ตอนที่ 331 อูตัว
ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ภายในแฝงไว้ด้วยความเย็นชาที่ทำให้เหอเฟิงตัวสั่น เมื่อเขายกมือขวาขึ้นชี้เหอเฟิง ค้างคาวจันทรารอบตัวเหอเฟิงแผดเสียงคำรามแหลม ตรงเข้าใส่แล้วห่อหุ้มเอาไว้หลายชั้น เมื่อตะวันแรกขึ้นสุด เหอเฟิงจึงไม่หายไป
การผสานกันอีกครั้งกับค้างคาวจันทรา ทำให้เหอเฟิงเกิดความรู้สึกว่ามีชีวิตรอด หวาดกลัวซูหมิงในใจเหนือการคิดทรยศ เขารู้สึกว่าตนอ่านความคิดซูหมิงไม่ออกจริงๆ ความคิดอีกฝ่ายจะต่างจากหลักการที่เขาคิดโดยสิ้นเชิง
เช่นวันนี้ เขาคิดว่าซูหมิงไม่มีทางสังหารตนแน่ และเขาก็ไม่ตายจริงๆ ทว่าเหอเฟิงรู้ดีว่าหากตนพูดช้ากว่านี้อีกเล็กน้อย สิ่งที่รออยู่คงมีเพียงความตาย
เหอเฟิงมีความดื้อรั้นอย่างแรงกล้า และไม่ยอมเป็นทาสผู้ใด ยามนี้ความหวาดกลัวเกาะกุมในใจมากกว่าครึ่ง ทว่าไม่นานความกลัวก็ค่อยๆ ลดน้อยลง บางทีเขาอาจจะ…มีโอกาสแว้งกัด
แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าแล้ว หากไม่มีวิธีหลีกอำนาจของแสงตะวัน เขาจะไม่กล้าเผยจิตสังหารอีก
จุดนี้ในใจซูหมิงรู้ดี
ซูหมิงจะไม่สังหารเหอเฟิงจริงๆ ถึงอย่างไรพลังของเหอเฟิงก็ช่วยเขาได้มากในสงครามหมอกนภา ส่วนพฤติกรรมแว้งกัดของคนแบบนี้ เขามีแผนในใจแล้ว
เมื่อเหอเฟิงผสานกับค้างคาวจันทราอีกครั้งก็กลายเป็นเงา หลังจากคำนับซูหมิงด้วยความหวาดกลัวแล้วค่อยผสานกับเงาซูหมิงอย่างว่าง่าย
บนพื้นมีศีรษะชุ่มโลหิตสองหัว และยังมีศพแห้งเน่าเปื่อยอีกหนึ่ง
วานรเพลิงเห็นซูหมิงตื่นแล้วก็หาววอดอยู่ข้างๆ หยิบศีรษะชายร่างกำยำเผ่าเชมันขึ้นมาเขย่าในมือ ภาพนี้หากผู้อื่นเห็นจะต้องตะลึงเป็นแน่
เมื่อตะวันแรกโผล่ขึ้น แสงอาทิตย์ปกคลุมแผ่นดิน เสียงเพลงซวินรอบตัวซูหมิงค่อยๆ หายไป เขามองท้องฟ้าสีคราม สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจากท่านั่งขัดสมาธิ ตอนที่ยืนขึ้นมีเสียงกรุบๆ ดังมาจากตัวซูหมิง มันเหมือนกับเสียงกระดูกกระทบกัน เลือดเนื้อกำลังเสียดสี เสียงนั้นดังก้อง
ก่อนปรากฏลายภูเขาบนใบหน้าซูหมิง ใต้อาภรณ์ตรงหน้าอกปรากฏลายชนเผ่าเขาทมิฬและหิมะโปรยปราย ดวงตาขวาเป็นสีแดง
ภาพพายุหิมะและภูเขาทมิฬจันทร์โลหิตปรากฏอย่างสมบูรณ์ แสงด้านบนขยับวิบวับ ราวกับมีเสียงเพลงซวินดังก้อง ประหนึ่งว่าเพลงซวินนี้อยู่ในลายหมานซูหมิง ช่วงที่ลายหมานปรากฏครบ มันก็ส่งเสียงล่องลอยออกไป
เส้นผมซูหมิงเคลื่อนไหวเองแม้ไร้ลม เขายืนขึ้นบนแผ่นดิน เงยหน้าขึ้น ขาทั้งสองข้างลอยขึ้นห่างจากพื้นสามฉื่อ กลิ่นอายพลังแกร่งกล้าปะทุมาจากในตัว
ตอนก่อนงานประมูล ระหว่างที่เขาจิตใจเปลี่ยนครั้งแรกก็ได้ทะลวงสู่ขั้นชำระล้างตอนปลายแล้ว ห่างจากขั้นมหาสมบูรณ์อีกเพียงก้าวเดียว หนึ่งก้าวนี้ ตอนนั้นซูหมิงเข้าใจแล้วว่าต้องการเสียงเพลงซวิน ต้องบรรเลงเพลงในความทรงจำ หากทำสำเร็จจะทำให้ลายภูเขาทมิฬกับความทรงจำผสานกันอย่างสมบูรณ์ และเขาจะทะลวงสู่ขั้นชำระล้างมหาสมบูรณ์!
