ตอนที่ 1383 ในความฝันไม่รู้ว่ากาลเวลาผันผ่าน
“ตอนที่เจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นเจ้า เจ้าไม่ใช่เจ้า ตอนที่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเจ้า…เจ้าต่างหากคือเจ้า” เสียงพึมพำดังก้องข้างหูซูหมิง วนเวียนในความคิด จนกระทั่งประโยคนี้กลายเป็นเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น เกิดเสียงครึกโครมดังในใจ ซูหมิงลืมตาขึ้น
ตรงหน้าผากเขามีเหงื่อซึมออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ท้องฟ้าข้างนอกเป็นสีเงิน นั่นคือ หิมะตก แผ่นดินหิมะงดงามสะท้อนออกมาเป็นฟ้ายามค่ำคืนที่ไม่ใช่สีดำ
ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำหินที่เกิดจากรอยแยกธรรมชาติกลางภูเขา นี่คือเดือนที่สามหลังจากเขามุ่งหน้าไปสำนักเจ็ดจันทรา เขากำลังนั่งฌานสมาธิกำหนดลมหายใจบนแผ่นดินใหญ่ที่เหมือนไร้ที่สิ้นสุดนี้
ที่นี่ห่างจากสำนักเจ็ดจันทราไกลยิ่ง ระยะทางแบบนี้ต่อให้ซูหมิงบรรลุถึงจิตเต๋าชั้นหนึ่ง แต่ก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะเดินทางไปถึง
ดังนั้นเขาจึงห้อทะยานไปอย่างไม่หยุดพักแม้แต่น้อย แต่ก็มีพักเป็นบางครั้งเพื่อรักษาพลังให้อยู่จุดสูงสุดตลอดเวลา ตอนนี้เขาลืมตาจากฌานสมาธิแล้ว
เขามองฟ้าข้างนอกเงียบๆ พลางนึกถึงความฝันนั้นก่อนหน้านี้ เขาฝันน้อยมาก โดยเฉพาะตอนนั่งฌานยิ่งไม่ฝัน แต่ว่าเมื่อครู่เพิ่งฝันไป
ในความฝันมีเพียงประโยคหนึ่งที่เขาคุ้นเคย คำพูดนี้ดังกังวาน ต่อให้ตอนนี้เขา ลืมตาขึ้น แต่ก็ยังวนเวียนข้างหู
ซูหมิงยืนขึ้นเงียบๆ เดินออกจากถ้ำหิน ทิ้งรอยเท้าไว้ในสายลมหิมะ เดินไกลออกไป ผ่านภูเขา ผ่านแม่น้ำ จนกระทั่งเดินมาถึงตะวันขึ้น เมื่อตะวันลาลับถึง ยามอัศดง เขาเห็นเมืองแห่งหนึ่งตรงหน้า
ยามโพล้เพล้ในเมืองนั้นเต็มไปด้วยจุดแสงไฟ ทั้งยังมีเสียงจอแจดังแว่วมา ดูครึกครื้น…ซูหมิงมองเมืองนั้นแล้วหลับตาลง อีกครู่ถึงลืมตาขึ้นเดินทางไปยังเมืองนั้น
เขาเดินอยู่กลางยามโพล้เพล้ เดินเข้าไปในเมือง ทุกเครือเรือนแขวนโคมไฟสีแดงใหญ่ไว้สูง เด็กมากมายส่งเสียงหัวเราะเล่นกันอย่างมีความสุขราวกระดิ่งเงิน อีกทั้งภายในเมืองยังมีแต่ใบหน้ายิ้มแทบทุกคน ทำให้ซูหมิงนึกถึง…ในสิบปีนี้ วันนี้ของทุกปี อาจารย์เขาจะพาเขามาที่เมืองแปลกตาแห่งหนึ่ง ให้ได้สัมผัส…บรรยากาศของปีใหม่
