Skip to content

สู่วิถีอสุรา 366

ตอนที่ 366 ยุ่งกันใหญ่

แผ่นดินเผ่าเชมัน มองไปแล้วให้ความรู้สึกอ้างว้าง ผืนดินเป็นสีเทาอมดำ น้อยนักที่จะมีสีเขียว มันจึงเต็มไปด้วยความอึดอัด ประดุจเป็นต้นกำเนิดแห่งความตาย

ท้องฟ้าก็มิใช่สีคราม แต่เป็นสีเทาราวกับเกิดพายุฝุ่น ม้วนดินทรายขึ้นมาปกคลุมท้องฟ้า

เทียบกับเผ่าหมานแล้ว เผ่าเชมันมีสิ่งมีชีวิตน้อยกว่า แผ่นดินเต็มไปด้วยรอยแยกหุบเขา รอยแยกเหล่านั้นลากยาวเป็นแนวนอน ไม่รู้ว่าอยู่มากี่ปีแล้ว และก็ไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นคนสร้าง บางทีมันอาจเกิดขึ้นตามการแปรเปลี่ยนของพื้นดิน

นอกจากเสียงลมครืนๆ โดยรอบแล้วก็เป็นความเงียบสงบ

ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ มีเพียงสัตว์เล็กบางส่วนบนแผ่นดินที่จะปรากฏให้เห็นร่างเป็นบางครั้ง

บนผืนดินสีเทาอมดำ ภายในหุบเขายักษ์มีสถานที่ลับอยู่แห่งหนึ่ง ตรงนั้นมีรอยแยกหนา ลึกลงไปในรอยแยกมีห้องหินที่ถูกคนสร้างขึ้น ซูหมิงนั่งฌานอยู่ในนั้น หลับตาอยู่ด้วยใบหน้าซีดขาว กำลังกำหนดลมหายใจอย่างช้าๆ ทางออกรอยแยกตรงหน้ามีวานรเพลิงนั่งยองอย่างตื่นตัว และหันไปมองซูหมิงอยู่ตลอด

ซูหมิงเปลี่ยนชุดอาบโลหิตเป็นเสื้อสีดำ เส้นผมยาวพาดบ่า กำไลจากหมอกดำตรงข้อมือขวาหมุนวนอย่างช้าๆ

ส่วนนิ้วชี้ดูเหมือนปกติ เพียงแต่มีเส้นผมพันหลายรอบก็เท่านั้น ทว่านิ้วนี้มีพลังที่ตาแก่ขั้นวิญญาณหมานหวาดกลัว และยังสามารถ…ทำลายฟ้าดิน!

เวลาเคลื่อนผ่านไป ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ซูหมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แววตาเขาลุ่มลึกทันใด กระทั่งเอกลักษณ์เฉพาะตัวยังเปลี่ยนไป ทำให้คนอ่านใจเขาไม่ออกดุจเป็นมหาสมุทร

“ขั้นเซ่นไหว้กระดูก…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขาสังเกตเห็นถึงความต่างของตัวเองอย่างชัดเจน กระดูกหมานสี่ชิ้นตรงกระดูกสันหลังเปล่งแสงสีฟ้า มีพลังปะทุขึ้น พลังนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ซูหมิงรู้สึกถึงพลังลึกลับในฟ้าดิน กระทั่งยังทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าตอนขั้นชำระล้างหลายเท่า

อีกทั้งยามนี้ รอยร้าวบนกระดูกหมานสี่ชิ้นเชื่อมติดกันมากกว่าครึ่ง เหลือรอยร้าวเพียงสามเส้นเท่านั้น ต้องใช้เวลาอีกสักระยะถึงจะฟื้นตัวกลับมาอย่างเต็มที่

‘ออกจากสนามรบเป็นเหตุสุดวิสัย….ทว่าในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว อาจเป็นโอกาสของข้า! เพิ่มขั้นพลังที่นี่ จากนั้นก็หาสตรีผมยาวบนสนามรบให้พบ สตรีผู้นี้รู้เรื่องเกี่ยวกับซู่มิ่งเยอะมาก บางทีข้าอาจได้คำตอบจากตัวนาง!’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ยกมือขวาขึ้นกดตรงระหว่างคิ้ว

