Skip to content

สู่วิถีอสุรา 338

ตอนที่ 338 เข้าร่วมสงคราม

วานรเพลิงอยู่ด้านหลังซูหมิง ห้อเหยียดตามมา ศีรษะคนหลายสิบก่อเป็นกลิ่นอายชั่วร้ายรุนแรงหมุนวนรอบตัวระหว่างก้าวเดิน ทำให้วานรเพลิงเหมือนเดินมาจากยมโลก ผู้พบเห็นเป็นต้องสะพรึง

หนึ่งคนหนึ่งวานรห้อเหยียดไปทางเมืองหมอกนภา เมื่อเข้าใกล้ เสียงเข่นฆ่าดังแว่วมาจากที่ไกล อีกทั้งยังเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ซูหมิงเริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง เสียงเข่นฆ่าของคนนับแสนทำให้คนฟังหรือผู้เห็นด้วยตาตัวเองต้องตื่นตะลึง บ้างก็จิตตกและหวาดกลัว บ้างก็เลือดร้อนและเดือดพล่านจนไม่อาจควบคุม

ซูหมิงเป็นทั้งพวกข้างหน้าและพวกข้างหลัง

เขามีความกลัวของเขา ทว่าความกระหายในสงครามกลับระงับความกลัวไว้ เขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อเผ่าหมานแดนอรุณใต้ ไม่ได้ต่อสู้เพื่อเมืองหมอกนภา และก็ไม่ได้ต่อสู้เพื่อสำนักเหมันต์สวรรค์!

เขาต่อสู้เพื่อยอดเขาลำดับเก้า ต่อสู้เพื่อกลับบ้าน ต่อสู้เพื่อแข็งแกร่งขึ้น และต่อสู้เพื่อ….ตัวเอง!

ยิ่งเข้าไปใกล้ เสียงเข่นฆ่าจากเมืองหมอกนภายิ่งเด่นชัดมากขึ้น

ซูหมิงกับวานรเพลิงเข้าใกล้เมืองหมอกนภาแล้ว ตรงหน้าเขา ใต้เมืองโออ่าในพื้นที่ของเผ่าหมาน มีขั้นบันไดคดเคี้ยวหนึ่งสาย ขั้นบันไดนี้แทบจะติดกับกำแพงเมือง ผู้คนสัญจรไปมาได้

น่านฟ้าเหนือเมือง มีชาวเผ่าหมานลอยอยู่กลางอากาศจำนวนมาก และคอยปกป้องเมืองแห่งนี้

ซูหมิงกับวานรเพลิงเข้ามาใกล้ จึงเรียกความสนใจจากคนในเมืองหมอกนภาเล็กน้อย โดยเฉพาะคนที่กำลังต่อสู้อยู่กลางอากาศเพื่อปกป้องเมือง

พวกเขาเฝ้าเมืองหมอกนภา จะไม่เข้าร่วมหรือออกไปสู้ข้างนอก หน้าที่พวกเขาคือรักษาความปลอดภัยของเมืองนี้ ยามนี้แม้บอกว่ามีหลายคนกำลังเข่นฆ่าในสงคราม ทว่าก็สับเปลี่ยนกันไปมา และยังคงรักษาหน้าที่คุ้มครองของตนได้ดี

เมื่อซูหมิงเข้ามาใกล้ คนเหล่านี้ล้วนมีสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับเคยชินสงครามนานแล้ว พวกเขาหลายคนหันไปมองซูหมิงที่อยู่บนฟ้าไกลๆ แวบหนึ่ง

“ขวางเขาเอาไว้ ถามให้ชัดเจนว่ามาจากเผ่าใด ตอนนี้อยู่ในช่วงสงคราม ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าจากด้านหลัง!” หนึ่งในนั้นที่ดูมีตำแหน่งสูงกว่าเล็กน้อยกล่าวอย่างเย็นชา

เมื่อกล่าวจบ รักษาการณ์สองคนด้านข้างรีบประสานมือคารวะ แล้วหมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งโค้งตรงไปทางซูหมิง