นี่คือปีใหม่ เป็นวันสุดท้ายของปีนี้ เมื่อยามโพล้เพล้ผ่านไป ค่ำคืนมาถึง จนกระทั่งดวงตะวันขึ้นฟ้าอีกครั้ง ก็จะเป็นการเริ่มต้นปีใหม่
วันนี้ของทุกปีจะเป็นวันที่แคว้นกู่จั้งเฉลิมฉลองกันทั่วแคว้น ทุกเมืองในแคว้นจะเต็มไปด้วยบรรยากาศแบบนี้ ทุกเครือเรือนจะแคว้นโคมไฟไว้สูง มันจะเปล่งแสงสว่างในสายลมหิมะ เหมือนขับไล่ความหนาวเหน็บออกไปจากทุกเครือเรือน ทำให้วันนี้…ไม่หนาวเหน็บในยามค่ำคืน
ซูหมิงเดินอยู่ในเมือง มองไปรอบๆ ก้มหน้าลงทีละน้อย จนกระทั่งเดินมาอยู่ข้างตรอกแห่งหนึ่ง ตรงนั้น…มีร้านบะหมี่อยู่ ไอขาวจากน้ำเดือดจำนวนมากลอยขึ้นฟ้ากลางสายลมหนาว ทำให้ชายชราที่กำลังลวกบะหมี่ถูกควันคลุมจนขมุกขมัว
ร้านบะหมี่ไม่ใหญ่ มีเพียงโต๊ะสี่ถึงห้าตัว มีม่านเหมือนกระโจมบังหิมะ แต่กลับบังสายลมได้ไม่มากนัก ในนี้มีชายร่างกำยำนั่งอยู่สามคน กำลังกินบะหมี่น้ำแกงร้อน ดื่มน้ำแกงบะหมี่ เหมือนขับไล่ความหนาวได้
“อูเหล่า นี่ปีใหม่แล้ว เจ้ายังไม่เอาสุราชั้นดีที่เจ้าสะสมไว้ออกมาสักสองสามไหอีก ให้พวกข้าได้ชิมหน่อยเถอะ” ชายร่างกำยำที่กำลังกินบะหมี่ยิ้มพลางพูดเสียงดัง ขณะกล่าวยังมีควันขาวออกมาจากปาก ดูเด่นตามากในสายลมหิมะ
“พวกเจ้านี่…ช่างเถอะ” ชายชราลวกบะหมี่เหมือนยิ้ม เขาหมุนตัวกลับไปหยิบ ไหสุรามาวางบนโต๊ะนั้นหนึ่งไห
“นี่สิถึงจะถูก ไม่เสียแรงที่พวกเราจะอยู่ฉลองปีใหม่กับเจ้าต่อในวันนี้” ชายร่างกำยำคนนั้นรีบหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง ก่อนยิ้มพูดขึ้น
ตอนนี้ ซูหมิงเดินเข้ามาในร้านบะหมี่ นั่งลงข้างโต๊ะในมุมนั้น มองสายลมหิมะข้างนอก
“เถ้าแก่ ขอบะหมี่หนึ่งชาม”
ชายชราลวกบะหมี่หันหน้ามามองซูหมิงแวบหนึ่ง ก่อนหยิบชามออกมา ใส่บะหมี่จนเต็ม และยังใส่เนื้ออีกเล็กน้อย ก่อนยกมาวางตรงหน้าซูหมิง
ซูหมิงมองบะหมี่บนโต๊ะพลางกินไปเงียบๆ รสชาติของบะหมี่ไม่เลวจริงๆ น้ำแกงก็ร้อนมาก เมื่อเข้าปากไปแล้วจะกลายเป็นอุ่น ทำให้สายลมหิมะนี้ไม่ได้หนาวเป็นพิเศษอีก
เวลาผ่านไปทีละน้อย เมื่อยามดึกมาถึง บนถนนไม่มีคนมากนักแล้ว นี่คือเทศกาล และก็เป็นวันที่ครอบครัวจะอยู่พร้อมหน้ากัน ตอนนี้แต่ละครอบครัวมักจะอยู่ด้วยกันแล้ว มองเด็กน้อยหัวเราะอย่างมีความสุข มองแสงไฟสว่างพร่างพราว สัมผัสถึงความอบอุ่นระหว่างคนในครอบครัวภายในบ้าน
เทียบกับสายลมหิมะข้างนอกแล้ว แทบทุกคนล้วนมีความอบอุ่นนี้ มีเพียงซูหมิง…ที่ไม่มี
