ตอนที่ 373 นกกระเรียนกระดาษ
“ตอนนี้เจ้ารู้รึยังว่าข้ามีอะไรมาขู่เจ้า” น้ำเสียงซูหมิงเย็นชา กล่าวอย่างเนิบช้า
สีหน้าหญิงชราเปลี่ยนอย่างเร็ว ภายใต้แรงกระแทก ตัวนางถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว หรี่ม่านตาลงจ้องนิ้วชี้มือขวาซูหมิง พลางสูดลมหายใจเข้าลึก
“พลังแห่งเทพหมาน…”
พลังนี้เพียงปรากฏก็พลันหายไปทันที ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เส้นผมตรงนิ้วชี้ซูหมิงก็หยุดการเผาไหม้เอง
ขณะเดียวกัน แรงกระแทกโดยรอบก็หายไป ไม่มีพลังสุดท้าย เส้นผมสยายของซูหมิงตกลง ชายเสื้อไม่สะบัดขึ้นอีก ทว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นกลับเหมือนภูเขาลูกหนึ่ง ยามนี้จ้องหญิงชราด้วยสีหน้าเย็นชา แม้เส้นผมตรงนิ้วจะไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายพลังเหมือนเมื่อครู่แม้แต่น้อย แต่พลานุภาพช่วงปะทุก็ทำให้หญิงชราหายใจกระชั้น
นางจ้องนิ้วชี้มือขวาซูหมิงเขม็ง เมื่อครู่ใช่ว่านางจะไม่ทันสังเกตนิ้วนั้น ทว่าในความรู้สึกนางไม่เห็นเงื่อนงำอะไร และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นางดูถูกพลังแห่งเทพหมานเล็กน้อย
ถึงอย่างไรนางก็เป็นเผ่าเชมัน ไม่ใช่เผ่าหมาน จึงไม่ยอมรับเทพหมาน
นางเชื่อมั่นว่าพลังทุกอย่างต้องพึ่งตัวเองฝึกฝนมา ต่อให้พลังจากภายนอกจะแข็งแกร่งกว่านี้ก็ยังเป็นพลังภายนอกวันยังค่ำ ด้วยศักยภาพเชมันระดับปลายอย่างนาง นางไม่คิดว่าพลังภายนอกที่แม้แต่นักรบหมานเซ่นไหว้กระดูกผู้อ่อนแอยังครอบครองได้ จะสามารถสังหารตนในชั่วพริบตา
ทว่ายามนี้ นางมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตรงหน้าผาก เมื่อครู่นี้นางเห็นพลังแห่งเทพหมานวูบเดียว ในใจยังรู้สึกตื่นกลัวจนไม่เป็นสุข
ภายใต้กลิ่นอายพลังนั้น แม้แต่ความคิดต่อต้านยังไม่อาจบังเกิด ดุจถูกระงับเอาไว้อย่างสมบูรณ์ ความคิดขาวโพลน นางไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยว่าหากซูหมิงคิดจะสังหารตน นางต้องตายด้วยนิ้วนั้นอย่างแน่นอน
“ท่านยาย ให้เขาไปเถอะ” ช่วงที่หญิงชราตื่นตะลึงแล้วซูหมิงมองนางด้วยความเย็นชา สายตาเป็นประกายวูบวาบ โดยรอบตกเข้าสู่ความเงียบ มีน้ำเสียงสุภาพของสตรีดังก้องจากในความเงียบนี้
สตรีชุดขาวผู้หนึ่งเดินมาจากไกลๆ ทีละก้าว เข้ามายืนอยู่ข้างหญิงชรา
สตรีผู้นี้มีใบหน้างดงามยิ่งนัก เส้นผมสลวยพาดบ่า นางยืนอยู่ตรงนั้นประดุจสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง
