Skip to content

สู่วิถีอสุรา 340

ตอนที่ 340 สงครามครั้งแรก

สงครามเหนือเมืองหมอกนภา คนเกือบพันเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด มีคนตายมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป เลือดเนื้อและศพไม่สมประกอบตกลงมาจากท้องฟ้า

เดิมทีขอบเขตสงครามตรงนี้ควรจะเล็กลง ทว่ากลับมิใช่เช่นนั้น มันขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เพราะที่นี่คือเมืองหมอกนภา จำนวนเผ่าหมานตรงนี้จึงมากจนไม่อาจจินตนาการ แต่หากเทียบกับสงครามทั้งหมดแล้ว กลับน้อยจนไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง

อีกทั้งชาวเผ่าเชมันที่เสียชีวิตไปมากมาย ยังเทียบไม่ได้กับนักรบหมานที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องตรงนี้ ฉะนั้นแม้เผ่าเชมันจะน้อยลงเรื่อยๆ ขอบเขตสนามรบตรงนี้กลับใหญ่ขึ้นเล็กน้อย

ทว่าสงครามตรงนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสงครามขนาดเล็กเท่านั้น จุดสำคัญมิได้อยู่ตรงนี้ แต่เป็นในหมอกดำสูงสุดบนท้องฟ้า ยามนี้ภายในหมอกดำเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ปรากฏเทวรูปหมานสูงใหญ่สี่รูป

เทวรูปหมานสี่รูปนั้นเป็นของผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณหมานทั้งสี่แห่งเผ่าหมาน เทวรูปเหล่านั้นดูมิใช่ของจริงและเหมือนภาพมายาเล็กน้อย ราวกับเพียงลมพัดก็จะหายไป แต่นี่เป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น

ขั้นวิญญาณหมานจะสามารถสร้างเทวรูปหมานของตัวเอง พลังระดับนี้ทำให้ความแข็งแกร่งของขั้นวิญญาณหมานมิใช่สิ่งที่ขั้นเซ่นไหว้กระดูกจะต้านทานไหว คนที่สังหารขั้นวิญญาณหมานได้มีเพียงขั้นวิญญาณหมานด้วยกันเท่านั้น

การต่อสู้ในหมอกดำบรรลุถึงจุดที่ดุเดือดที่สุด สงครามกับพวกเชมันด้านล่างหมอกดำก็ใกล้จะถึงจุดจบแล้วเช่นกัน เผ่าเชมันตายตกไปเรื่อยๆ สัตว์ร้ายที่พวกเขาเรียกมาต่างพากันล้มลง

อาภรณ์ซูหมิงกลายเป็นสีโลหิต แม้จะมองออกว่าสีเดิมมิใช่สีแดงก็ตาม แต่ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความบ้าคลั่งและการเข่นฆ่าอันน่าสะพรึงจากอาภรณ์เขา

โดยเฉพาะในดวงตาทั้งสองข้าง ความเย็นชาในดวงตาซ้ายและสีแดงโลหิตในดวงตาขวา เส้นผมยาวที่มิใช่สีดำปลิวไสว แสงกระบี่สีดำโอบล้อม และยังมีหุ่นเชิดใบหน้าเหวอะหวะเสื้อผ้าขาดวิ่นอีกหนึ่งตนตามหลังมา

นี่เป็นเงาร่างคนพิลึกที่แทบทุกคนในสนามรบเล็กๆ แห่งนี้สังเกตเห็น

เพราะจุดที่เงาร่างคนผ่าน ไม่ว่าจะเป็นเผ่าเชมันระดับใดล้วนกรีดร้องแล้วตายอย่างน่าอนาถจนสิ้น ต่อให้เป็นเชมันระดับกลาง เมื่อเงาร่างคนยกมือขวาขึ้น กำไลข้อมือจะกลายเป็นหมอกดำโอบล้อม เมื่อนั้นชาวเผ่าเชมันล้วนยากจะหลีกหนีความตาย

นั่นเป็นพลังที่ใกล้เคียงกับคำว่าไร้พ่าย หลังจากสังหารคนไปจำนวนมากก็ก่อขึ้นเป็นพลังชั่วร้าย บนเสื้อเปื้อนโลหิตราวรวมวิญญาณเอาไว้มากมาย ทำให้ขณะซูหมิงก้าวเดินมีเสียงร้องของวิญญาณหมุนวนรอบตัว

วันนี้ผู้คนจำนวนมากจดจำคนผู้นี้เอาไว้ นอกจากพลังไร้พ่ายแล้ว การปรากฏตัวของเขายังช่วยชีวิตของเผ่าหมานเอาไว้