จนกระทั่งชายร่างกำยำในร้านบะหมี่หลายคนนั้นจากไป สายลมครืนๆ ทำให้กระโจมเกิดเสียงพึ่บพั่บ ซูหมิงถอนหายใจเบา
“เหตุใดถึงยังไม่กลับบ้านอีก?” ชายชราลวกบะหมี่นั่งลงข้างๆ หยิบสุราชั้นดีที่อุ่นไว้ครู่หนึ่งแล้วขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง จากนั้นมองซูหมิง
“หาทางกลับไม่เจอ” ซูหมิงเงียบแล้วตอบกลับช้าๆ
“ไม่ใช่ว่าหาทางกลับไม่เจอ แต่คงไม่มีบ้านใช่หรือไม่” ชายชรายิ้ม เขาหยิบสุราอีกไหมาอยู่ตรงหน้าซูหมิง เมื่อนั่งลงแล้วก็วางลงตรงหน้าซูหมิง
ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองชายชรา จากแสงไฟเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคนธรรมดา เป็นชายชราที่เดินมาถึงช่วงปลายของชีวิต ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น
“เจ้าล่ะ” ซูหมิงหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง ก่อนมองสายลมหิมะข้างนอกพลางถามขึ้นช้าๆ
“มีบ้าน แต่มีข้าคนเดียว กลับหรือไม่กลับไม่ต่างกัน สู้อยู่ที่นี่ดีกว่า” ชายชรายิ้ม ในรอยยิ้มนั้น เหมือนว่ารอยย่นบนใบหน้าจะมากขึ้นเล็กน้อย ทำให้รอยยิ้มดูขมขื่น
ซูหมิงไม่พูดต่อ แต่ดื่มสุรา หิมะโปรยปรายกลางสายลมหิมะ ฟ้ายามค่ำคืนปรากฏดวงจันทร์ เทียบกับไฟของหมื่นครัวเรือนรอบๆ แล้ว ร้านบะหมี่นี้ก็มีแสงไฟเช่นกัน เพียงแต่สิ่งที่อยู่ใต้แสงไฟไม่ใช่ความอบอุ่น แต่เป็นความอ้างว้าง
การเปลี่ยนแปลงของความคิดชนิดหนึ่ง เหมือนว่าความคิดในตอนนี้ทุกครั้งกับความงดงามในอดีตภายในความทรงจำ เดิมทีคิดว่าฝังไว้ในก้นบึ้งหัวใจแล้ว กลายเป็นความไม่เจ็บปวดแล้ว แต่ยามนี้ในเงาใต้แสงไฟนี้กลับซ่อนความเจ็บปวดที่สายลมพัดหายไปรวมถึงหิมะกลบไม่ได้อยู่
ท่ามกลางความเจ็บปวดและหนาวเหน็บ ซูหมิงนึกถึงท่านปู่ นึกถึงศิษย์พี่ของ ยอดเขาลำดับเก้า นึกถึงอวี่เซวียน ชางหลัน สวี่ฮุ่ย…และยังมีกระเรียนขนร่วง รวมถึงใบหน้าต่างๆ ในความทรงจำ
นึกไปนึกมาสุราก็หมดไห
เขาดื่มสุรา เพราะไม่มีน้ำตา มีเพียงสุราที่เป็นน้ำตา เมื่อดื่มไปแล้วจะกลายเป็นความขมขื่นที่ไม่อาจขจัดไปได้ในใจชั่วนิรันดร์ ทำให้ความขมขื่นนี้คงอยู่ตลอด เพราะมีแต่แบบนี้เท่านั้น…ซูหมิงถึงรู้ว่าเดิมทีตนยังมีชีวิตอยู่
เขาถึงรู้ว่าเดิมที…ตนยังไม่ตาย ยังตัดสินใจได้มากกว่านี้ในการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง แม้แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่า…ซูหมิงก็จะให้มันเป็นไปได้!