ช่วงที่กดนิ้วลงไป ในตัวเขาพลันเกิดสายลมขึ้น สายลมนี้ประหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา หมุนวนในร่างกาย ดูไม่เป็นรูปเป็นร่างและยุ่งเหยิง ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น ก็เพียงพอจะทำให้ซูหมิงเร็วกว่าแต่ก่อนไม่น้อย

‘น่าเสียดาย ไม่รู้ว่าจะทำให้ต้นกำเนิดวายุแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร…’ ซูหมิงตกอยู่ในห้วงความคิด หยิบผลึกขนาดเท่ากำปั้นมาจากถุงเก็บวัตถุ ทันใดนั้น ภายในห้องหินพลันเกิดพายุหมุนพร้อมเสียงดังครืนๆ พายุหมุนนี้เกิดขึ้นกะทันหันยิ่งนัก ทำให้วานรเพลิงหันขวับ พอเห็นว่าซูหมิงจะทำอะไรแล้วจึงวางใจ

ซูหมิงถือผลึกแห่งผู้สืบทอดแล้วค่อยๆ นำมาติดตรงระหว่างคิ้ว ทว่าผลึกต่อต้านอย่างรุนแรง ราวกับว่าไม่ยอมผสานกับซูหมิง

ครู่ต่อมา ซูหมิงใช้มือขวาจับมันด้วยสีหน้าทะมึนทึบ จ้องผลึกในมือพลางแค่นเสียงหึ

‘ไม่ยอมรับข้ารึ…’ ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนใส่มันในถุงเก็บวัตถุ แล้วค่อยๆ หลับตาลง

ขณะเดียวกัน ในความคิดเขาผุดวิชาแยกวายุที่ได้มาจากเทวรูปวิญญาณหมาน

วิชานี้เป็นวิชาของผู้สืบทอดเทพแท้จริงหมานวายุเพียงผู้เดียว และแยกออกจากผลึกแห่งผู้สืบทอด เห็นได้ชัดว่าแค่ตัวมันก็ไม่ธรรมดาแล้ว วิชานี้ซูหมิงได้มาอย่างสมบูรณ์แบบ รวมมีสามรูปแบบด้วยกัน

รูปแบบที่หนึ่ง เบิกตะวัน

รูปแบบที่สอง ฝังจันทรา

รูปแบบที่สาม แยกวายุ

สามรูปแบบนี้เกี่ยวกับสายลม ในความรู้สึกซูหมิงมันเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ ทว่ากลับดูเหมือนภาพมายา รู้สึกแต่ไม่อาจสัมผัสได้

‘ผลึกแห่งผู้สืบทอด!’ ซูหมิงลืมตา ขมวดคิ้ว เขาเดาออกแล้วว่าที่ตนไม่อาจสัมผัสกับวิชาสามรูปแบบนี้ได้ จะต้องเกี่ยวกับเรื่องที่เขายังไม่ผสานกับผลึกแห่งผู้สืบทอดนี้เป็นแน่

‘แต่สามรูปแบบแยกวายุนี้ถูกแยกจากผลึกผู้สืบทอด อาจจะมิใช่เพราะผลึกผู้สืบทอด…’ ขณะขบคิด ในความคิดผุดวิชาสามรูปแบบนี้ตลอด

เวลาผ่านไป พริบตาเดียวก็สามวัน

ในสามวันนี้ ซูหมิงไม่ออกไปข้างนอก อยู่แต่ในห้องหินรอยแยกชั่วคราว และคอยตรึกตรองสามรูปแบบแยกวายุ ทว่าไม่ก้าวหน้าแม้แต่น้อย ราวกับว่าผลึกแห่งผู้สืบทอดเป็นหนทางเดียวเท่านั้น นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีทางอื่นอีก

หากผสานกับผลึกแห่งผู้สืบทอดไม่ได้ เช่นนั้นสามรูปแบบแยกวายุก็จะอยู่ในความคิดปานภาพมายา สัมผัสได้ ทว่าไม่มีรูปธรรม

กระทั่งในความรู้สึกยังเลือนราง เหมือนสามรูปแบบแยกวายุถูกม่านปกคลุมไว้หนึ่งชั้น ทำให้เห็นไม่ชัด