“ผู้มาเยือน ช้าก่อน เจ้ามาจากเผ่าใด!” นอกเมืองในพื้นที่ของเผ่าหมาน หลังจากรักษาการณ์สองคนบินมาแล้ว หนึ่งในนั้นกล่าวเสียงเย็นชากับซูหมิงที่กำลังห้อเหยียดเข้ามา

ซูหมิงก็เห็นทั้งสองคนเช่นกัน ด้านหลังพวกเขาเป็นเมืองหมอกนภาโออ่า ยามนี้เสียงฆ่าสังหารดังสนั่น กึกก้องแปดทิศอยู่นานไม่เลือนหาย ซูหมิงหยุดห่างจากตรงหน้าพวกเขาสองคนหลายสิบจั้ง แล้วประสานมือคารวะ

“ซูหมิง จากสำนักเหมันต์สวรรค์”

ทั้งสองคนได้ยินดังนั้นจึงมองซูหมิงแวบหนึ่ง คนที่กล่าวคนแรกแค่นเสียงหึ

“เหลวไหล สำนักเหมันต์สวรรค์มาถึงเมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว ในเมื่อเจ้าเป็นคนสำนักเหมันต์สวรรค์ เหตุใดถึงไม่มาพร้อมกัน”

“ข้ามีธุระหว่างทาง ดังนั้น…” ซูหมิงกำลังจะอธิบาย ทว่ากลับถูกคนผู้นั้นขัดก่อน

“ข้าไม่ต้องการคำอธิบายจากเจ้า ไม่ว่าเจ้ามาจากไหน ตอนนี้เผ่าหมานและเชมันกำลังทำสงคราม ไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ เจ้ารีบไปให้เร็ว เมื่อสงครามสิ้นสุดลงแล้ว หากเจ้าเป็นคนสำนักเหมันต์สวรรค์จริงๆ ข้าจะรายงานเมืองให้พาเจ้าเข้าไปเอง” คนกล่าวยังเป็นคนเดิม เขาเป็นชายร่างกำยำอายุราวสี่สิบปี สวมเสื้อคลุมฟ้า บนเสื้อคลุมเปื้อนโลหิตสด มีสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเปลี่ยนตัวจากสนามรบมา

ส่วนอีกคนหนึ่งอายุไล่เลี่ยกัน มีสีหน้าเหนื่อยล้าเช่นเดียวกัน ทว่านัยน์ตากลับเย็นชา ความเย็นชานี้มิใช่เพราะซูหมิง แต่เป็นเพราะสงคราม

ซูหมิงเงียบไป มองแผ่นดินเชมันที่อยู่ห่างไกล ในนั้นสู้รบกันอย่างดุเดือด ด้วยระยะห่างเช่นนี้ ซูหมิงเห็นว่าบนแผ่นดินเชมันมีศีรษะคนเผ่าหมานถูกชายฉกรรจ์เผ่าเชมันตัดขาด ชาวเผ่าเชมันผู้นั้นชูศีรษะขึ้นแล้วเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า

ในสนามรบก็ไม่ต่างกัน ชาวเผ่าเชมันส่วนใหญ่บาดเจ็บล้มตาย หากเป็นสัตว์ร้ายพวกนั้น มักต้องให้เผ่าหมานหลายคนล้อมโจมตีถึงจะหยุดมันได้ ขณะเดียวกันเสียงคำรามของสัตว์ร้ายก็ก้องกังวานในสนามรบกว้างใหญ่

ซูหมิงอยากเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ มีแต่ต้องสัมผัสกับความเป็นความตายในสงครามที่เหมาะกับการฝึกฝนที่สุดเช่นนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้ขั้นพลังทะยานขึ้นอีกครั้ง จากชำระล้างสู่เซ่นไหว้กระดูก!

