ตอนที่ 367 ไปไม่รอด
“สหายน้อย ข้าไม่มีเจตนาร้าย ที่ลงมือครั้งก่อนก็เพื่อรั้งเจ้าเอาไว้” ภายในชั้นพายุรุนแรง คำพูดชายชราดังแว่วเข้ามาปานเส้นเล็กถี่
“ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเผ่าหมานที่หนีทหารออกจากสนามรบ เรื่องนี้ถือได้ว่าหักหลังชนเผ่า ข้าลงมือก็เพราะเรื่องนี้! เจ้าเป็นเทพแท้จริง ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ตามข้ากลับไปเมืองหมอกนภา ข้ารับประกันว่าเจ้าจะไม่เป็นอันตราย”
ไม่ว่าชายชราจะพูดอย่างไร ซูหมิงที่อยู่ด้านหน้าห่างไปหลายหมื่นจั้งก็ไม่หันกลับมา เงียบไม่กล่าวสิ่งใด แต่ทิ้งระยะห่างมากขึ้นเรื่อยๆ
“แม้เจ้ามีพลังของเทพหมาน ทว่าดูแล้วคงไม่อยากสิ้นเปลืองโอกาสเพียงสองครั้งนี้ อีกอย่างข้าที่มานี่เป็นเพียงร่างแยก ใช้ร่างแยกสัมผัสกับพลังดัชนีแห่งเทพหมาน นั่นถือเป็นเรื่องดีสำหรับข้า” ชายชรามีสีหน้าทะมึน กล่าวต่อไม่หยุด
“เอาแบบนี้ดีกว่า ข้าจะสาบานต่อเทวรูปหมานว่าจะไม่ทำร้ายเจ้า ทว่าเจ้าต้องหยุดหนีได้แล้ว และอยู่กับข้าหนึ่งเดือน ให้ข้าศึกษาพลังแห่งเทพหมาน…เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่ให้เจ้าทำเรื่องนี้เปล่าๆ ข้ามีสมบัติล้ำค่าให้เจ้าด้วย” ชายชราจนปัญญา เขาปรารถนาพลังแห่งเทพหมานจากในใจ แต่หลังผ่านความเป็นตายครั้งก่อนมา เขาจึงหวาดกลัวซูหมิงอย่างยิ่ง
ทว่านี่ทำให้ในใจเขาขัดแย้งกันยิ่งนัก เพราะเขาเกรงกลัวพลังสองครั้งนั้นของซูหมิง มิได้สนใจตัวซูหมิงแม้แต่น้อย ความขัดแย้งนี้ทำให้เขาถูกความโลภเข้าครอบงำระหว่างลังเลว่าจะตามต่อหรือหยุดดี จนต้องต่อสู้ดิ้นรน
ตามต่อ หากบีบอีกฝ่ายมากเกินไป หากอีกฝ่ายยอมใช้หนึ่งโอกาสนั้น เช่นนั้นก็จะเห็นจุดจบเขาล่วงหน้าแล้ว
ทว่าหากไม่ไล่ตาม ก็ไล่มาไกลถึงขนาดนี้ เข้ามาในส่วนลึกเผ่าเชมันแล้ว จะยอมแพ้เช่นนี้เขาทำใจไม่ได้จริงๆ
แต่ถ้าจะตามต่อไปแบบนี้ เพราะความกลัวในใจเขา ถึงที่สุดแล้วก็ยังยากจะตามทัน เวลานานไปยิ่งเข้าไปในส่วนลึกของเผ่าเชมันเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ทำให้เขาคลุ้มคลั่ง ในใจยิ่งแค้นซูหมิงเข้ากระดูกดำ
ขณะชายชราลังเลใจและยังตามต่อไปด้วยจิตใต้สำนึก ซูหมิงที่อยู่ในลมพายุทิ้งห่างชายชราไปมากกว่าห้าหมื่นจั้งแล้ว ระยะห่างเช่นนี้เขาจึงลงมาได้อย่างปลอดภัย ส่งเสียงดังเมื่อใกล้ถึงพื้นดิน พร้อมกับห้อเหยียดต่อไป
หลังจากเป็นแบบนี้มาตลอดสองวัน แผ่นดินด้านล่างก็เริ่มมิใช่สีเทาอมดำแต่เป็นสีเขียว เห็นได้ชัดว่าเขาผ่านแดนรกร้างไร้ผู้คนมาแล้ว และค่อยๆ เข้าใกล้ชนเผ่าเชมันในแถบนี้
จนถึงตอนนี้ ในที่สุดชายชราก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด กัดฟันหยุดชะงัก จ้องซูหมิงที่ห่างไปหลายหมื่นจั้ง นัยน์ตาฉายแววเคียดแค้น ก่อนจะหมุนตัวกลับเลิกตามต่อและห้อเหยียดกลับไปทางเดิม