เขาเหมือนชินกับความเงียบขรึมแล้ว

ในสนามรบ ซูหมิงไม่แผดเสียงคำรามใดๆ ไม่มีเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาเงียบและสังหารตลอด ซูหมิงในตอนนี้มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเผ่าเชมันคนหนึ่ง เมื่อชาวเผ่าเชมันคนนั้นเห็นซูหมิงก็เปลี่ยนสีหน้า ถอยหลังไปอย่างเร่งรีบ

เขาเห็นกับตาว่าซูหมิงลงมือสามครั้ง ทุกครั้งจะเป็นฝ่ายเชมันที่ตาย อีกทั้งในสามคนที่ตายไปยังมีเชมันระดับกลางผู้มีพลังเทียบเท่ากับขั้นเซ่นไหว้กระดูกตอนกลางอยู่ด้วย!

ทว่าชาวเผ่าเชมันคนนั้นเพิ่งถอยไปได้เพียงสามก้าวก็ขนลุกชันทั้งตัว

เพราะซูหมิงมาปรากฏตัวด้านหลังเขาดุจวิญญาณ จากนั้นตามด้วยหนึ่งกระบี่เย็นเยือก ช่วงที่หมุนตัวจากไป หุ่นเชิดเหอเฟิงด้านหลังก็ยิ้มเย็นเยียบพร้อมกับลงมือ

ซูหมิงเดินอยู่ในสนามรบและสังหารตลอดทาง เขาไม่รู้ว่าสังหารไปมากเท่าไรแล้ว เกราะแม่ทัพเทพบนตัวพังทลายหลายครั้ง ต่อให้มีอาคมป้องกันอยู่ก็ยังเหมือนเดิม

ยามนี้ปรากฏเกราะอีกครั้ง แต่ไม่อาจสร้างอาคมภายในได้ แม้บอกว่าพลังป้องกันลดน้อยลง ทว่าพลังชั่วร้ายในตัวซูหมิงกลับเป็นที่จดจำของคนในสนามรบ พอจะเทียบได้กับเกราะไร้รูป

เขากินเม็ดโอสถหลายครั้งถึงยืนหยัดต่อไปไหว มิเช่นนั้นแล้ว ในสนามรบที่มิได้สู้กันตัวต่อตัวนี้ เขาคงยากจะยืนหยัดต่อไป

ดีที่ซูหมิงเตรียมเม็ดโอสถเอาไว้ไม่น้อย ตอนนี้มาปรากฏตัวอยู่หลังชาวเผ่าเชมันคนหนึ่ง ก่อนใช้ตัวกระแทกไปยังแผ่นหลัง ทำให้ชาวเผ่าเชมันที่บาดเจ็บเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตัวระเบิดกระจาย ขณะซูหมิงกำลังจะไปต่อก็พลันหยุดชะงักฝีเท้า

เขาค่อยๆ หันหน้ามองไปไกลหลายร้อยจั้ง ตรงนั้นมีคนผู้หนึ่งกำลังต่อสู้อยู่

บุคคลนี้อายุดูราวสามสิบปี เปลือยกายท่อนบน ทั้งตัวเต็มไปด้วยโลหิต มอบความรู้สึกแข็งแรงและกล้าหาญ อีกทั้งยังเป็นชาวเผ่าเชมัน!

เขากำลังจับตัวชายฉกรรจ์เผ่าหมาน ปากกัดคออีกฝ่ายปานดูดโลหิต เลือดสดไหลจากมุมปากลงมาตามร่างกายกำยำ

เขามองซูหมิงด้วยความเย็นชา พร้อมกับจับชายฉกรรจ์ให้เงยหน้าขึ้นแล้วฉีกศีรษะออกจากตัว ก่อนชูศีรษะขึ้นสูงให้โลหิตหยดใส่ปากตัวเอง

ชายฉกรรจ์เผ่าหมานที่ตายไป ซูหมิงรู้จัก เขาก็คือสหายที่มากับจางเทียนถ่าก่อนหน้านี้ และเป็นชายเย็นชาที่กล่าวต้อนรับซูหมิงคนแรก จนถึงคราวตายแววตาเขาก็ยังคงเย็นชา

ซูหมิงมองชายเผ่าเชมันที่กำลังชี้มือซ้ายมาทางตน เลียริมฝีปากคล้ายจะเปิดปากพูด ทว่าเสียงพูดกับถูกเสียงเข่นฆ่ากลบจนซูหมิงไม่ได้ยิน