ทว่าเขามาช้า อีกทั้งในช่วงสงครามนี้ยังไม่มีใครพิสูจน์ตัวตนของเขาได้ คิดจะเข้าร่วมสงครามก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ต่อให้มีคนจำเขาได้ เว้นแต่จะเป็นผู้อาวุโสของสำนักเหมันต์สวรรค์ หากเป็นคนอื่นคำพูดจะไม่มีน้ำหนัก จึงไม่มีประโยชน์มากนัก

“หืม? ยังไม่ไปอีกรึ?” แววตาชายร่างกำยำเสื้อคลุมฟ้าเปื้อนโลหิตมีจิตสังหาร กล่าวอย่างเย็นชา

รักษาการณ์สองคนนี้มาคุยกับซูหมิงอยู่นาน จึงทำให้คนอื่นในเมืองหมอกนภามองมา ซูหมิงถอนหายใจเบา แล้วถอยไปหลายก้าว

ทว่าช่วงที่เขาถอย พลันมีเสียงระเบิดดังมาจากเมืองหมอกนภา น่านฟ้าเหนือเมืองพลันปรากฏรอยแยกยักษ์ รอกแยกนี้มิใช่ของจริง แต่อยู่กึ่งระหว่างของจริงกับมายา ขยับแสงวิบวับไม่หยุด

ช่วงที่รอยแยกปรากฏ รักษาการณ์ในเมืองหมอกนภาล้วนหน้าเปลี่ยนสี ขณะเดียวกันมีเสียงแก่ชราดังก้องจากเมืองหมอกนภา

“คู่ดาราระดับสูงสุดแห่งเชมันใช้วิชาจินตนาการสร้างอาคมเคลื่อนย้ายส่งมาจากแผ่นดินเชมัน วิชานี้จะไม่ถูกทำลาย ทว่าในครึ่งปีคู่ดาราระดับสูงสุดจะใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จัดการพวกเชมันที่มาจากอาคมเคลื่อนย้ายเสีย ภายในครึ่งปีจะไม่เกิดเหตุลอบโจมตีเช่นนี้อีก! สหายฉือ สหายหร่าน น้องโจว นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่ให้พวกเจ้าสามคนไปสนามรบ”

หลังจากเสียงแก่ชราดังก้อง พลันมีเงาร่างคนสี่คนเดินมาจากเมืองหมอกนภา เงาร่างสี่คนนั้นเป็นชายชราผมขาวสามคน อีกคนเป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมดำ เมื่อสี่คนนี้เดินออกมาก็ก่อให้เกิดแรงกดดันมหาศาลทันใด

แทบจะเป็นช่วงที่พวกเขาเดินออกมา มีเสียงระเบิดมาจากรอยแยกบนท้องฟ้า รอยแยกพลันฉีกกว้างขึ้น เสียงคำรามดังก้องมาจากภายใน มังกรวารีขนาดหลายพันจั้งโผล่ศีรษะออกมา ก่อนทะลวงมาจากในรอยแยก

หลังจากมังกรวารี ก็มีเสียงหัวเราะดังก้อง ตามด้วยสามคนบินมาจากในรอยแยก สามคนนี้รูปร่างหน้าตาเหมือนหนังหุ้มกระดูก ทั้งตัวเป็นสีสัน ไม่รู้เป็นภาพสัญลักษณ์อะไร ในมือถือไม้เท้ากระดูก ตอนที่บินออกมามีควันสีดำแผ่ขยายตามมาด้วย

ตอนที่ทั้งสามคนกับมังกรวารีปรากฏตัว ทั้งสี่คนจากเมืองหมอกนภาเข้ามาใกล้แล้ว ต่างไม่มีใครพูดอะไร เสียงระเบิดพลันดังกังวาน พวกเขาทะยานเข้ามายืนอยู่ข้างหน้าพร้อมกัน!

เวลานี้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆลมม้วนตัว เสียงระเบิดดังสะเทือนรอบแปดทิศ ภายในรอกแยกบนท้องฟ้ามีร่างคนหลายคนมุดออกมา ล้วนเป็นคนเผ่าเชมันทั้งสิ้น พริบตาเดียวก็ปรากฏหลายร้อยคน พวกเขาทุกคนล้วนมีระดับพลังไม่ธรรมดา

“สังหาร!” รักษาการณ์บนอากาศตรงเข้ามาอย่างไม่ลังเล แล้วทำสงครามกับเผ่าเชมันจากรอยแยก

ภายในเมืองหมอกนภา ยามนี้มีร่างคนปรากฏตัวมากขึ้น ก่อนมุ่งหน้าไปยังสนามรบเล็กๆ ทว่าดุเดือดไม่แพ้กัน

