ตอนที่ 480 คำอวยพรของจู๋จิ่วอิน
รอยแยกบนจันทร์ดวงที่สิบเหนือท้องฟ้าเปิดอย่างสมบูรณ์แล้ว ราวกับดวงจันทร์ดวงที่สิบลืมตาขึ้น แล้วมองผืนปฐพีด้วยแววตาเข้าใจกระจ่าง
“นี่คือแววตาของเขา เขา…เขาออกมาแล้ว…” ภายในหุบเขา ชายชราเสื้อคลุมดำพึมพำเบาๆ ด้วยความขมขื่น ทั้งยังสิ้นหวัง
อีกด้านหนึ่งของหุบเขา ณ ป่าทึบที่แผ่ขยายออก ชายร่างกำยำวิญญาณหยินเงยหน้ามองท้องฟ้า ยามนี้ถอนหายใจเบาและหลับตาลง
ส่วนชายชราวิญญาณหยินภายในวิหารใหญ่ในกลุ่มวิหารด้านหลังเขา ตอนนี้ก็หลับตาเช่นกัน
อีกด้านหนึ่ง ในเขตที่มีเงาคนโปร่งใสมายาอยู่จำนวนมาก มีร่างเงาขมุกขมัวอยู่ผู้หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรี นางลอยอยู่เหนือพื้นและมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าด้วยความสับสน
รูปร่างหน้าตานางน่าจะงดงามอย่างยิ่ง เพียงแต่ความสับสนในตอนนี้และรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป จึงยากจะมองออกว่านางไปพบเจอกับอะไรมาถึงเป็นเช่นนี้
ณ แดนฝังกระดูกจู๋จิ่วอิน ร่างมโหฬารของจู๋จิ่วอินที่กลายเป็นหินค่อยๆ ฟื้นสภาพกลับมา พร้อมกับกลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้ง จุดที่คืนสภาพจากหินก็เริ่มเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งกลายเป็นควันหายไป
ในส่วนหัวของจู๋จิ่วอิน ศีรษะสตรีผู้งดงามที่อยู่ในร่างยักษ์เป็นสิ่งเดียวที่ไม่เป็นหิน ทว่ายามนี้กลับเต็มไปด้วยจุดดำและเริ่มเน่าเปื่อย
ตรงข้ามกับนางมีรูปปั้นหินอยู่ นั่นก็คือซูหมิง!
ตอนนี้รูปปั้นหินค่อยๆ กลับมามันวาว เริ่มกลับคืนสภาพเดิมทีละน้อย พลังชีวิตหนาแน่นผุดขึ้นจากรูปปั้นหินซูหมิงอย่างรวดเร็ว และเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
โดยรอบเงียบสงบ ศีรษะหญิงงามเน่าเปื่อย หมายถึงชีวิตดับสูญและความตายมาเยือน ตรงกันข้ามกับซูหมิงอย่างเด่นชัด
ครู่ต่อมา ขณะศีรษะสตรีกำลังเน่าเปื่อย แพขนตานางสั่นไหวเบาๆ และค่อยๆ ลืมตาขึ้น นางมีดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผ่านโลกมามาก แฝงไว้ด้วยสติปัญญา
นางมองซูหมิงอยู่อย่างนั้น ตรงระหว่างคิ้วค่อยๆ ปรากฏน้ำวนขึ้น ก่อนหมุนโคจรอย่างช้าๆ
“เจ้าออกมาจากโลกอมตะได้…ค้นหาการผสานรวมของตนเองพบ เจ้าทำให้ข้าเคารพ…นี่คือโชคชะตาของสายเลือดจู๋อิน…ข้าจะทำตามสัญญา ยอมให้เผ่าเดียวกันกลืนกิน ใช้เศษเสี้ยวจิตและร่างกายอวยพรให้มัน…เกิดใหม่…และก็ขอให้เจ้า…เกิดใหม่เช่นกัน…
ด้วยคำอวยพรของสายเลือดจู๋อิน ขอให้เจ้ากับสหายร่วมเผ่าของข้าไปได้ไกลยิ่งขึ้น…
