Skip to content

สู่วิถีอสุรา 399

ตอนที่ 399 ของศักดิ์สิทธิ์เผ่าหมาน

หลังจากชายชราตายลง ง้าวยาวสีทองแดงค่อยๆ หมุนตัว แผ่ขยายจิตสัมผัสเป็นวงกว้างโดยมีตรงนั้นเป็นศูนย์กลาง แสงในระยะอบอวลถึงเมืองหมอกนภาในชั่วพริบตา ครู่เดียวก็กระจายถึงแดนอรุณใต้ ทุกมุมเหนือใต้ออกตก ปกคลุมทั้งดินแดน!

ยามนี้ในแดนอรุณใต้ คนนอกเผ่าแทบทุกคน ไม่ว่าจะขั้นพลังใดก็ล้วนใจสั่นไหว ต่อให้เป็นชายชราในเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ก็เช่นเดียวกัน

ความแข็งแกร่งของเผ่าเซียนจะมีประโยชน์อะไรอีก ตอนนี้เมื่อง้าวยาวมาเยือน ก็ไม่มีใครกล้าแสดงกลิ่นอายพลังแม้แต่น้อย ความน่ากลัวและตึงเครียดในแววตาของทุกคนเป็นประจักษ์พยานถึงความแข็งแกร่งของง้าวในช่วงหลายปีก่อน เพียงพอจะเป็นพยานว่าบนเผ่าหมาน คนนอก….สุดท้ายก็ยังคงเป็นคนนอก!

ง้าวยาวเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ บนท้องฟ้า หลังแผ่ขยายจิตสัมผัสแล้วก็มีเสียงอื้ออึงดังมาจากตัวมัน เสียงนี้ทะลวงผ่านอากาศไปในชั่วพริบตา ก้องกังวานฟ้าทั้งแดนอรุณใต้ปานยั่วยุ

ราวกับว่ามันกำลังท้าทายเผ่าเซียนทุกคนที่หลบซ่อนอยู่ในแดนอรุณใต้ ดูว่าจะมีเผ่าเซียนคนใดกล้าเผยพลังหรือไม่!

“ความแข็งแกร่งเช่นนี้…..” จุดหมายของซูหมิงที่เผ่าหมานมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า บนที่ราบนอกภูเขาแห่งการมาเยือนของเผ่าเซียน มีชายชรายืนอยู่สี่คน สี่คนนี้ล้วนใบหน้าซีดขาว เงยหน้ามองท้องฟ้า ท่าทางดูตื่นกลัว

หลังจากสังเกตเห็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้า พวกเขาก็เคลื่อนไหวทันที ทว่าการเดินทางตอนนี้กลับต้องเดินเท้า ไม่กล้าบินต่อไป

“นี่คือ…..ความน่ากลัวของเผ่าหมาน ความลับของเผ่าหมาน!”

“มิน่าเจ้าสำนักถึงสนใจเผ่าหมานยิ่งนัก อีกทั้งยังกำชับให้พวกเราห้ามปล่อยพลังเซียนมากเกินไป หากจะปล่อยจริงๆ ก็ต้องมีหญิงแห่งโชคชะตาปกปิดท้องนภาเผ่าหมานอยู่ด้านข้าง….”

“ข้าเห็นมันครั้งที่สามแล้ว ก่อนพวกเจ้ามาเยือน ข้าเคยเห็นมาแล้วสองครั้ง ทุกครั้งจะมีสหายที่ไม่เชื่อในความลึกลับของที่นี่ แสดงขั้นพลังและนำมาซึ่งภัยพิบัติแห่งความตาย”

ใต้เมืองหมอกนภา แม้แต่บรรพบุรุษเทียนหลันยังมีสีหน้าตึงเครียด อีกสองคนใบหน้าไร้เลือดฝาด รีบปกปิดขั้นพลังทั้งหมด นัยน์ตาฉายแววตื่นกลัว

“ไม่อยากเชื่อว่าเผ่าหมานจะมีอาวุธทรงพลังเช่นนี้…การโจมตีเพียงครั้งเดียวของมันเทียบได้กับจุดสูงสุดของก้าวที่สอง เกรงว่าแม้แต่พวกเจ้าสำนักมาเยือนก็คงยากจะหนีรอดจากอาวุธสังหารนี้! ขะ….ของวิเศษนี้มันสุดยอดจริงๆ!”