หลังจากงานประมูลมาจนถึงตอนไปรับซวินที่ซ่อมเสร็จกลับมา และเดินทางเพื่อลืมเลือนอีกสามวัน จนมาถึงคืนวันที่สี่ เขาก็เริ่มทำสำเร็จ ในค่ำคืนเงียบสงัด ค่ำคืนสังหาร ค่ำคืนกลิ่นคาวเลือด
ในที่สุดเขาก็บรรเลงซวินได้อย่างแท้จริง ทำให้ซวินมีจิตวิญญาณได้
จิตวิญญาณนี้ซูหมิงรวมมันจากความทรงจำ จิตวิญญาณนี้คือจิตวิญญาณของลายหมานเขา!
พลังจากในตัวซูหมิงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง แผ่นดินในขอบเขตหลายร้อยจั้งหมุนวนขึ้น ต้นไม้ส่งเสียงดังสนั่นดุจเกิดลมพายุหมุน
ซูหมิงลอยอยู่กลางอากาศห่างจากพื้นหลายจั้ง นัยน์ตาเปล่งประกาย ความรู้สึกถึงพลังอยู่ในกำมือเขา
ชำระล้างมหาสมบูรณ์ห่างจากชำระล้างตอนปลายเหมือนเพียงขั้นเดียว ทว่าความจริงแล้ว ขั้นมหาสมบูรณ์เป็นจุดสูงสุดของชำระล้าง เป็นระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในขั้นพลังนี้
คนที่บรรลุถึงระดับนี้จะเรียกว่าชำระล้างมหาสมบูรณ์ หรือรองเซ่นไหว้กระดูก เพราะระดับนี้ห่างจากขั้นเซ่นไหว้กระดูกเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง หากทะลวงก็จะทะลวงไปเลย หากไม่ ต่อให้ใช้เวลาก็ไม่อาจตัดกระดาษให้ขาด
ซูหมิงค่อยๆ ลดตัวลง ตอนที่เขายืนบนพื้น เส้นผมพาดลงบนบ่าอย่างช้าๆ และหลับตาลง ช่วงที่ลืมตาอีกครั้ง แววตาเขาสงบนิ่ง
‘เช้าตรู่วันที่ห้าแล้ว ยังเหลืออีกสองวัน…จากตรงนี้ไปกำแพงหมอกนภาคงไม่ทัน’ ยามซูหมิงหลับตาเมื่อครู่ นอกจากเพื่อปรับคลื่นพลังของตนแล้ว ก็เพื่อสัมผัสถึงจุดที่ตนประทับตราพลังชีวิตเอาไว้บนกระบี่ยักษ์
เขารู้สึกว่าจุดนั้นห่างจากตรงนี้ไปไกลยิ่งนัก
‘ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย หยิบศีรษะสตรีเผ่าเชมันโยนให้วานรเพลิง วานรเพลิงกระโดดรับเอาไว้แล้วยิ้มตาหยี หิ้วผมศีรษะคนสองคน ผูกเอาไว้กับเอวตัวเอง ก่อนตบหน้าอกไปทางซูหมิงเพื่อแสดงความแกร่งของตน
จากนั้นซูหมิงเดินไปยืนข้างศพแห้งเหี่ยวของชายสักลายค้างคาว ใช้มือขวาสับศีรษะแห้งเหี่ยวจนเกิดเสียงดังกรุบๆ ยังไม่ทันที่ซูหมิงจะได้หยิบศีรษะ วานรเพลิงข้างกายก็อดใจไม่ไหว วิ่งเข้ามาแล้วดึงศีรษะไป ทำให้ศีรษะหลุดออกจากตัว ตรงจุดที่ฉีกขาดไม่มีโลหิตไหลมาแม้แต่น้อย