จนกระทั่งถึงยามเที่ยงวันของสามวันให้หลัง ซูหมิงที่นั่งฌานอยู่พลันลืมตา นัยน์ตาเขาวูบไหว ก่อนยืนขึ้นสะบัดแขนเสื้อ วานรเพลิงกลายเป็นแสงสีแดงถูกดูดเข้ามา จากนั้นซูหมิงก็ทะยานออกไปปานสายรุ้งยาว เขาไม่ได้บินออกจากหุบเขาบนแผ่นดินในทันที แต่ทะยานเข้าไปยังส่วนลึก มุ่งหน้าไปอีกทางหนึ่ง

ตอนที่ทะยานไปข้างหน้า ซูหมิงสวมเสื้อคลุมสีดำทั้งตัว ทั้งยังสวมงอบปกปิดใบหน้า ทำให้มองไม่ออกในแวบแรกว่าเป็นเผ่าหมาน เขาทะยานขึ้นฟ้าด้วยความเร็วในชั่วพริบตา

ซูหมิงออกมาได้ไม่นาน ณ นอกรอยแยกที่ซูหมิงรักษาตัวอยู่หลายวันปรากฏมวลอากาศบิดเบี้ยวพร้อมกับบุคคลหนึ่งเดินออกมา เขามีสีหน้าเย็นชาอย่างยิ่ง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร เขาคือชายชราเผ่าหมานคนนั้น

เขาไล่ล่าซูหมิงเข้ามาในแผ่นดินเผ่าเชมัน ตอนนี้ผ่านมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเสียเวลาพอสมควรเพื่อสังหารชายชราเผ่าเชมันคนนั้น บวกกับก่อนหน้านี้ยังตื่นตะลึงในพลังแห่งเทพหมานของซูหมิง หน้าอกเลยถูกกระบี่ทะลวง จึงต้องเสียเวลารักษาอีกสักระยะ หากมิใช่เพราะว่ามีวิชาพิเศษตามหาซูหมิง เกรงว่าคงคลาดสายตาไปนานแล้ว

แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าทุกครั้งซูหมิงจะไหวตัวทันก่อนตลอด ครั้งแรกก็ยังพออธิบายได้ ทว่าตอนนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ชายชราจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในตัวซูหมิงต้องมีความน่าอัศจรรย์อะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้แน่

‘สมกับเป็นผู้สืบทอดเทพแท้จริง ตอนนี้แค่เซ่นไหว้กระดูกตอนกลางก็ทำให้ข้าต้องไล่ล่านานขนาดนี้ หากให้เวลาเจ้าเติบโตอีก บางทีอาจกลายเป็นนักรบขั้นวิญญาณหมานจริงๆ เดิมทีเจ้าหนีไปได้ไกลกว่านี้ แต่กลับลีลาไม่ยอมไปและรอข้าไล่ตามมา คงอยากจะดึงข้าเข้าไปในส่วนลึกของเผ่าเชมัน…หึ เจ้าก็มิใช่คนเผ่าเชมัน ทำแบบนี้ก็ไม่ส่งผลดีกับเจ้าเหมือนกัน!’

ชายชราเผ่าหมานแค่นเสียงหึ ก่อนหลับตาลงครู่หนึ่ง เหมือนมองเห็นตำแหน่งซูหมิง เมื่อลืมตาอีกครั้งก็กลายเป็นสายรุ้งยาวไล่ตามไป

ซูหมิงเหาะอยู่บนท้องฟ้า สีหน้าใต้งอบสงบนิ่ง ทว่านัยน์ตากลับมีจิตสังหาร ขั้นพลังของอีกฝ่ายสูงเกินไปจริงๆ ซูหมิงไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย หากคิดจะสังหารอีกฝ่ายโดยไม่ใช้พลังแห่งเทพหมานคงยากเกินไป

สิ่งที่ซูหมิงคิดได้คือการยืมมือเผ่าเชมันมาสังหารอีกฝ่าย!