“นี่มันแดนอะไรกันแน่ เพียงของชิ้นเดียวกลับทรงพลังถึงเพียงนี้! เผ่าหมานอ่อนแอ เผ่าเชมันยิ่งไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง ทว่าเหตุใดโลกที่อ่อนแอแบบนี้ถึงมีของวิเศษเช่นนี้ได้!”

“หรือว่าจะเป็นสาเหตุที่เจ้าสำนักกับพวกผู้อาวุโสสนใจเผ่าหมานมาก? ที่นี่น่ากลัวเกินไป ข้านึกไม่ออกเลยว่าเผ่าหมานที่อ่อนแอ เหตุใดถึงมีของวิเศษที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกระดับนี้! อีกทั้งมันยังมีสติปัญญา มัน…มันเป็นของใคร?”

“หรือว่าจะเป็น….เทพหมานรุ่นหนึ่ง! เจ้าคนที่กดขี่เผ่าเซียนเราเยี่ยงทาส เป็นประวัติศาสตร์น่าอัปยศของเผ่าเซียนเรา ทำให้ชาวเผ่าเซียนตายไปเจ็ดส่วน ผู้แข็งแกร่งเผ่าเซียนในตอนนั้นหากจะก่อตั้งสำนักขึ้นก็ต้องมาเผ่าหมานเพื่อกราบไหว้เขา แล้วถึงจะได้รับอนุญาตให้เปิดสำนัก!”

“สหายเทียนหลัน แดนอรุณใต้มีสิ่งนี้ เช่นนั้นแดนเผ่าหมานอื่นๆ ก็มีของวิเศษเช่นนี้เหมือนกันใช่หรือไม่!”

เพราะการปรากฏของง้าวยาว จึงทำให้คนในวังใต้ดินจิตใจสั่นไหว ผ่านไปพักใหญ่บรรพบุรุษเทียนหลันก็กล่าวเสียงเบา

“อีกสามแผ่นดินก็มีของศักดิ์สิทธิ์เผ่าหมานแบบนี้เหมือนกัน ทว่าเทียบกับพวกมันแล้ว สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ คือของประจำเผ่าหมานในราชวงศ์ต้าอวี๋…..ยอดหม้อฮวง สิ่งนี้ถูกเรียกว่าของประจำเผ่า พวกเจ้าคิดเอาว่ามันจะแกร่งขนาดไหน!”

นอกจากวังใต้ดินเมืองหมอกนภาแล้ว เผ่าเซียนบนแผ่นดินเผ่าหมานยามนี้ล้วนเงียบต่อเสียงอื้ออึงอันเป็นการยั่วยุจากง้าวยาว ไม่กล้าเผยพลังเซียนแม้แต่น้อย

เมื่อเผชิญหน้ากับของศักดิ์สิทธิ์เผ่าหมานที่สังหารพวกเขาได้ในเพียงครั้งเดียว ทุกคนล้วนเกิดความกลัวในใจ ของวิเศษประเภทนี้ ต่อให้อยู่ในเผ่าเซียนของพวกเขาก็ยังเป็นของหายากยิ่ง การจะกำราบมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ยามนี้เสียงหึ่งอื้ออึงก้องกังวาน เผ่าเซียนทั้งแดนอรุณใต้เงียบเป็นเป่าสาก นอกจาก…ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมและมงกุฎจักรพรรดิบนท้องฟ้าที่กำลังเดินมาจากเมืองหมอกนภา

บุคคลนี้ใบหน้าไร้อารมณ์ ในตัวเขาไม่มีพลังเซียนเผยออกมาแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่มีสติปัญญา มีเพียงสัญชาตญาณเท่านั้น เพราะไม่มีสติปัญญา ฉะนั้นเสียงอื้ออึงยั่วยุก็ดี แรงกดดันบนท้องฟ้าก็ดี เขาจึงไม่สนใจเลยสักนิด

