ตอนที่ 44 เจ้าก็คือซูหมิง?
ณ ด้านบนแท่นบวงสรวงห้าเหลี่ยมในเมืองหินโคลน ปรากฏเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมม่วงกำลังแหงนหน้ามองด้วยรอยยิ้ม
ยามนี้ซูหมิงอยู่ห่างจากชายวัยกลางคนพอสมควร ทว่าไม่รู้เหตุใด พอได้ยินเสียงของเขาแล้วพลันเห็นลักษณะรูปร่างชัดเจนราวกับได้สังเกตใกล้ๆ
เหตุการณ์พิกลนี้ทำให้ซูหมิงจิตใจสั่นไหว ในขณะที่เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายดังเข้ามา พลังโลหิตในกายของซูหมิงโคจรขึ้นเองโดยไม่อาจควบคุมได้ ราวกับเพียงแค่สายตาของอีกฝ่ายก็ทำให้โลหิตทั่วร่างพลันพุ่งทะลักออกจากกาย คลับคล้ายเหมือนจะสิ้นลงในไม่ช้า
ไม่ใช่เพียงแค่ซูหมิงที่รู้สึกเช่นนั้น ยามนี้เหลยเฉิน อูลา แม้แต่เป่ยหลิงก็ยังมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน เหลยเฉินตัวสั่น นัยน์ตาฉายแววเหลือเชื่อ ส่วนอูลา นางตัวสั่นยิ่งกว่า ราวกับชายวัยกลางคนที่เห็นอยู่เบื้องหน้ามีพลังที่แข็งแกร่งจนทำให้นางต้องคุกเข่าคารวะ
กระทั่งบิดาของเป่ยหลิงหรือผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าเขาทมิฬ ยามนี้ยังตัวสั่นเล็กน้อย ค่อยๆ ก้มหน้ามองชายวัยกลางคนที่กำลังเดินอากาศขึ้นมาจากด้านล่างแท่นบวงสรวง
นอกจากผู้นำกองรักษาการณ์แล้ว ซานเหินผู้นำกลุ่มล่าสัตว์ยังมีอาการหายใจกระชั้นถี่ ในแววตาเผยความกระตือรือร้นและคาดหวัง สายตาแบบนี้นับว่าได้ยากยิ่งจากคนพูดน้อยเช่นเขา
‘ชำระล้าง!’ ซูหมิงตะโกนขึ้นในใจ ในความคิดของเขามีสามคำนี้ผุดขึ้นมา!
‘ชำระล้างเหยียบอากาศ ลวดลายหมานจากสวรรค์ วาจาสะเทือนโลหิตหมาน ลมหายใจทลายนภา!’ ในตำราหนังสัตว์มีคำบรรยายถึงขั้นพลังชำระล้างไว้อยู่เพียงเท่านี้
เขาอึ้งมองบุรุษชุดคลุมม่วงที่กำลังเหยียบอากาศขึ้นมา อายุราวสี่สิบปี มีรูปร่างค่อนข้างซูบผอม ทว่ากลับดูสง่าผ่าเผย บนตัวของเขามีรอยตำหนิของเผ่าหมานไม่มากนัก มีเพียงตุ้มหูกระดูกสองข้างเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัด
ซูหมิงไม่เคยเห็นชุดคลุมม่วงที่งดงามเช่นนี้มาก่อน ไม่ใช่สิ่งที่ผ้าเนื้อหยาบจะเปรียบได้ ฉะนั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเสื้อหนังสัตว์ที่เขาสวมอยู่ตอนนี้เลย
เผ่าร่องลมที่อยู่ด้านหลังชายคนนี้บิดเบือนตามการก้าวเดินของเขา พริบตาเดียวท้องฟ้าถอดสี นอกจากเขาแล้ว ทุกอย่างล้วนหายไป
ยามนี้เสียงลมที่พัดครืนครืนพลันเงียบสงัด เมฆแข็งตัว!