อีกด้านหนึ่งของคำสาปคือคำอวยพร ข้าขอใช้ร่างที่กำลังจะสลายไปนี้กับเจ็ดสิบเก้าโลกที่ข้ากินมาอวยพรแก่เจ้า…”
สตรีผู้งดงามพึมพำเบาๆ นัยน์ตาไม่มีความแค้น มีเพียงความสงบนิ่ง กล่าวจบนางก็อ้าปากแล้วพ่นลมหายใจใส่ซูหมิงที่กำลังคืนสภาพเดิม
ลมหายใจนี้เป็นสีขาวปานหมอก มันตรงเข้าสู่ใบหน้าซูหมิงช้าๆ แล้วมุดเข้าไปในทวารทั้งเจ็ด ขณะเดียวกันนั้น ร่างใหญ่ยักษ์ของจู๋จิ่วอินก็เน่าเปื่อยด้วยความเร็วระดับสายตา จากนั้นหมอกขาวจำนวนมากก็ผุดขึ้นในร่างกาย ก่อนจะตรงไปยังซูหมิง ประดุจว่าซูหมิงเป็นน้ำวนดูดพลังชีวิตเหล่านี้เข้ามาหลอมรวม
“จิตตั้งมั่นและมรดกของข้า ขอมอบให้สหายรวมเผ่า เศษเสี้ยวพละกำลัง และพลังหนึ่งโลกที่เหลือหลังใช้เก้าสิบหกโลกสร้างโลกอมตะ ขอมอบให้เจ้า…จะรับไปได้เท่าไร ก็ต้องดูโชควาสนาของเจ้า” กล่าวจบ สตรีงามก็หลับตาลง น้ำวนตรงระหว่างคิ้วหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นได้รางๆ ว่าในน้ำวนตรงระหว่างคิ้วนั้นเหมือนมีเส้นดำอยู่เส้นหนึ่ง น้ำวนโคจรก็เพราะการหมุนของเส้นสีดำนี้!
ซูหมิงสูบหมอกขาวกับพลังชีวิตจากร่างที่สลายไปของจู๋จิ่วอินอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็ฟื้นสภาพจากหิน เขายังรู้สึกอย่างชัดเจนว่ามีกลิ่นอายพลังมหาศาลกำลังทะลวงเข้าสู่ร่างกายตนจากทุกสารทิศ
กลิ่นอายพลังและพลังชีวิตเข้ามารวดเร็วและรุนแรงเกินไป ด้วยความที่ซูหมิงรับรู้ได้ช้าเล็กน้อย จึงมีความรู้สึกเหมือนร่างกายจะพองบวมจนระเบิด
‘นี่คือพละกำลังหนึ่งชีวิตของจู๋จิ่วอิน! แม้ตายไปแล้ว แม้พละกำลังนี้ยังไม่เท่าหนึ่งส่วนสิบตอนมันยังมีชีวิต ทว่าตอนที่ร่างมันจะสลายไปกลับปะทุออกมาหมด…นี่คือ…โอกาสครั้งใหญ่ที่พันปียังหาได้ยาก!’ ซูหมิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย และไม่มีสิทธิ์ลังเลด้วย ยามนี้หากเขาไม่สูบเข้าไป ร่างคงจะระเบิดทันที
การทะลวงเข้ามาอย่างรุนแรงเช่นนี้ ทำให้ซูหมิงไม่ทันขบคิดอะไรอีก กระดูกหมานในตัวเขาพลันสูบกินอย่างบ้าคลั่ง
ภายในตัวเขามีกระดูกหมานอยู่เจ็ดชิ้น หนึ่งในนั้นมีชิ้นหนึ่งมาจากผลึกผู้สืบทอดหมานวายุ อีกชิ้นหนึ่งก็มาจากผลึกผู้สืบทอดหมานอัสนี ทว่ายามนี้ ด้วยความที่มีกลิ่นอายพลังและพลังชีวิตหลั่งทะลักเข้ามา กระดูกสันหลังชิ้นที่แปดจึงเปล่งแสงสีทองในทันใด!
วินาทีที่แสงสีทองทะลุมาจากในตัวซูหมิง
กระดูกสันหลังชิ้นนี้กลายก็เป็นกระดูกหมานชิ้นที่แปด!
แต่ทุกอย่างยังไม่จบลงง่ายๆ หลังจากปรากฏกระดูกหมานชิ้นที่แปดไม่ถึงสิบลมหายใจ ก็มีเสียงกึกๆ ดังมาจากในตัวซูหมิง เขามีสีหน้าเจ็บปวด บริเวณหลังเขาเปล่งแสงสีทองจ้าตา ก่อนปรากฏกระดูกหมานชิ้นที่เก้าขึ้น!