วานรเพลิงยิ่งลำพองใจใหญ่ รีบนำศีรษะที่สามผูกไว้กับเอว เขย่าไปมาหลายที มีสีหน้าตื่นเต้นยิ่งขึ้น
ซูหมิงไม่เงยหน้าขึ้น แต่จ้องศพไร้หัวตรงหน้า หลังจากตบบนตัวศพแล้วก็ได้ถุงสานมาหนึ่งใบ ถุงใบนี้ดูชำรุด ทว่าเมื่อซูหมิงถือไว้ในมือกลับพบว่าสิ่งนี้มีประโยชน์เหมือนกับถุงเก็บวัตถุ เขาปล่อยจิตสัมผัสเข้าไปแล้วประทับตราของตนเอาไว้
“หืม?” ซูหมิงเทถุงตรงกลางฝ่ามือ มีหินขนาดเท่าเล็บมือหนึ่งก้อนหล่นลงมา หินนี้ส่องแสงพร่างพราวใต้แสงตะวัน ภายในเหมือนมีควันหมุนวนเป็นเกลียว ดูงดงามอย่างยิ่ง
หินลักษณะนี้ ภายในถุงมีไม่ต่ำกว่าร้อยก้อน
นอกจากนี้แล้ว ยังมีสมุนไพรบางชนิดที่ซูหมิงไม่เคยเห็นมาก่อนอีกไม่น้อย
เมื่อนำถุงสานใบนี้ใส่ไว้ในอกเสื้อแล้ว ซูหมิงจึงยืนขึ้น วูบไหวตัวหายวับไป แล้วมาปรากฏตัวอยู่กลางป่าทึบไม่ไกลนัก ตรงนั้นมีศพไร้หัวอยู่ตรงหน้า
ค้นตัวศพครู่หนึ่งแล้ว ซูหมิงก็ขมวดคิ้ว ยืนขึ้นและถอยหลังหายวับไปอีกครั้ง คราวนี้มาปรากฏอยู่อีกทางข้างอิ๋งฮ่วนสตรีเผ่าเชมัน แต่ค้นหาดูแล้วก็ยังไม่พบถุงสาน
นัยน์ตาซูหมิงแอบเป็นประกาย ลุกขึ้นเดินไกลออกไป วานรเพลิงตามอยู่ด้านหลัง ไม่รู้ว่าไปเอาขวานสงครามยักษ์มาตอนไหน มันแบกไว้ตรงหลัง ขวานสงครามนี้หนักมาก ทว่าวานรเพลิงมีพละกำลังเป็นพรสวรรค์จึงไม่รู้สึกว่าหนัก
ซูหมิงมองมัน ใบหน้าเผยรอยยิ้ม
“เสี่ยวหง” ซูหมิงกล่าวเบาๆ
วานรเพลิงเหลือบตามองซูหมิง ไม่สนใจใยดี
ซูหมิงยิ้มแล้วเคลื่อนตัวไปด้านหน้าด้วยความเร็ว วานรเพลิงรีบตามหลัง มีสีหน้าอยากแข่งขัน เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่ยอมรับเรื่องประชันความเร็วแพ้ซูหมิงไปก่อนหน้านี้
หนึ่งคนหนึ่งวานรห้อเหยียดอย่างเร็ว หนึ่งชั่วยามต่อมาก็ออกจากป่าทึบมาปรากฏตัวอยู่บนที่ราบกว้างใหญ่ มีทุ่งหญ้าสายลมพัดผ่าน ดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้แดนไร้ผู้คนแห่งนี้มีความงามที่ไม่มีใครได้ชื่นชม
“ที่นี่เป็นอย่างไร?” ซูหมิงหยุดชะงัก ยืนอยู่บนที่ราบพลางกล่าวเรียบๆ เสียงเขาดังก้องโดยรอบ วานรเพลิงมองไปรอบด้าน คิดว่าซูหมิงพูดกับตน จึงมองค้อนอีกครั้ง
“เจ้าตามข้ามาตลอดทาง พอแซ่โม่มาถึงตรงนี้กลับเงียบ หรือว่ายังเตรียมตัวไม่พร้อม” ซูหมิงหมุนตัวกลับ นัยน์ตาวาววับมองทอดไกล