ชายวัยกลางคนไว้ผมยาวกำลังเดินใกล้เข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม รอยยิ้มของเขาประดุจลมในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้พลังโลหิตในกายของพวกซูหมิงราวกับอบอุ่นขึ้นมา ทว่ายิ่งเข้าใกล้มากเท่าไร กลับยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกหายใจติดขัด ไม่กล้าหอบหายใจแรง
โดยเฉพาะแววตาของชายคนนี้ ราวกับแฝงไว้ด้วยท้องนภา ผู้ที่ได้พบเห็นในสมองว่างเปล่า คลับคล้ายว่าความลับทั้งหมดถูกอีกฝ่ายมองทะลุหมดเปลือกราวกับเปลือยร่าง
ยามนี้งูเหลือมทมิฬหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ไม่กล้าขยับเขยื้อน ประหนึ่งสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของชายวัยกลางคน ท่านปู่ยันกายขึ้นช้าๆ พยามซ่อนความสับสนในแววตาที่ปรากฏเมื่อครู่ของตน
“โม่ซัง คารวะหมานผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าร่องลม” ใบหน้าท่านปู่แก่ชรา หลังจากยันกายขึ้นแล้วจึงคารวะชายวัยกลางคน
“โม่ซัง ระหว่างเราเจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก” น้ำเสียงชายวัยกลางคนนุ่มนวล ทว่าก็ไม่ได้ห้ามท่านปู่ เมื่อท่านปู่คารวะเสร็จ เขาจึงสะบัดมือขวาคลับคล้ายจะทำท่าช่วยพยุงขึ้น
ทว่าเห็นท่านปู่ชะงักงัน ไม่ได้ยันกายขึ้น แต่กลับคารวะลงอีกครั้งด้วยกำลังที่เหลืออยู่อย่างสงบนิ่ง! หลังจากคารวะเสร็จ ตอนที่พละกำลังรอบตัวของเขาเหมือนสลายไปทีละน้อย ท่านปู่จึงค่อยยันกายขึ้น
บุรุษชุดคลุมม่วงมองท่านปู่อย่างมีความหมายลึกซึ้ง ใบหน้าเผยรอยยิ้ม ส่ายศีรษะชี้ท่านปู่
“เจ้านี่ยังมีนิสัยเหมือนตอนหนุ่มไม่มีผิด นี่มันกี่ปีมาแล้ว เหตุใดครั้งนี้ถึงได้คิดมาหาข้า?”
“ความต้องการที่ท่านหมานผู้ยิ่งใหญ่ร้องขอในตอนนั้น โม่ซังได้ขบคิดมาถึงทุกวันนี้จนตัดสินใจได้แล้ว” สีหน้าท่านปู่เป็นปกติ กล่าวขึ้นช้าๆ
ได้ยินดังนั้น บุรุษชุดคลุมม่วงจึงมีสีหน้ามุ่งมั่นทันที
พวกซูหมิงลุกขึ้นนานแล้ว และยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ ซูหมิงอยู่ใกล้ท่านปู่มากที่สุด เขาจึงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ท่านปู่มีต่อสหายเก่าคนนี้ ซ้ำยังเข้าใจด้วยว่าเหตุใดท่านปู่ถึงไม่มาเผ่าร่องลม
มองใบหน้าแก่ชราของท่านปู่ พลางปรายตามองบุรุษชุดคลุมม่วงด้วยหัวใจเต้นระรัว พลันนึกถึงคำที่ท่านปู่เคยไว้กล่าวกับตน
‘ตอนจ้าวหมานแห่งเผ่าร่องลมอายุยี่สิบ เขาสู้ข้าไม่ได้ กระทั่งอายุสามสิบสี่ถึงเทียบเคียงได้ ในตอนนั้นชนเผ่าใกล้ๆ โดยรอบแปดทิศไม่มีใครไม่รู้จัก’
หัวใจของซูหมิงราวกับผูกเข้าด้วยกัน ขณะกำลังจะละสายตา พลันเห็นบุรุษชุดคลุมม่วงยิ้มมองมาทางตนแวบหนึ่ง ด้วยสายตานี้ ในความคิดของซูหมิงราวกับมีเสียงดังสนั่น เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า อาคมหมานที่ท่านปู่ลงไว้บนตัวเขา ถูกชายวัยกลางคนมองทะลุผ่านได้ในพริบตา
ขณะที่ซูหมิงตัวสั่นคลับคล้ายจะทนรับไม่ไหว ชายวัยกลางคนจึงละสายตามองไปทางเป่ยหลิง เหลยเฉิน อูลาและยังมีซานเหินผู้นำกลุ่มล่าสัตว์กับผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าเขาทมิฬ
“คารวะหมานผู้ยิ่งใหญ่แห่งร่องลม” ซานเหินโค้งตัวคารวะเป็นคนแรก จากนั้นจึงตามด้วยคนที่เหลือ
เหลยเฉินหัวใจเต้นตึกตึก ใบหน้าตื่นเต้นจนซีดขาว อูลาก็เช่นเดียวกัน แม้แต่เป่ยหลิง ยามนี้ไร้ซึ่งความเย็นชา แต่เปลี่ยนเป็นเคารพ
“ข้าจำเจ้าได้ เจ้าคือเป่ยหลิง” ชายวัยหลางคนชี้ไปทางเป่ยหลิง
เป่ยหลิงตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนนัยน์ตาฉายแววตื่นเต้น น้ำเสียงสั่นเครือ รีบกล่าวด้วยความเคารพทันที
“ท่าน…..ท่านหมานผู้ยิ่งใหญ่ ข้าคือเป่ยหลิง”
บุรุษชุดคลุมม่วงพยักหน้ายิ้มรับ จากนั้นจึงมองท่านปู่ ขณะกำลังจะกล่าวขึ้น สีหน้าพลันเปลี่ยน มองทอดไกลออกไป ท่านปู่ที่ยืนนิ่งอย่างสุขุม ยามนี้เองก็สัมผัสได้เช่นเดียวกัน จึงมองตามชายวัยกลางคน
พบว่าบนท้องฟ้ากว้างไกลราวกับมีคลื่นลมพายุโหมกระหน่ำ เส้นสีดำใหญ่ยักษ์ตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ปรากฏให้เห็นเป็นมังกรทมิฬตัวใหญ่ราวสิบกว่าจั้ง ขาของมันมีมากกว่าร้อยขา ลักษณะดูน่าสะพรึงยิ่งนัก ขณะกำลังเคลื่อนตัวมีหมอกดำโอบล้อมโดยรอบ บนตัวของมันมีคนยืนอยู่หกคน!