สุดท้ายเขาก็ถอดใจ ถึงอย่างไรการไล่ล่าแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกทั้งเขาลองพิจารณาดูแล้ว ในสภาพการณ์ลำบากสองอย่างนี้ นอกเสียว่าเขาจะทะลวงสู่ขั้นวิญญาณหมานตอนกลาง มีอิทฤทธิ์ที่แข็งแกร่งกว่านี้ บางทีอาจยังมีโอกาสเล็กน้อยที่จะสังหารก่อนซูหมิงใช้พลังแห่งเทพหมาน
ทว่าตอนนี้เขาทำไม่ได้ ถ้าจะไล่ตามต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ ไม่สู้ถอดใจเลยเสียดีกว่า
เพียงแต่ชายชราถอดใจกลับไปไม่นาน เขาก็พบว่าซูหมิงไม่หนีอีก แต่ตามอยู่ด้านหลังเขา เหมือนจะมาล่าสังหารตน
หากเพียงเท่านี้คงไม่เท่าไร เพราะเขาไม่ต้องสนใจ ปล่อยให้ซูหมิงตามอยู่อย่างนี้ก็ได้ เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่กล้ากลับเมืองหมอกนภาเป็นแน่ และอีกไม่นานก็จะจากไปเอง อีกอย่างหากไล่ตามนานไป บางทีอาจมีโอกาสได้พลังแห่งเทพหมานมาครอง
สำหรับชายชราแล้วถือว่าเป็นเรื่องดี…หากไม่นับเสียงระเบิดด้านหลังที่ต่อให้อยู่ไกลมากก็ยังได้ยิน
การไล่ตามของซูหมิงมาพร้อมกับเสียงโครมครามที่เขาตั้งใจสร้างขึ้น เสียงนั้นมาจากการที่เขาต่อยใส่มวลอากาศเป็นบางครั้ง ทำให้เสียงดังกังวานบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ที่นี่คือแผ่นดินเชมัน อีกทั้งยังห่างจากเมืองหมอกนภาค่อนข้างไกล หากชายชราเผ่าหมานระวังตัวก็ใช่ว่าจะกลับไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้ ทว่าหาก…ด้านหลังเขามีเสียงดังเช่นนี้ตลอด เช่นนั้นคงยากจะกลับไปอย่างปลอดภัย
“สมควรตาย สมควรตาย สมควรตาย!” ชายชราคลุ้มคลั่ง เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาถอดใจเลิกไล่ล่าซูหมิงแล้ว ทว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักดีเลวเช่นนี้ กลับเหมือนตามติดตัวเขา ทำให้ระหว่างทางกลับเขาต้องร้อนรนหวาดกลัวจนไม่เป็นสุข
เสียงระเบิดนั้นดังชัดขึ้นเรื่อยๆ หากไม่หยุดผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ชายชราไม่อยากจะคิด! โดยเฉพาะเมื่อหลายวันก่อนในเขตแดนนี้ ตอนเขาล่าสังหารซูหมิงก็มีเสียงระเบิดดังเช่นนี้ เกรงว่าคงจะดึงดูดความสนใจของชาวเผ่าเชมันไปแล้ว ยามนี้กลับมาอีกครั้ง หากบอกว่าไม่มีชาวเผ่าเชมันมาตรวจสอบ ชายชราจะไม่เชื่อเด็ดขาด
ชายชราทั้งคลุ้มคลั่งและปวดศีรษะ เขาหยุดชะงักอีกครั้งแล้วเปลี่ยนทิศทางมาล่าซูหมิงต่อ
ทว่าเมื่อเขาเปลี่ยนทิศทาง ซูหมิงที่อยู่ไกลออกไปก็เปลี่ยนเช่นกัน ระหว่างทั้งสองคนกลายเป็นล่าสังหารอีกครั้ง เสียงระเบิดยังคงดังอยู่ไม่หายไป
เสียงดังตูมตามนั้นประดุจเสียงตะโกนโหวกเหวก ทำให้ชายชรารำคาญยิ่งนัก อีกทั้งยังตระหนก ต่อให้เขาเป็นคนล่าสังหารก็ยังสังเกตรอบๆ อย่างตื่นตัว ด้วยกลัวว่าจะเรียกชาวเผ่าเชมันมา
สภาพจิตใจเช่นนี้เหมือนกับอยากเดินไปในค่ำคืนเงียบๆ ไม่อยากให้ใครพบ ทว่าข้างกายกลับมีเสียงดัง….