ฉะนั้นเขาจึงบินเข้าไปยังส่วนลึกของเผ่าเชมัน เขาเชื่อว่าหากบินอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะต้องดึงดูดความสนใจของชาวเผ่าเชมันอย่างแน่นอน ส่วนตอนเผ่าเชมันมาถึงแล้วเขาจะปิดบังฐานะอย่างไรนั้น เรื่องนี้เขาเตรียมเอาไว้แล้ว

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ครึ่งบ่าย ตะวันทอแสงสุดท้าย เมื่อยามโพล้เพล้มาถึง ชายชราอยู่ห่างจากหลังซูหมิงไปสองหมื่นจั้ง

ขณะชายชราห้อเหยียดตลอดทาง ได้กินของเหลวสมุนไพรไปไม่น้อย ดีที่เตรียมมาค่อนข้างเยอะ มิเช่นนั้นคงยากจะรักษาความเร็วระดับนี้เอาไว้

ส่วนซูหมิงมีต้นกำเนิดวายุจึงรวดเร็วยิ่งนัก อีกทั้งยังกินพลังไม่เยอะ นี่คือพลังของหมานวายุ แม้ซูหมิงยังเข้าใจไม่มาก แต่ก็ถือว่าพอใช้ได้

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็กินเม็ดโอสถไปไม่น้อย เสียแต่เม็ดโอสถของซูหมิงมีมากกว่าของชายชราเยอะ ฉะนั้นด้วยความต่างกันตรงนี้ จึงทำให้ช่วงบ่ายชายชราไล่ตามมาถึงแค่สองหมื่นจั้งเท่านั้น

มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยความต่างของขั้นพลังอย่างใหญ่หลวงของทั้งสอง ซูหมิงคงหนีไม่พ้นในช่วงหลายวันนี้

ครั้นเห็นชายชราใกล้เข้ามาในระยะสองหมื่นจั้งแล้ว ซูหมิงยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง เมื่อแผ่ขยายจิตสัมผัสเสร็จก็พลันบินขึ้นสูงอีกครั้ง ด้วยความเร็วระดับนี้ พริบตาเดียวจึงขึ้นไปเหนือสวรรค์เก้าชั้น นี่เป็นจุดที่สูงสุดของท้องฟ้าและมีพายุคลั่งไร้ขีดจำกัด

ขณะเดียวกับที่ซูหมิงบินขึ้น ชายชราเผ่าหมานด้านหลังแทบจะตะโกนด่าทอ สีหน้าทะมึนทึบราวกับน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย ในใจยิ่งเกิดความรู้สึกหมดแรง

หลายวันมานี้ ทุกครั้งที่เข้าใกล้ซูหมิง อีกฝ่ายจะบินเข้าไปตรงพายุหมุนกลางสวรรค์เก้าชั้นทันใด ภายใต้พายุรุนแรงขนาดนั้น อีกฝ่ายกลับไม่ช้าลงเลย ทว่าชายชรากลับต้องชะลอตัวลง

เมื่อถูกทิ้งระยะห่างไปไกลมากแล้ว อีกฝ่ายก็จะไม่อยู่ในพายุหมุนอีก แต่กลับลงมาใหม่อีกครั้ง ส่งเสียงดังเรียกร้องความสนใจ ประหนึ่งกลัวว่าผู้อื่นจะไม่เห็น

“บัดซบ!” นัยน์ตาชายชราแฝงไว้ด้วยเพลิงโทสะ ในใจจนปัญญายิ่งนัก ขณะล่าสังหารซูหมิงเมื่อหลายวันก่อน เขาเคยใช้วิชาทำลายขั้นพลังตัวเองไปไม่น้อย ทำให้เคลื่อนที่แปดพันจั้งในชั่วพริบตาแล้วมาปรากฏกายอยู่หน้าซูหมิง เดิมทีมั่นใจว่าโจมตีครั้งเดียวก็เพียงพอ ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายต้านรับเอาไว้ แม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ทำให้ตัวเขาย่ำแย่ด้วยเช่นกัน

จากนั้นซูหมิงก็ไม่ปล่อยโอกาสให้เขาเข้าใกล้ในระยะแปดพันจั้งอีก เพียงแค่สองหมื่นจั้งอีกฝ่ายก็หนีขึ้นไปในพายุหมุนแล้ว

อีกทั้งชายชรายังไม่กล้าใช้วิชาเคลื่อนย้ายอีก วิชานี้กินขั้นพลังเขามากเกินไป และที่สำคัญที่สุดคือเขาหวาดกลัวซูหมิงยิ่งนัก

จะไล่ต่อหรือหยุดเท่านี้ เขาลังเลใจอย่างยิ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version