ซูหมิงเห็นมังกรทมิฬใกล้เข้ามา ทั้งยังเห็นเงาสีขาวหนึ่งในหกคนนั้น ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มทันที
คนที่อยู่หน้าสุดเป็นยายเฒ่าชุดคลุมดำผมสีเงิน แม้ดูแล้วจะแก่ชราเล็กน้อย ทว่ากลับเห็นได้ถึงความงามในวัยสาวของนางอย่างชัดเจน เพียงแต่สีหน้าของนางดูเย็นชา ทำให้ผู้พบเห็นต้องสัมผัสได้ถึงความเย็นเยือก
ซูหมิงรู้สึกได้ถึงสายตาของยายเฒ่าจากเผ่ามังกรทมิฬที่มองมาทางท่านปู่ ราวกับแปลกไปเล็กน้อย
ด้านหลังของยายเฒ่าเป็นชายร่างกำยำประดุจหอคอยเหล็ก รูปร่างสูงใหญ่ มีสีหน้าเย็นชา แม้กระทั่งพลังโลหิตในกายยังแข็งแกร่งกว่าซานเหินและผู้นำรักษาการณ์เล็กน้อย
ข้างยายเฒ่าเป็นเด็กสาวสวมเสื้อผ้าขาว เมื่อนางชายตามองช่างดูงดงามยิ่งนัก ในขณะเดียวกันกลับมีความกลัดกลุ้มแฝงอยู่ในแววตาไม่เลือนหาย
เพียงแต่เมื่อได้เห็นซูหมิง ความกลัดกลุ้มนั้นพลันหายไปในพริบตา แล้วแทนที่ด้วยความตกใจและปีติยินดี
ในสามคนที่เหลือ มีคนที่ซูหมิงรู้จักอยู่ นั่นคือซือคง เขากำลังยืนอยู่บนหลังมังกรทมิฬแล้วจ้องมองซูหมิงด้วยแววตาเคียดแค้น ส่วนอีกสองคนอายุไม่มากนัก รุ่นราวคราวเดียวกับซูหมิง เป็นบุรุษหนึ่งสตรีหนึ่ง ดูจากใบหน้าแล้วน่าจะเป็นพี่น้องกัน ทั้งคู่ค่อนข้างเงียบขรึม เพียงแต่ว่าเด็กสาวคนนั้นมีรูปร่างที่ดูแข็งแรงยิ่งนัก ทั้งยังดูอวบอิ่มอุดมสมบูรณ์ แต่ถึงกระนั้นกลับมีใบหน้าที่งดงาม
เมื่อมังกรทมิฬใกล้เข้ามา ยายเฒ่าและคนอื่นๆ ต่างพากันคารวะบุรุษชุดคลุมม่วง สีหน้าล้วนดูเคารพยิ่ง แม้แต่มังกรทมิฬที่อยู่ใต้เท้าพวกเขายังตัวสั่น เกรงกลัวต่อบุรุษชุดคลุมม่วง
บุรุษชุดคลุมม่วงยังคงเผยรอยยิ้ม หลังจากพยักหน้ารับการคารวะจากเผ่ามังกรทมิฬแล้ว ทันใดนั้นมีเงาคนพุ่งทะยานขึ้นมาจากเผ่าร่องลมเบื้องล่าง ใต้ฝ่าเท้าของเงาคนผู้นั้นมีหมอกสีม่วงพันรอบ ลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับคารวะบุรุษชุดคลุมม่วง
เงาคนดังกล่าวเป็นผู้อาวุโสชุดคลุมขาว นามของเขาคือสือไห่ คนที่นำเม็ดโอสถของซูหมิงไปในวันนั้น!