นางก็คือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าทะเลใบไม่ร่วง…หวั่นชิว
ซูหมิงกวาดสายตามองสตรีชุดขาว ไม่กล่าวอะไร แต่ถอยไปหลายก้าว แล้วเคลื่อนตัวกลายเป็นสายรุ้งยาวขึ้นสู่ท้องฟ้ามืดมิด พริบตาเดียวก็ค่อยๆ หายไป
จนกระทั่งซูหมิงจากไปแล้ว หญิงชรายังคงหน้าซีดเล็กน้อย กระแสพลังแห่งเทพหมานเมื่อครู่นี้สร้างความกระทบกระเทือนและความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนให้แก่นาง
“เป็นหวั่นชิวที่โง่เขลาเอง ท่านยาย” สตรีใบหน้างามขมวดคิ้วกล่าวเสียงเบา ในใจยังตื่นตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสพลังแห่งเทพหมาน ใจสั่นสะท้านเช่นกัน
หญิงชราเงียบงัน จากนั้นส่ายศีรษะ
“พลังแห่งเทพหมานไม่ธรรมดา เป็นข้าที่ดูถูกเขา เรื่องนี้ต่อให้เจ้าไม่ขอร้องข้าก็จะทำเช่นนั้น หากได้สัมผัสกับพลังแห่งเทพหมาน บางทีมันอาจช่วยท่านจงเจ๋อทะลวงขั้นพลังได้ ทุกอย่างเมื่อครู่นี้เจ้าเก็บเอาไว้รึยัง?” หญิงชรามีสีหน้าซับซ้อนอยู่บ้าง มองทิศที่ซูหมิงจากไปแวบหนึ่ง
สตรีนางนั้นพยักหน้าเบาๆ ยกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏกระจกโบราณขนาดเท่าฝ่ามือ บนกระจกมีหมอกลอยอบอวล เมื่อนางใช้มือซ้ายสัมผัส หมอกนั้นพลันถูกสูบเข้าไปในกระจกจนหมด แล้วเปล่งแสงเส้นหนึ่งมาจากในนั้น ทำให้มวลอากาศโดยรอบบิดเบี้ยว
จากนั้นในอากาศที่บิดเบี้ยวมีภาพมายาปรากฏอย่างชัดเจน และลอยขึ้นมาทีละภาพ ในภาพเหล่านั้นคือช่วงที่ซูหมิงกำลังลงมือกับหญิงชราแล้วหยุดเอาไว้ ใช้เพียงพลังฟ้าดินเท่านั้น
มันสมจริงราวกับมีชีวิต กระทั่งอำนาจของพลังแห่งเทพหมานยังถูกเก็บเอาไว้อย่างชัดเจน
“น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์กับซูหมิงผู้นี้ จากนี้ไปคงยากจะมองหน้ากันติดอีก อีกทั้งยังต้องรับเพลิงโทสะของประมุขเชมัน…” สตรีชุดขาวกล่าวเสียงเบา
“ซูหมิงอ่อนแอจนไม่มีค่าพอให้สนใจ หากเขาไม่มีพลังแห่งเทพหมานก็เป็นแค่มดปลวกเท่านั้น ไม่ต้องสานสัมพันธ์กับเขาหรอก อีกอย่างไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยใช้พลังพยากรณ์หรอกรึ อนาคตเขาจะราบเรียบไปชั่วชีวิต ไม่มีจุดโดดเด่นแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีชีวิตสั้น สิ่งที่ต้องสนใจอย่างเดียวคือโทสะของประมุขเชมัน…
ทว่ามีสิ่งนี้อยู่ หากช่วยให้ท่านจงเจ๋อทะลวงขั้นพลังก็ถือว่าคุ้มค่า!” นัยน์ตาหญิงชราขยับประกาย กล่าวขึ้นช้าๆ