ชายชราตาแดงก่ำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกลัวนักรบขั้นเซ่นไหว้กระดูก ความรู้สึกนี้มิใช่เพราะพลังแห่งเทพหมาน แต่เพราะการกระทำของอีกฝ่าย
การกระทำแบบนี้ทำเอาเขาแทบอยากจะฉีกทึ้งเส้นผม เมื่อไล่ตามอยู่พักหนึ่ง ชายชรากำลังจะตะโกนไปอย่างหดหู่ ทว่าเขากลับหยุดเอาไว้แล้วพลันหมุนตัวกลับ ถอดใจเลิกล่าสังหารอีกครั้ง และใช้ความเร็วสูงสุดห้อเหยียดไปทางเมืองหมอกนภา
ซูหมิงที่อยู่ด้านหลังก็เปลี่ยนทิศทางอย่างไม่เร่งรีบ ตามอยู่ด้านหลังเขา คอยทำเสียงดังสะเทือนฟ้า
เขาเร็ว ซูหมิงก็เร็ว เขาช้า ซูหมิงก็ช้า หากเขาหยุด ซูหมิงก็จะหยุดเช่นกัน ระหว่างทั้งสองคนจึงห่างกันหลายหมื่นจั้งตลอด
‘ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเมื่อเรียกเผ่าเชมันมาแล้ว เจ้าจะรับมืออย่างไร เจ้าเป็นแค่เซ่นไหว้กระดูกเล็กจ้อยยังไม่กลัว ข้าจะกลัวอะไร!’ ชายชราตาแดงก่ำ
เขาถูกซูหมิงต้อนจนมุมแล้ว ยามนี้ไม่กังวลอะไรมากอีก จึงมุมานะห้อเหยียดต่อไป ราวกับว่านำความทุกข์กับความคลุ้มคลั่งในใจมาใช้กับความเร็ว
สองคนหน้าหลัง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนซูหมิงล่าสังหารชายชรา ทว่าด้วยความห่างของขั้นพลังอย่างใหญ่หลวง จึงทำให้ดูแปลกยิ่งนัก
เซ่นไหว้กระดูกตอนกลางกำลังล่าสังหารวิญญาณหมานตอนต้น…
การล่าสังหารเช่นนี้ดำเนินผ่านไปสามวัน ณ แผ่นดินเผ่าเชมัน เพราะเสียงสนั่นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงดึงความสนใจของชาวเผ่าเชมันได้ในที่สุด
ความจริงแล้วเผ่าเชมันในเขตนี้ส่วนใหญ่ไปสนามรบ ฉะนั้นในช่วงนี้จึงไม่มีใครขวางซูหมิงกับชายชรา
แต่ตอนนี้ชาวเผ่าเชมันในสนามรบยังไม่กลับมา ส่วนชาวเผ่าเชมันที่ถูกดึงความสนใจจากซูหมิงและชายชราคือ…นักรบเชมันกลุ่มใหม่ที่กำลังเดินทางไปสนามรบเมืองหมอกนภา!
จะให้กล่าวจริงๆ นี่คือชนเผ่าอพยพ นักรบในชนเผ่ารวมพลเป็นกองกำลังคอยคุ้มกันชนเผ่าและเดินหน้าต่อ ขณะเดียวกันชนเผ่านี้ต้องถูกระบุจุดหมายก่อน จากนั้นจึงแบ่งคนส่วนใหญ่ไปรวมพลกับเผ่าเชมันนอกเมืองหมอกนภา
ทั้งแผ่นดินเชมันมีชนเผ่าอพยพแบบนี้เยอะมาก เผ่าที่ซูหมิงกับชายชราเผ่าหมานพบคือหนึ่งในนั้น
ผืนเงาดำปานปกคลุมท้องฟ้านั้นแน่นขนัด มีไม่ต่ำกว่าหลายพัน ทุกเงาดำล้วนเป็นปลาชิว (ลักษณะคล้ายปลาไหล) ตัวย่อเล็กลง!