ทว่าซูหมิงก็เข้าใจความหมายของฝ่ายตรงข้าม เพราะชายคนนี้ปล่อยศีรษะลง แล้วก้าวมาทางเขาด้วยความเร็ว ตรงเข้าใส่ดุจเกิดเป็นลมพายุคลั่ง

ขณะทะยานเข้ามา ด้านหลังปรากฏเงาดำผืนใหญ่ เงาดำเหล่านั้นล้วนเป็นชาวเผ่าหมานที่เขาสังหาร หนึ่งในนั้นมีสหายของจางเทียนถ่าอยู่ด้วย

เงาร่างดำเหล่านั้นมีไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน วนเวียนติดตามชายเผ่าเชมันราวกับวิญญาณ พวกมันพุ่งตรงเข้าใส่ซูหมิง

“ผู้สื่อวิญญาณ…” ซูหมิงหรี่ม่านตาลงและเดินหน้าไปเช่นกัน ก่อให้เกิดเป็นพายุคลั่งที่รุนแรงยิ่งกว่าม้วนตลบรอบแปดทิศ

ทั้งสองคนเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง ช่วงที่เข้าประชิดกันและเริ่มเข่นฆ่า รอบตัวชายเผ่าเชมันมีวิญญาณอาฆาตตรงเข้ามาจำนวนมาก วิญญาณอาฆาตเหล่านี้มีเผ่าหมานและก็มีเผ่าเชมัน!

เหมือนว่าการต่อสู้แบบซูหมิงเช่นนี้มิได้มีเพียงจุดเดียว แต่มีอยู่หลายสิบจุด เพียงแต่ชาวเผ่าเชมันที่มีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ล้วนเป็นผู้สื่อวิญญาณ!

ผู้สื่อวิญญาณหนึ่งคน หากอยู่ในจุดที่มีคนตายน้อย พลังพวกเขาจะมีจำกัด แต่หากอยู่ในสงครามแล้วมีคนตายจำนวนมาก ผู้สื่อวิญญาณจะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง

นี่คือกลอุบายในสงครามของเผ่าเชมัน!

เสียงระเบิดดังก้องในสนามรบ ผ่านไปครู่หนึ่ง ระหว่างที่ทุกคนกำลังทำสงคราม หมอกดำบนท้องฟ้าพลันเหมือนถูกมือคนแหวกออก ประดุจมีมือใหญ่ไร้รูปฉีกมัน ท่ามกลางเสียงอึกทึก ร่างมังกรวารีระเบิดกระจุยทั้งตัว ขณะมันร้องคำรามเสียงแหลมก็กลายเป็นหมอกโลหิตผืนใหญ่ ซัดชายชราเผ่าเชมันที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันสามคนกระเด็นไปยังแผ่นดินเชมัน

สี่ผู้แข็งแกร่งแห่งเมืองหมอกนภา มีสองคนกำลังจะตามไป ทว่าชายวัยกลางคนข้างกายยกมือห้ามเอาไว้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“สหายทุกท่านอย่าตามไป…เป้าหมายของพวกเชมันแม้จะเป็นการบุกเผ่าหมาน แต่เงื่อนไขคือต้องทำลายเมืองหมอกนภาและยึดเมืองก่อน มิเช่นนั้นแล้วพวกตาแก่ชั้นสูงของเผ่าเชมันจะต้องลังเลใจแน่

นอกจากนี้แล้ว เรื่องนี้มันแปลกๆ คู่ดาราระดับสูงสุดแห่งเชมันใช้อาคมเคลื่อนย้ายที่ต้องรอไปอีกครึ่งปีกว่าจึงจะใช้ได้อีกครั้ง แต่กลับส่งเชมันระดับปลายมาเพียงสามคนกับสัตว์ประหลาดหนึ่งตัว…

ตามแผนการและการคาดการณ์ รวมกับรายงานอีกเล็กน้อย เผ่าเชมันมีคู่ดาราระดับสูงสุดเพียงคู่เดียว โอกาสแบบนี้พวกมันควรจะโจมตีอย่างสุดกำลังถึงจะถูก เมืองหมอกนภาของเราเลยเตรียมตัวมาอย่างดี ทว่าตอนนี้เหยื่อกลับไม่ออกมาก็เลยใช้ไม่ได้…” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว

“ความหมายของเจ้าคือพวกมันตั้งใจล่อให้พวกเราโจมตี?” ชายชราหลังค่อมหนึ่งในสี่ขั้นวิญญาณหมานกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง

“เรื่องนี้…” ชายวัยกลางคนที่กำลังกล่าวพลันสีหน้าเปลี่ยน ชายชราสามคนก็เช่นกัน ตอนนี้ในสนามรบยักษ์นอกเมืองหมอกนภา ขณะเดียวกับที่เสียงเข่นฆ่าดังสนั่นเชื่อมฟ้าดิน บนท้องฟ้าห้าจุดพลันปรากฏรอยแยกเหมือนของเมืองหมอกนภาก่อนหน้านี้!