“สือไห่ ต้อนรับแขกให้ดีด้วย” เมื่อบุรุษชุดคลุมม่วงกล่าวจบ สือไห่กล่าวขานรับด้วยความนอบน้อมแล้ว เขาจึงมองไปทางโม่ซังท่านปู่เผ่าเขาทมิฬ
“โม่ซัง มีเผ่ามาถวายเครื่องบรรณาการเป็นใบเมฆาหม่อน ข้ารู้ว่าในตอนนั้นเจ้าชอบมันมากที่สุด หลังจากมาพบข้าแล้ว เรามาลิ้มลองมันด้วยกันเถอะ”
ท่านปู่เผ่าเขาทมิฬพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากหันกลับไปมอบหน้าที่ให้กับผู้นำกองรักษาการณ์ จึงลอยตัวขึ้นแล้วก้าวท้าวไปข้างหน้า ซูหมิงมองท่านปู่เหยียบกลางอากาศเดินไปทางบุรุษชุดคลุมม่วงด้วยแววตาประหลาดใจ ก่อนจะบินหายลับเข้าไปในเมืองหินโคลนพร้อมกัน
ซูหมิงมองเงาหลังของบุรุษชุดคลุมม่วงด้วยแววตาเฝ้าปรารถนา
‘ขั้นชำระล้าง…ไม่รู้ว่าเมื่อไรข้าถึงจะบรรลุขั้นพลังนี้!’ ขณะซูหมิงกำลังวาดหวัง สือไห่มองทุกคนด้วยรอยยิ้ม พร้อมกล่าว
“นอกจากรุ่นเยาว์เหล่านี้แล้ว ทุกคนล้วนเป็นสหายเก่า พวกท่านมาได้ค่อนข้างเร็วไปหน่อย เผ่าอื่นยังมาไม่ถึงกันเลย จากตรงนี้ข้าจะรับหน้าที่ดูแลพวกท่านเอง เชิญเข้ามายังเผ่าร่องลมได้!” ในใจสือไห่ยังมีเรื่องอื่นอยู่อีก ทว่ากลับกดเอาไว้แล้วเผยใบหน้าอมยิ้ม หลังจากกล่าวเป็นพอพิธีเสร็จแล้วจึงพาทุกคนบินเข้าไปในเมืองหินโคลน
ระหว่างนั้นเหลยเฉินเข้ามาอยู่ข้างซูหมิง เหมือนกับว่าหลังจากเห็นไป๋หลิงแล้วพลันนึกถึงเรื่องที่ตลาด จึงเสียความมั่นใจเล็กน้อย ที่มาอยู่ข้างซูหมิงก็เพราะตั้งใจจะโยนทุกอย่างให้ซูหมิงเป็นคนจัดการ
ซูหมิงมองไป๋หลิงตลอดเวลา ไป๋หลิงเผยรอยยิ้มและมักจะสบตากับซูหมิงบ่อยครั้ง ในช่วงที่สบตากัน ซูหมิงได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นระรัว
ไม่นาน คนจากทั้งสองชนเผ่าก็เข้ามาในเมืองร่องลม ก่อนทะยานลงตรงกลางลานจัตุรัสกว้างใหญ่ มังกรทมิฬสลายเป็นหมอกดำไหลเข้าสู่ร่างของยายเฒ่าอย่างรวดเร็ว ส่วนงูเหลือมทมิฬกลายเป็นเมฆขาวลอยสู่ฟ้า ก่อนลับหายไป
ณ ลานจตุรัสกว้างใหญ่ ยามนี้มีผู้คนจากเผ่าร่องลมยืนรออยู่ ภายใต้การจัดการของสือไห่ มีคนตรงเข้ามาแล้วนำทางไปอย่างนอบน้อม พร้อมเตรียมจัดการเรื่องที่พักให้แก่พวกเขา
ทว่าความนอบน้อมเป็นเพียงแค่เปลือกนอก ภายในยังคงมีความหยิ่งยโสแฝงเอาไว้
ภายใต้การนำของซานเหินและผู้นำกองรักษาการณ์ พวกซูหมิงกำลังจะเดินตามไป ทว่าในขณะนั้นเองกลับมีเสียงดังมาจากเผ่ามังกรทมิฬ
“เจ้าก็คือซูหมิง?”
ซูหมิงพลันชะงักฝีเท้า พอหมุนตัวกลับไปมองก็พบว่าเป็นยายเฒ่าแห่งเผ่ามังกรทมิฬกำลังมองตนด้วยสายตาเย็นชา