ผ่านไปอีกหนึ่งร้อยลมหายใจ ขณะซูหมิงกำลังกัดฟันคำรามเสียงต่ำ เนื้อตัวเขาสั่นเทา กลิ่นอายพลังแกร่งกล้าและพลังชีวิตหลั่งไหลเข้ามาเร็วเกินไป ราวกับจะทะลวงทุกส่วนในร่างกายเขาในทีเดียว ความเร็วในการสูบกินจึงตามไม่ทันอยู่เล็กน้อย ตอนที่ความเจ็บปวดแล่นเข้ามา ก็ปรากฏกระดูกหมานชิ้นที่สิบขึ้น!
การเพิ่มขั้นพลังเช่นนี้ หากพูดออกไปจะต้องสร้างความตื่นตะลึงและเสียงฮือฮาอย่างแน่นอน เป็นที่รู้กันดีว่าขั้นเซ่นไหว้กระดูกของเผ่าหมานยากจะทะลวงพลังยิ่งนัก ถึงอย่างไรขั้นพลังของเผ่าหมานก็หยุดอยู่ที่ขั้นวิญญาณหมาน ขั้นเซ่นไหว้กระดูกก็นับได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งแล้ว ทั้งยังเป็นกำลังสำคัญของสำนัก หรือเป็นกำลังที่แกร่งที่สุดในชนเผ่าขนาดกลาง!
ทว่าตอนนี้ ก่อนที่จิตของจู๋จิ่วอินจะสลายไปได้ใช้ร่างกายของมันอวยพร จึงทำให้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้กลับกลายเป็นจริง และมอบโอกาสครั้งใหญ่ที่แม้แต่ตี้เทียนยังคาดไม่ถึงให้กับซูหมิง!
สาเหตุทุกอย่างนี้ พูดได้ว่าเป็นเพราะหงหลัว! เพราะหงหลัวปรากฏตัวอย่างกะทันหัน จึงทำให้ตี้เทียนเสียแผนเรื่องซูหมิง อีกทั้งร่างแยกเขายังสลายไป ก็ยิ่งทำให้ซูหมิงหลุดจากการถูกคุมชะตาชีวิตชั่วคราว ทุกอย่างจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง!
มีเม็ดเหงื่อจำนวนมากผุดตรงหน้าผากซูหมิง ความรู้สึกคล้ายร่างกายจะระเบิดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระดูกหมานสิบชิ้นสูบกลืนอย่างบ้าคลั่ง รวมเป็นพลังจากกระดูกหมานสิบชิ้น ก่อนส่งไปยังกระดูกหมานชิ้นที่สิบเอ็ด จนเกิดเป็นการปะทะอย่างรุนแรง
การปะทะครั้งนี้ราวกับลูกคลื่นทะเลชนเข้าใส่ปราการเปราะบาง แสงสีทองในตัวเขาสว่างพร่างพราวยิ่งขึ้น ก่อนจะปรากฏกระดูกหมานชิ้นที่สิบเอ็ด!
ทว่านี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น พลังชีวิตและกลิ่นอายพลังที่หลั่งทะลักเข้ามาในร่างกายซูหมิง หลังจากถูกกระดูกสันหลังสูบไปอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปครึ่งก้านธูปกระดูกหมานชิ้นที่สิบสองก็เปล่งแสงสีทอง!
“ในเมื่อเป็นโอกาส เช่นนั้นข้าจะปล่อยให้มันสูบกินไปเลย ดูว่าโอกาสครั้งนี้ข้าจะไปได้ถึงระดับใด!” ซูหมิงทำสัญลักษณ์สองมือ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างสูบกินพลังชีวิตและกลิ่นอายพลัง พริบตาเดียวก็รวมขึ้นเป็นกระดูกหมานชิ้นที่สิบสาม
พลังจากกระดูกหมานสิบสามชิ้นทำให้ซูหมิงสูบกินได้เร็วขึ้นไม่น้อย เมื่อเวลาผ่านไป เขาตัวสั่นอย่างรุนแรง กระดูกหมานชิ้นที่สิบสี่ปรากฏขึ้น!
กระดูกหมานสิบสี่ชิ้น เพียงพอจะรับพลังเพิ่มมากกว่าเมื่อก่อนหนึ่งเท่า!