เสียงเข่นฆ่าสะเทือนนภา ปานฟ้าดินมืดสลัว ตะวันจันทราไร้แสง รักษาการณ์สองคนที่ขวางซูหมิงอยู่ ยามนี้สีหน้าเปลี่ยน ไม่สนใจซูหมิงอีก แต่ตรงไปยังสนามรบแทน

สงครามเกิดขึ้นห่างจากซูหมิงไม่ถึงห้าสิบจั้ง อยู่ในระดับที่ดุเดือด เพิ่งเริ่มเข่นฆ่าก็มีเสียงร้องน่าเวทนา มีหลายคนตัวระเบิด และยังมีบางคนร่างกายแหลกเป็นชิ้นๆ

ที่นี่มีเผ่าหมานและเผ่าเชมัน

นี่มิใช่การเข่นฆ่ากันตัวต่อตัว ในสนามรบทุกคนต้องรับมือกับศัตรูหลายคน ศัตรูมากมายขนาดนี้ เมื่อกำลังสังหารคนหนึ่ง ก็ต้องระวังอภินิหารหลากชนิดของศัตรูเผ่าเชมันคนอื่นๆ จากรอบตัวด้วย

นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย เขาไม่ถอย แต่ช่วงที่วานรเพลิงแยกเขี้ยวส่งเสียงร้องเตรียมจะพุ่งไป เขายกมือขวาสะบัดแขนเสื้อไปทางมัน วานรเพลิงมีสีหน้าคับอกคับใจ ก่อนถูกส่งเข้าไปในถุง

นี่คือสงครามดุเดือด ซูหมิงไม่วางใจให้วานรเพลิงออกรบ หากวานรตัวนี้สังหารจนตาแดงก็จะบ้าคลั่ง และมันต้องไม่ปลอดภัยสำหรับเขาแน่นอน

ตอนที่เก็บวานรเพลิง ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าวมุ่งหน้าไปยังสนามรับ หนึ่งก้าวนี้เหมือนร่างเขาไม่เคลื่อนไหว คล้ายยังคงอยู่ในท่ายกเท้า ทว่าความจริงแล้วความเร็วของเขาถึงระดับสูงสุด

รักษาการณ์สองคนที่ขวางซูหมิงก่อนหน้านี้ ชายร่างกำยำเสื้อคลุมเปื้อนโลหิตที่คุยกับซูหมิงเป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้กางห้านิ้วมือคว้าไปด้านหน้า มีกลิ่นอายพลังห้าชนิดหมุนวนอยู่ด้านหลังเขา กลายเป็นแมงมุมห้าสีตัวหนึ่ง ก่อนเข้าปะทะกับเผ่าเชมันตรงหน้า

เผ่าเชมันพวกนี้เองก็ไม่ธรรมดา ตอนที่ตายตกก็ทำให้แมงมุมห้าสีระเบิดกระจุยไปด้วย ท่ามกลางเสียงระเบิดตัวเองดังสนั่น มีเล็บดีดออกมาทะลวงหน้าอกชายร่างกำยำรักษาการณ์ จนโลหิตไหลมาจากมุมปาก โซเซถอยหลัง

ทว่าช่วงที่เขาถอย มีขวานเล่มหนึ่งปรากฏอยู่ข้างกาย อีกฝ่ายเป็นนักรบเชมันคนหนึ่ง กำลังยิ้มเยาะพร้อมกับสับขวานลง แววตาชายร่างกำยำผู้นั้นเหมือนจุดประกายความบ้าคลั่ง คิดจะระเบิดตัวเอง ต่อให้ต้องตายก็ต้องสังหารให้ได้หลายคน มวลอากาศข้างกายเขาบิดเบี้ยว เงาร่างของซูหมิงพลันปรากฏขึ้น

เมื่อซูหมิงปรากฏตัว ตรงระหว่างคิ้วขยับแสงสีดำ เกราะแม่ทัพเทพมายาก่อรูปขึ้น ยามขวานสับลงกระบี่ของเขาก็ตรงเข้าไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version