จนถึงตอนนี้นางยังไม่ค่อยสนใจซูหมิงเลย สิ่งที่นางสนใจคือพลังแห่งเทพหมานที่ทำให้นางรู้สึกถึงความตาย ในความคิดนาง หากไม่มีพลังแห่งเทพหมาน ซูหมิงก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวก
“ทว่าท่านยาย ตอนที่ซูหมิงใช้พลังแห่งเทพหมานเมื่อครู่ ในสัมผัสข้าเกิดระลอกคลื่น บางทีซูหมิงอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าเคยพยากรณ์ แต่…”
สตรีชุดขาวขมวดคิ้วแน่น
“อืม?” หญิงชราตะลึง ก่อนที่นางจะมาขวางซูหมิงก็เคยเห็นหวั่นชิวพยากรณ์อนาคตของเขาด้วยตาตัวเอง
ขั้นตอนราบรื่นยิ่งนัก มองเห็นอนาคตของซูหมิงอย่างค่อนข้างทะลุปรุโปร่ง บุคคลนี้จะเรียบง่ายธรรมดาไปชั่วชีวิต ขั้นพลังจำกัดอยู่ที่เซ่นไหว้กระดูกตอนกลาง อีกทั้งยังจะตายในภัยพิบัติแดนรกร้างบูรพาในอีกหลายปีให้หลัง
ทว่าตอนนี้ พอได้ยินหวั่นชิวกล่าวอย่างลังเลก็อดประหลาดใจขึ้นมามิได้
“บุคคลนี้แปลกมาก ตอนข้าพยากรณ์ทุกอย่างก็ราบรื่นดี ต่อให้ตอนนี้พยากรณ์อีกครั้งก็ยังราบรื่นเช่นกัน และมีคำตอบที่เหมือนกันอีก แต่ตอนเขาใช้พลังแห่งเทพหมาน ภายใต้พลังฟ้าดินอันแกร่งกล้า ข้าอยู่ไกลๆ ใจก็ยังรู้สึกว้าวุ่น เลยพยากรณ์อีกครั้ง ทว่าสิ่งที่เห็นกลับขมุกขมัว กระทั่ง…ไม่เห็นอะไรเลย ทั้งยังรู้สึกถึงภยันตราย”
สตรีชุดขาวขมวดคิ้ว หลับตาลง ราวกับกำลังสัมผัสอะไรบางอย่าง
“หากไม่ใช่ว่าข้าคิดไปเอง อนาคตของคนผู้นี้น่าจะถูกพลังที่แก่กล้ารบกวนและปกปิดเอาไว้ ตั้งใจให้คนอื่นเห็นอีกแบบหนึ่งที่ไม่ใช่ของจริง! หากเป็นเช่นนั้น บุคคลนี้…บางทีพวกเราไม่ควรจะล่วงเกิน…” หวั่นชิวลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววเหนื่อยล้าและสับสน
“ช่างเถอะ ไม่ต้องสนใจแล้ว ข้าว่าซูหมิงไม่ใช่อย่างที่เจ้าว่าหรอก เขาก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น” หญิงชราเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเนิบนาบ
“ไปเถอะ ตามข้าไปพบท่านจงเจ๋อ” ขณะหญิงชรากล่าวก็หมุนตัวจากไป หวั่นชิวยืนอยู่ตรงนั้น มองไปทางที่ซูหมิงหายลับ ใบหน้างามยังคงขมวดคิ้ว ไม่ได้พยากรณ์อีก แต่ตามหญิงชราไป
ยามนี้ในกำแพงหมอกนภา บนแผ่นดินของเผ่าหมาน ตรงจุดที่ไกลกว่าเผ่าแดนภูต สุดปลายหิมะเงินหมื่นลี้ ที่นั่นมีชนเผ่าใหญ่ยักษ์ที่เหมือนไร้พรมแดนอยู่หนึ่งแห่ง
ความใหญ่ของชนเผ่านี้ปกคลุมกว้างใหญ่ พบเห็นได้ยากในแดนอรุณใต้!
ที่นี่ก็คือหนึ่งในสองเผ่าหมานใหญ่ในแดนอรุณใต้ เผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์!
