเศร้าโศกแม้แต่น้อย แต่สงบนิ่งเหมือนบ่อน้ำ เขาส่ายศีรษะเบาๆ
“ไป๋หลิง ข้าให้โอกาสนางแล้ว นี่คือทางเลือกของนาง…..จากนี้ต่อให้นางเหมือนกับเจ้าอีกสักแค่ไหน ต่อให้เหมือนจนกลายเป็นคนเดียวกันก็ตาม นางจะไม่ส่งผลต่อจิตใจข้าอีก…จบสิ้นแล้ว รวมถึง…จิตใจเปลี่ยนครั้งแรกของข้าด้วย”
ซูหมิงก้มหน้าลง ยกมือขวาขึ้นสะบัด ปรากฏกระดานภาพในมือ ผ่านไปพักใหญ่เขาจึงพลิกกระดานเป็นด้านหน้า มองตัวเองบนกระดานภาพ มองหญ้าสีเขียวใต้เท้าตน ในสายตาซูหมิง ภาพเปลี่ยนไปแล้ว ตัวเองในภาพนั้นยกเท้าขึ้น หญ้าที่พัวพันเท้าถูกยกลอย แล้วถูกเหยียบลงขณะก้าวเดิน ไม่เหลือร่องรอยเหมือนสายลมพัดผ่าน …..
จากการเปลี่ยนของภาพ กลิ่นอายพลังที่แปรเปลี่ยนแผ่มาจากตัวซูหมิง เส้นผมปลิวไสวในสายลมหิมะ นัยน์ตาทั้งสองข้างฉายแววผ่านโลกมาอย่างโชกโชนประดุจอ่านทะลุทุกสรรพสิ่ง หิมะรอบตัวเหมือนตรงเข้ามาหาเขาในชั่วพริบตา บนตัวเขา กลางภาพภูเขาทมิฬจันทร์โลหิตปรากฏหิมะตกเป็นครั้งแรก…..
ภาพลมหิมะภูเขาทมิฬจันทร์โลหิต!