“คนในครอบครัวเจ้าล่ะ?” ชายชรามองซูหมิงพลางถามขึ้นด้วยเสียงแหบ ก่อนหยิบสุราอีกไหมาวางตรงหน้าซูหมิง
“อยู่ที่ไกลมาก เจ้าล่ะ?” ซูหมิงส่ายหน้า
“คนในครอบครัวข้าหรือ เหอะๆ เดิมทีมีเยอะมาก ข้ามีหลานชายคนหนึ่ง เขายังมีสหายอีกกลุ่มหนึ่งด้วย นับว่าเป็นคนในครอบครัวข้า…เขายังหาภรรยาได้อีกหลายคน เดิมทีครอบครัวข้าคึกคักมาก” ชายชราดื่มสุรา นัยน์ตาฉายแวว หวนคะนึงคิด
“แต่มีวันหนึ่งที่ข้าตื่นมาเขากลับหายตัวไป พวกเราหาเขาไม่พบ ในครอบครัวที่เดิมทีคึกคักก็ไม่คึกคักอีก จนกระทั่งทุกคนไปตามหาเขา แต่พวกเขาก็ไป ไปยังที่ ที่ไกลมาก และก็ไม่รู้ว่าหาพบหรือไม่
ที่นี่เหลือแค่ข้า ในบ้านว่างเปล่า ข้าไม่รู้ว่าเขาไปที่ใด ข้าก็ไม่ได้ออกตามหาเขา ข้าอยากอยู่ที่นี่ จุดแสงไฟในบ้าน รอเขา หากวันหนึ่งเขากลับมา ข้าไม่อยากให้เขา…หาบ้านไม่พบ ไม่อยากให้เขา…ไม่เห็นไฟในบ้านที่คอยชี้นำ” ชายชราพูดพึมพำด้วยเสียงแหบ เหมือนมีร่องรอยผ่านโลกมาเนิ่นนานเพิ่มมาในสายลมหิมะ
“ความจริงชายแก่อย่างข้ายังไม่ถือว่าโดดเดี่ยวหรอก…เทียบกับข้าแล้ว จักรพรรดิของพวกเราต่างหากที่โดดเดี่ยว…” ชายชราถอนหายใจเบา ก่อนหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มอีกอึก
“พวกเราล้วนรู้ว่าจักรพรรดิมีองค์ชายสามคน ตอนที่องค์ชายสามคนนั้นเติบใหญ่ก็จะถูกพาออกไปข้างนอก เดินทางอยู่ข้างนอก…การไปครั้งนี้…คือหกพันปี…
ในหกพันปีนี้ เขาต้องโดดเดี่ยว เขาต้องอยู่ในวังจักรพรรดิ จุดแสงไฟไปชั่วนิรันดร์เพื่อชี้นำองค์ชายของเขากลับบ้าน เพราะว่าในตำนานของแคว้นเรากล่าวไว้ว่ามีโอกาสที่องค์ชายทุกท่านจะหลงทางระหว่างออกเดินทางไปข้างนอก ไม่รู้ทาง กลับบ้าน” ชายชราพูดไปพูดมาก็ก้มหน้าลงเหมือนเมาแล้ว
ซูหมิงเงียบ เมื่อดื่มสุราอึกสุดท้ายในไหหมดก็ยืนขึ้นเดินมาอยู่ข้างชายชรา ก่อนโบกมือขวา สายลมหิมะรอบๆ หลีกทางไป ทำให้ที่นี่เกิดความอบอุ่น จากนั้น เดินออกจากร้านบะหมี่ เดินมุ่งหน้าไปยังสำนักเจ็ดจันทราในสายลมหิมะ เดินออก จากเมือง เข้าไปอยู่กลางสายลมยามค่ำคืน
จนกระทั่งซูหมิงเดินไกลออกไปจนร่างเงาหายลับไปในค่ำคืนนอกเมือง ชายชราที่เมาไปแล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ ยืนขึ้นมองฟ้ายามค่ำคืน ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปทีละน้อยราวกับกาลเวลาย้อนกลับ จนกระทั่งเป็นชายวัยกลางคน
เขาถอนหายใจเบา
“ตอนที่เจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นเจ้า เจ้า…ไม่ใช่เจ้า ตอนที่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเจ้า…เจ้าต่างหากคือเจ้า” เมื่อเขาถอนหายใจเบา ทั้งเมืองกลายเป็นมายา เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยืนอยู่ในสายลมหิมะอย่างโดดเดี่ยว เขาหมุนตัวกลับพลางถอนหายใจเบา เดินมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงแคว้นกู่จั้งเงียบๆ
“อะไรคือจริง อะไรคือปลอม เสวียนเอ๋อร์…ผ่านไปสามพันปีแล้ว…เมื่อไรเจ้าจะเข้าใจ…ความจริงที่เจ้าแสวงหาคือความจริงอะไร สิ่งลวงหลอกที่เจ้าคิดคืออะไร…” ชายวัยกลางคนพึมพำเหมือนแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด เขาค่อยๆ หายไปใน สายลมหิมะ ร่างเงาค่อยๆ หายไป
เหลือเพียงสายลมหิมะพัดผ่าน ราวกับว่าที่นี่มีเสียงถอนหายใจเพิ่มมา ดังแว่วอยู่กลางฟ้าดินนานมากยากจะหายไป…