หากเพียงเท่านี้คงไม่เท่าไร เพราะด้านหลังเมืองหมอกนภา ยามนี้บนท้องฟ้าในเขตแดนเผ่าหมานปรากฏรอยแยกอีกครั้ง มิใช่อันเดียวแต่เป็นสอง!

สองรอยแยกยักษ์รวมกับห้ารอยแยกบนท้องฟ้าเผ่าเชมัน ขยับแสงวิบวับพร้อมกัน!

ชายวัยกลางคนพลันมีสีหน้าทะมึนทึบ เขาเคลื่อนตัวลงไปด้านล่าง

“รอยแยกเชมันของเผ่าหมาน รบกวนทั้งสามท่านด้วย!”

น้ำเสียงชายวัยกลางคนยังคงดังก้อง ตัวเขาขยับวูบวาบหลายสิบครั้งในกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้ด้านล่าง ทุกครั้งที่กะพริบแสงจะปรากฏตัวอยู่ข้างผู้สื่อวิญญาณเผ่าเชมัน ไม่ว่าผู้สื่อวิญญาณใช้วิชาอะไร จะแข็งแกร่งสักเพียงใด หลังจากชายวัยกลางคนปรากฏตัวแล้วจะถูกดัชนีทะลวงระหว่างคิ้วจนตายทันที

ชายวัยกลางคนรวดเร็วยิ่งนัก พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างซูหมิง

ทว่าช่วงที่ปรากฏกาย ชายเชมันที่ต่อสู้กับซูหมิงกระอักโลหิต ร่างกระจายเป็นเสี่ยงๆ นี่ไม่ใช่เพราะชายวัยกลางคน แต่เพราะยามนี้ซูหมิงลดนิ้วชี้มือขวาลงอย่างช้าๆ วาดเป็นลายเส้นหมานสังหาร

ซูหมิงหน้าซีดขาว หายใจกระชั้นถี่ ภยันตรายในการต่อสู้ครั้งนี้มีเพียงตัวเขาเองที่รู้

ชายวัยกลางคนมองซูหมิงแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้าให้แล้วหายวับไป ผ่านไปครู่หนึ่ง ตอนที่เขาปรากฏอยู่กลางอากาศ ผู้สื่อวิญญาณแห่งเชมันทั้งหมดในสนามรบล้วนสิ้นชีพลง

“เจ้า เจ้า และก็เจ้า…พวกเจ้าเจ็ดคนตามข้ามา ส่วนคนที่เหลือไปสนามรบตรงนั้น!”

ชายวัยกลางคนชี้ไปยังรอยแยกบนแผ่นดินเผ่าหมานไกลๆ

เมื่อเขาชี้ กลุ่มคนโดยรอบพลันพุ่งทะยานเข้าไปตรงรอยแยกสองรอยภายใต้การนำของผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณหมานทั้งสาม

และยังมีอีกหลายคนบินออกจากเมืองหมอกนภาเข้าไปร่วมด้วย ในนั้นยังมีชายชราเสื้อขาวอีกสองคน ขณะมุ่งหน้าไป มวลอากาศใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือน ด้านหลังปรากฏเทวรูปหมานมายา ทั้งสองคนนี้ก็เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณหมานตอนต้นเช่นกัน ทั้งสองคนบินอยู่บนท้องฟ้า หลังจากประสานมือให้กันและกันกับชายชราทั้งสามก่อนหน้านี้แล้ว ก็มุ่งหน้าไปพร้อมกัน

ซูหมิงไม่ขยับตัว เพราะในเจ็ดคนที่ชายวัยกลางคนชี้มีเขาอยู่ด้วย!

“พวกเจ้าทั้งเจ็ดคนต่อสู้ได้ยอดเยี่ยมที่สุด คนอื่นข้าเคยเห็นมาแล้ว มีเจ้าที่ข้าไม่เคยเห็นหน้า เจ้าชื่ออะไร มาจากเผ่าหรือสำนักใด?” ชายวัยกลางคนแววตาปานสายฟ้า หลังจากกวาดสายตามองทั้งเจ็ดคนแล้วก็มองซูหมิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version