ยามนี้ ภายในพื้นที่ของเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ ในหอหรูหรายิ่งหลังหนึ่ง มีบุคคลหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ บุคคลนี้สวมเสื้อยาวสีฟ้า เส้นผมขาว รูปร่างซูบผอม กำลังหลับตานั่งฌาน
ผ่านไปพักใหญ่ ชายชราค่อยๆ ลืมตาขึ้น ช่วงที่เขาลืมตา ร่างกายเขาพลันเกิดระลอกคลื่นบิดเบี้ยว ทั้งตัวขมุกขมัวอย่างรวดเร็ว ราวกับบนร่างขมุกขมัวของเขาตอนนี้ปรากฏเงาร่างคนอีกคนหนึ่ง
นั่นเป็นเงารางคนสวมชุดคลุมจักรพรรดิ สวมมงกุฎจักรพรรดิ แม้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด กลับมองออกว่าไม่ใช่ชายชรา แต่เป็นชายวัยกลางคน
บุคคลนี้มีดวงตาลุ่มลึก สายตาประดุจมองทะลุหอหลังนี้ ข้ามผ่านมวลอากาศไปไกลไร้พรมแดน ก่อนไปยังที่ตั้งชนเผ่าชั่วคราวทะเลใบไม้ร่วงในแผ่นดินเชมันอันห่างไกล หยุดลงบนร่างของหวั่นชิวที่กลางชนเผ่า
“จิตพยากรณ์แห่งเผ่าเชมัน…ไม่อยากเชื่อว่าความสามารถพิลึกเช่นนี้จะมองเงื่อนงำบางอย่างออกภายใต้การรบกวนของข้า…ทว่าในเมื่อเจ้าไม่สืบสาวราวเรื่อง ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า!” ชายสวมมงกุฎจักรพรรดิพึมพำกับตัวเองเบาๆ ยกมือขวาขึ้น ปรากฏนกกระเรียนกระดาษในมือ นกตัวนี้บินออกหน้าต่างขึ้นท้องฟ้า หลังจากหายไปในบนสวรรค์เก้าชั้นแล้ว ชายผู้นี้ก็หลับตาลง
ทันทีที่เขาหลับตา มวลอากาศขมุกขมัวบิดเบี้ยวพลันหายไป กลับมาเป็นชายชราผมขาวเสื้อยาวสีฟ้า รูปร่างซูบผอมอีกครั้ง ไม่มีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย
เหนือสวรรค์เก้าชั้น นกกระเรียนกระดาษบินออกจากเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ รอบตัวมันมีระลอกคลื่นแผ่กระจาย พริบตาเดียวก็ค่อยๆ หายไป แล้วมาปรากฏตัวอยู่เหนือเมืองหมอกนภาอันห่างไกล
การต่อสู้นอกเมือง บ้างก็ยังมีการต่อสู้กันกลุ่มเล็กๆ หลังจากเผ่าเชมันรวมพลเป็นกองทัพใหญ่ เผ่าหมานก็มีนักรบจากแต่ละชนเผ่ามาทุกวัน กลายเป็นพลังลูกใหม่ปกป้องเมืองหมอกนภา
แผ่นศิลายักษ์ในเมืองดูเด่นตาอย่างยิ่ง รายชื่อบนนั้นล้วนเป็นที่จดจำของผู้คน มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่เคารพนับถือ
มีอยู่ชื่อหนึ่งที่ตอนนี้ติดอันดับหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกว่า นามว่าเยวี่ยเฟิง เป็นผู้มีชีวิตรอดจากเผ่าเล็กเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้