วานรเพลิงตะลึงงัน รีบมองตามไป
บนที่ราบ ช่วงที่สายลมพัดผ่าน มีร่างคนผอมบางค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น เดินมาทางซูหมิงทีละก้าว ก่อนหยุดห่างจากซูหมิงหลายสิบจั้ง
เขาเป็นคนสูงผอม สวมเสื้อยาวสีดำ ดูอายุราวสามสิบกว่าปี แววตาลุ่มลึก ถักผมเปียจำนวนมากปล่อยไว้หลังศีรษะ
เขาจ้องซูหมิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ซูหมิงก็มองเขาเช่นกัน ระหว่างทั้งสองคนห่างกันหลายสิบจั้ง
“สำนักทะเลตะวันออก อูตัว!” ผ่านไปพักใหญ่ ชายคนนั้นยกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏตราสีฟ้าเข้ม จากนั้นโยนมันไปทางซูหมิง
ตรานั้นกลายเป็นเส้นสีฟ้าเข้มตรงใส่ ทว่าซูหมิงกลับถอยหลังหลายก้าว ปล่อยให้ตรานั้นตกลงพื้น ไม่ยอมสัมผัสมัน
เมื่อเห็นการกระทำของซูหมิง ชายคนนั้นก็แอบหรี่ม่านตา
“เผ่าเขาทมิฬ โม่ซู” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“ส่วนเจ้ามาจากสำนักใด มิใช่เรื่องที่แซ่โม่ต้องใส่ใจ เจ้าเอาถุงสานของข้าไป เจ้าต้องชดใช้ให้ข้า” ซูหมิงมองชายตรงหน้า บุคคลนี้มิใช่ขั้นเซ่นไหว้กระดูก แต่เป็นชำระล้างมหาสมบูรณ์เหมือนกับเขา
ทว่าความรู้สึกจากตัวบุคคลนี้มีความชั่วร้ายปานเผชิญหน้ากับหมาป่าเดียวดาย แข็งแกร่งกว่าชาวเผ่าเชมันเทียบเท่าขั้นเซ่นไหว้กระดูกสามคนก่อนหน้านี้ไปไกล
ครั้นได้ยินซูหมิงกล่าว ชายตรงหน้าไม่เอ่ยสิ่งใด เขารู้สึกเหมือนกับซูหมิง ในความรู้สึกเขา โม่ซูตรงหน้าดูเหมือนชำระล้างมหาสมบูรณ์ก็จริง อีกทั้งยังเพิ่งทะลวงขั้นพลัง แต่กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนมีเข็มแทงอยู่ตรงหลัง โดยเฉพาะเมื่อบุคคลนี้มองออกว่าเขาตามมา จึงยิ่งทำให้เขาไม่กล้าผลีผลาม
อีกทั้งเขายังเข้าใจดีว่า คนที่สังหารชาวเผ่าเชมันสามคนนั้นได้จะมองเพียงขั้นพลังมิได้ ส่วนเผ่าเขาทมิฬ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน คิดเอาว่าอีกฝ่ายน่าจะกุเรื่องขึ้นมาเอง
“บางทีที่เจ้าตามข้ามาอาจเพื่อสิ่งนี้” ซูหมิงกล่าวช้าๆ ยกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏผลึกสว่างพร่างพราวขนาดเท่าเล็บมือหนึ่งก้อน