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น พลังชีวิตและกลิ่นอายพลังที่ทะลักเข้ามาในตัวซูหมิงก็ยังคงรุนแรงอย่างยิ่ง ไม่ลดน้อยลงเลย ตรงกันข้าม มันกลับมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งกระดูกหมานชิ้นที่สิบห้า สิบหก และสิบเจ็ดส่องแสงสีทองสว่างจ้าตามๆ กันมา การเพิ่มขั้นพลังเช่นนี้ มันน่าตะลึงอย่างยิ่งในสายตาซูหมิง ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลามาขบคิดมากนัก หากไม่เพิ่มขั้นพลังร่างก็จะระเบิดกระจุย
ขณะซูหมิงกัดฟัน กระดูกหมานชิ้นที่สิบเจ็ดสูบกินอย่างบ้าคลั่ง ยามนี้เขาสนใจอะไรได้ไม่มากนัก จะต้องสูบกินเพื่อรวมกระดูกหมานขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ และรองรับพลังชีวิตอันมหาศาลนี้ให้ได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง กระดูกหมานชิ้นที่สิบแปดพลันปรากฏขึ้น เมื่อกระดูกหมานชิ้นนี้ปรากฏ พลังที่ต้องใช้ในการสูบกินจะมากกว่าการรวมกระดูกหมานชิ้นก่อนๆ มาก หากฝึกฝนแบบทั่วไป การจะรวมกระดูกหมานชิ้นที่สิบแปดเป็นเรื่องยากยิ่ง
หลังจากมีกระดูกหมานชิ้นที่สิบแปดแล้ว กระดูกหมานชิ้นที่สิบเก้าก็แทบจะตามมาพร้อมกัน ซูหมิงในยามนี้มีแสงสีทองส่องสว่างมาจากในร่างกาย แทบจะส่องสะท้อนโดยรอบทั้งหมด แม้แต่เส้นผมยังแทบกลายเป็นสีทอง
เส้นเลือดดำปูดโปนบนใบหน้า ตัวเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง อีกทั้งบนผิวหนังยังมีของเหลวสีดำถูกขับออกมาจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้นกว่าเดิมมาก
ขณะเดียวกัน กระดูกหมานชิ้นที่ยี่สิบก็ปรากฏ!
ทันทีที่ปรากฏกระดูกหมานชิ้นที่ยี่สิบ ซูหมิงรู้สึกว่าร่างกายจะฉีกขาด เขากัดฟันทนความเจ็บปวดเอาไว้ แล้วนำความเจ็บปวดทั้งหมดนี้เปลี่ยนเป็นการโจมตี กระตุ้นกลิ่นอายพลังและพลังชีวิตในร่างกายที่ตอนนี้ยังหลั่งไหลเข้ามาอย่างไร้ขีดจำกัด เพื่อรวมกระดูกหมานที่มากกว่านี้!
ผ่านไปพักหนึ่งก็ปรากฏกระดูกหมานชิ้นที่ยี่สิบเอ็ด!
ชิ้นที่ยี่สิบสอง ชิ้นที่ยี่สิบสาม!
ผู้แข็งแกร่งขั้นเซ่นไหว้กระดูกของเผ่าหมาน อย่างมากสุดจะรวมกระดูกหมานได้ยี่สิบหกชิ้น อีกทั้งช่วงที่รวมกระดูกหมานชิ้นที่ยี่สิบหกจะต้องทะลวงขั้นวิญญาณหมานในทันที โอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ช่วงเวลาเป็นตายนี้ จะข้ามสู่ขั้นวิญญาณหมานสำเร็จแล้วกลายเป็นผู้แข็งแกร่งวิญญาณหมาน กลายเป็นระดับสุดท้ายของขั้นพลังเผ่าหมาน!
หรือไม่ก็…ทะลวงล้มเหลว กระดูกหมานในตัวระเบิดทั้งหมด ชีวิตดับสูญ ร่างกายและทุกอย่างตายตามไปด้วย!
ซูหมิงเริ่มเกิดความกลัวในใจ เพราะเขารู้สึกว่าจากความเร็วในการเพิ่มขึ้นของขั้นพลังนี้ เกรงว่าอีกไม่นานกระดูกหมานของตนจะเพิ่มจนถึงยี่สิบหกชิ้น!
เขายังไม่เตรียมตัวให้ดีเลย ดอกเก้าอเวจีก็ยังหาไม่พบ!