ปลาชิวว่ายอยู่ในทะเลหมอก บนหลังพวกมันล้วนมีนักรบเชมันยืนอยู่คนหนึ่ง คล้อยหลังแผ่นดินสั่นสะเทือน มีชาวเผ่าเชมันหลายพันคนเดินเท้ามา และมีสัตว์ร้ายขนาดหนึ่งพันจั้งเก้าตัวคอยคุ้มกันอยู่ด้านหลัง ลักษณะของมันเหมือนเต่า ทว่ากระดองเต่ากลับเป็นสี่เหลี่ยมเรียบ
บนหลังเต่าพิลึกเก้าตัวนั้นมีชาวเผ่าเชมันนั่งอยู่จำนวนมาก ทั้งยังมีสิ่งก่อสร้างเหมือนถูกถอนโคนขึ้นมาวางไว้ด้านบน
อีกทั้งด้านหลังยังมีฝุ่นตลบอบอวล กำลังพลยาวมองไม่เห็นสุดปลาย เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การอพยพของชนเผ่าเล็ก นี่คือชนเผ่าเชมันที่ค่อนข้างใหญ่!
ชนเผ่าแบบนี้จะต้องมีผู้แข็งแกร่งเชมันระดับปลายอยู่แน่ แทบจะเป็นช่วงที่ซูหมิงกับชายชราเหมือนล่าสังหารกัน พวกเขาสังเกตเห็นชาวเผ่าเชมันมืดฟ้ามัวดินนี้ ขณะเดียวกันเผ่าเชมันก็เห็นซูหมิงกับชายชราเผ่าหมานอยู่ไกลๆ เช่นกัน
ความจริงแล้ว ชาวเผ่าเชมันกลุ่มนี้ได้ยินเสียงโครมครามก่อน จากนั้นจึงหันไปมองด้วยตาตัวเอง ช่วงที่เห็นแวบแรก คนส่วนใหญ่ต่างมองชายชราเผ่าหมาน เพราะบุคคลนี้มีขั้นพลังแข็งแกร่ง ซ้ำยังไม่ปิดบังใบหน้าแม้แต่น้อย ในสายตาของเผ่าเชมันเขาคือเผ่าหมาน!
อีกทั้งเขากำลังหนี! กำลังหนีบนแผ่นดินเผ่าเชมัน นี่เป็นสิ่งที่ตรงกับหลักความเป็นจริง และขณะเดียวกันคนที่ล่าสังหารเขาจะต้องเป็นศัตรูอย่างแน่นอน เมื่ออยู่ในแผ่นดินเผ่าเชมัน ศัตรูของเขาก็ต้องเป็นชาวเผ่าเชมัน
อีกอย่างซูหมิงสวมงอบ แทบทันทีที่จิตสัมผัสสังเกตเห็นชาวเผ่าเชมันกลุ่มนี้ เขาหยิบโอสถชิงวิญญาณขึ้นมาหนึ่งเม็ด มิได้ให้หมุนวนรอบตัวเขา แต่กำเอาไว้ในมือ ต่อให้เป็นอย่างนั้น แสงทึบกับแรงดึงดูดพิเศษจากเม็ดโอสถก็ยังแผ่กระจายไป ทำให้มวลอากาศรอบตัวซูหมิงบิดเบี้ยว มองแวบแรกซูหมิงจะคล้ายกับเด็กชายผู้ดูดวิญญาณตอนนั้นอยู่บ้าง
บวกกับเสียงแหบแห้งเล็กน้อยและแฝงไว้ด้วยความเย็นชาของซูหมิง…
“ด้านหลังเป็นสหายจากเผ่าใด ข้าโม่ซู ผู้ดูดวิญญาณเชมันระดับกลางแห่งเผ่าเชมันกิ้งก่า ขอให้เผ่าของท่านโปรดช่วยข้าสังหารบุคคลนี้ด้วย! เขาเป็นผู้แข็งแกร่งเผ่าหมาน ขั้นวิญญาณหมานตอนต้น!”
พอได้ยินดังนั้น ชายชราเผ่าหมานที่กำลังหนีอย่างร้อนรนแทบจะกระอักเลือด ขณะห้อเหยียดเขาไม่มีเวลากล่าว รีบหนีไปพร้อมก่นด่าในใจ
‘คิดว่าเผ่าเชมันพวกนั้นเป็นคนตาบอดรึ ผู้ดูดวิญญาณเชมันระดับกลาง…หา?’ เสียงในใจพลันติดขัด