เพราะมีเพียงสัญชาตญาณ ฉะนั้นขณะเดินทางพลังเซียนจึงปรากฏไม่ชัดนัก อีกทั้งไม่รู้ในตัวเขามีอะไร เมื่อจิตสัมผัสของง้าวยาวผ่านตัวเขากลับประดุจมองไม่เห็น เหมือนกับม่านไร้รูปเหนือศีรษะชายชราที่เพิ่งตายไป

หลังจากมันบินมาสักระยะ ง้าวยาวบนท้องฟ้าก็ไม่ส่งเสียงท้าทายอีก แต่กลับมาอยู่ตรงนอกรอยแยกบนท้องฟ้า ค่อยๆ หายไปด้านใน จากนั้นรอยแยกก็ปิดตาม แรงกดดันหายไป ฟ้าดินกลับคืนสภาพเดิม

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ เผ่าเซียนในแดนอรุณใต้ก็ยังใจสั่นไหว หลังจากนี้อีกนาน จะทำอะไรคงต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง

ซูหมิงเงยหน้าขึ้น ยังคงมองง้าวยาวจนกระทั่งมันหายไป นัยน์ตาเขาฉายแววประหลาดใจ สุดท้ายกลายเป็นถอนหายใจและเสียดาย

‘น่าเสียดาย…ข้ากำราบสิ่งนี้ไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้ว…’ ซูหมิงผมแดงส่ายศีรษะ หมุนตัวไปมองสตรีผมยาวอีกด้าน

หญิงคนนี้ปล่อยพลังเซียนน้อยนิดมาโดยตลอด ส่วนวิชาปกปิดนภาเผ่าหมาน ส่วนใหญ่ก็ใช้โลหิตในขวด ฉะนั้นแม้ง้าวยาวจะปรากฏ แม้จะสังหารชายชรา ทว่ากลับไม่สนใจนาง

ยามนี้นางมองซูหมิงเช่นกัน ตัวสั่นเทาอยู่กลางอากาศ เมื่อมองตาซูหมิงแล้วก็หลบสายตาไป

ซูหมิงมีสีหน้าเย็นชา เดินไปหานางทีละก้าว

สตรีผมยาวหน้าซีดขาว ถอยหลังไปอีกหลายก้าว แต่ในใจกลับตัดสินใจอย่างเด็ดขาด หยุดถอยและเงยหน้าขึ้นมองซูหมิงอย่างดื้อรั้น

ซูหมิงเดินมาอยู่ตรงหน้านาง เมื่อกวาดสายตามองรอบหนึ่งแล้วก็ใช้เล็บนิ้วชี้มือขวากดตรงระหว่างคิ้วนาง ผ่านไปพักใหญ่จึงลดมือลง

“เดิมทีควรจะสังหารเจ้า ทว่าเจ้าพอจะตรงกับความต้องการข้าบ้าง ข้าจึงจะไว้ชีวิต” ซูหมิงกล่าวเนิบช้าก่อนสะบัดชายเสื้อ พลันเกิดพายุสีแดงม้วนสตรีผมยาวรวมถึงซูหมิงตรงไปยังเส้นขอบฟ้าและหายลับไป

ห่างจากภูเขาแห่งการมาเยือนที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าไปหลายหมื่นลี้ มีป่าเขาแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในแดนเชมัน เหตุที่มันโด่งดังก็เพราะความสวยงาม

มันเป็นป่าเขาสีแดงเพลิง ใบไม้สีแดงมีความพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นฤดูใด ที่นี่จะเป็นสีแดงทั้งผืน ขณะใบไม้สีแดงทั้งผืนป่าสั่นไหว หากมองไกลๆ จะเหมือนเปลวเพลิงลุกโชติช่วง

ยามนี้มีสายลมพัดผ่านใบไม้สีแดงเกิดเสียงดังซ่าๆ มาพร้อมกับความเย็นเล็กน้อย ทั้งยังมีใบไม้บางส่วนถูกลมพัดขึ้น ลอยล่องไปตามลม

บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้สีแดงเช่นกัน มีบางส่วนแห้งปกคลุมอยู่บนพื้น ทำให้คนที่เดินผ่านประหนึ่งเดินอยู่กลางเพลิง

ซูหมิงผมแดงกับสตรีมาถึงที่นี่เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน ท่ามกลางสายลมและเสียงซ่าๆ ของใบไม้ ใบไม้โดยรอบปานหมอกสีแดง หมุนวนก่อขึ้นเป็นลูกใบไม้ยักษ์ แล้วสงบลงตรงใจกลางป่าเขา

จนกระทั่งตะวันลาลับเส้นขอบฟ้า แสงยามโพล้เพล้ทำให้สีแดงเพลิงของที่นี่ย้อมสีทอง ดูเต็มไปด้วยความงามที่แตกต่างกัน ลูกกลมใบไม้ในป่านั้นค่อยๆ สลายไป

ซูหมิงเดินออกมาจากในนั้นทีละก้าว

เส้นผมเขากับใบไม้ที่นี่ราวกับผสานเข้าด้วยกัน ต่อให้มีใบไม้ร่วงบนศีรษะ มองแวบแรกก็ยังแยกไม่ออก สีแดงของอาภรณ์เขาก็เช่นกัน เขาที่เดินมาจากในใบไม้ราวกับบุตรที่เกิดจากป่าเขาแดงเพลิง

ใบหน้าเขาซีดขาวขึ้นอีกแต่มีเลือดฝาด อีกทั้งริมฝีปากยังกลับมามันวาวปกติ มีเพียงตราประทับดอกท้อตรงระหว่างคิ้วที่เด่นชัดยิ่งขึ้น

ด้านหลังซูหมิงในใบไม้ร่วงโรย มีสตรีนั่งขัดสมาธิอยู่ผู้หนึ่ง เส้นผมยาวพาดบ่า ยามนี้นางลืมตามองซูหมิงอยู่ไกลๆ ความสับสนใจแววตาเข้มข้นขึ้น เสื้อผ้านางยังอยู่ครบ มีเพียงใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย

“ข้ารอคอยวันนี้มาโดยตลอด…ตัวข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ….ข้าอยากเห็นซู่มิ่งตรงนี้…..เจ้าเป็นเขา ทว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่ง…..เจ้ายังไม่ตื่น…..” นางกล่าวพึมพำด้วยสีหน้าเหม่อลอย ตรงหน้านางราวกับย้อนเวลาไปเมื่อหนึ่งร้อยแปดสิบปีก่อน นางยังเป็นหญิงอ่อนแอขี้ขลาดที่มีคุณสมบัติฝึกเซียนจากตระกูลเล็กๆ แห่งหนึ่ง

ภายใต้การนำของคนในสำนัก นางกับสหายร่วมสำนักหนึ่งร้อยกว่าคนมาที่นี่พร้อมกัน ที่นั่น นางเห็นคนผู้หนึ่ง….

ขณะสตรีผมยาวเหม่อลอย ซูหมิงผมแดงเดินไกลออกไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เดินออกจากป่าเขาแดงเพลิง บินขึ้นฟ้ายามโพล้เพล้ ด้านหลังเขามีสายลมมาส่ง ในสายลมนั้นมาพร้อมกับใบไม้ส่วนหนึ่ง….ช่างงดงามยิ่งนัก

ไม่ว่าจะเป็นหวั่นชิวหรือสตรีผมยาว ซูหมิงผมแดงไม่ได้แตะตัวพวกนางจริงๆ สักครั้ง วิชาเงาหงส์พ่ายมังกรต้องการเพียงพลังหยินเท่านั้น

กระทั่งตลอดทางเขาสังหารคนน้อยมาก จุดนี้เขาไม่รู้สึกว่ามันผิดปกติอะไร ทว่าหากชายชราเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์รู้เข้า จะต้องมองออกถึงเงื่อนงำบางอย่างที่ทำให้หวาดกลัวแน่ กระทั่งเพราะรู้เรื่องนี้ จึงยอมจ่ายทุกอย่างเพื่อหาวิธีติดต่อกับเจ้านายของตนให้ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version