นกกระเรียนกระดาษอยู่บนท้องฟ้า ราวกับไม่มีใครสังเกตเห็น มันกระพือปีกแล้วหายไปอีกครั้ง ก่อนมาปรากฏอยู่ตรงชายแดนแผ่นดินใหญ่อรุณใต้ เป็นจุดที่ทะเลมรณะลุกลามเข้ามา
ผิวทะเลมีลูกคลื่นยักษ์ ในทะเลมีเงามืดว่ายไปมาจำนวนมาก น้ำทะเลจมเทือกเขาขั้นบันไดแห่งนี้แล้ว และกำลังขึ้นไปยังแผ่นดินเชมันทีละนิด
ในก้นทะเลสีดำห่างไกล จะเห็นรางๆ ว่ามีศีรษะยักษ์อยู่หนึ่งหัว เผยดวงตาสองข้าง มองแผ่นดินอรุณใต้อย่างเย็นชา
นกกระเรียนบนท้องฟ้าทะยานอีกครั้ง ทว่าก็ยังหายวับมาปรากฏตัวบนทะเลมรณะเหมือนเดิม เพียงแต่ตรงนี้ห่างจากอรุณใต้ไกลโข
ทะเลด้านล่างมองไปไร้พรมแดน ท้องน้ำกระเพื่อมเบาๆ บ้างครั้งจะมีมังกรน้ำขนาดหมื่นจั้งกระโดดขึ้นมาจากทะเล แผดเสียงคำรามว่ายไปมา…หากมองอย่างละเอียด จะเห็นว่าบนและใต้ผิวทะเลมีสัตว์แห่งทะเลมรณะอยู่นับไม่ถ้วน พวกมันกำลังมุ่งหน้าไปทางแดนอรุณใต้!
บนทะเลมีวัตถุยักษ์ลอยอยู่ ดูเหมือนกับพระราชวังบางแห่งถล่มจนเหลือเพียงมุมเดียว มันไหลไปตามคลื่นทะเล มุ่งหน้าไปทางแดนอรุณใต้ ด้านหลังมีซากพระราชวังแบบนี้จำนวนมาก…ในนั้นมีซากแบบนี้อยู่หนึ่งส่วน ติดป้ายเอาไว้เป็นตัวอักษรหลายตัว
‘วังสวรรค์ต้าอวี๋’
ตัวอักษรเผยความเก่าแก่…โดยรอบซากวังเหล่านั้น นอกจากสัตว์แห่งทะเลมรณะจำนวนมากบนผิวทะเลแล้ว ยังมีศีรษะเผยดวงตาโผล่เหนือน้ำอีกเจ็ดแปดตัว ราวกับว่ามีคนยักษ์กำลังเดินอยู่ใต้ทะเล
บนท้องฟ้า นกกระเรียนกระดาษหายวับไปอีกครั้ง ครั้งนี้มันมาปรากฏอยู่บนแผ่นดินที่ไกลกว่าแดนอรุณใต้…
บนแผ่นดิน ตรงจุดที่ติดกับทะเลมรณะ มีผู้คนนับล้านคนอยู่กันแน่นขนัด พวกเขาล้วนนั่งขัดสมาธิปกคลุมในพื้นที่กว้างใหญ่ มองไม่เห็นสุดปลาย
สายตาพวกเขามองไปทางใต้ นั่นคือแดนอรุณใต้!
“ยังเหลืออีกสิบปี…”
นกกระเรียนกระดาษขยับแสงอีกครั้งก่อนหายวับไป ตอนที่ปรากฏตัวยังอยู่บนแผ่นดินรกร้างบูรพา ทว่ากลับอยู่ทางตะวันออกของแดนรกร้างบูรพาแทน
ทั้งแผ่นดินแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยหมอกดำ ในนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ มีเพียงเสียงร้องโหยหวนดังก้องตลอดทั้งปี ช่วงที่นกกระเรียนกระดาษปรากฏ พลันมีมือยักษ์ข้างหนึ่งพุ่งมาจากหมอกดำ คว้านกกระเรียนกระดาษเอาไว้
“สำนักซ่อนมังกร สำนักชุมนุมเซียน ข้าเทียนหลันเต้ามาแล้ว!”
