Skip to content

สู่วิถีอสุรา 506

ตอนที่ 506 ทางขวา

ซูหมิงกวาดสายตาไปรอบๆ เส้นทางนี้มืดสลัว กำแพงรอบๆ ไม่ใช่หินแต่เป็นเหล็กทองสัมฤทธิ์ แทบทุกช่วงที่ห่างกันเล็กน้อยจะมีอักขระขยับวูบวาบ

อักขระวูบวาบนี้รวมกันเป็นแสงเพียงหนึ่งเดียว

ยามนี้ชาวเผ่าชะตาชีวิตหลายร้อยคนเงียบงัน มีสีหน้าเศร้าโศก พวกเขาใช้ชีวิตอย่างไร้อนาคตด้วยกันมาสิบห้าปี แม้บอกว่าตอนนี้เริ่มมีความหวัง ทว่าข้างนอกก็ยังมีชาวเผ่าอีกเก้าคนที่ต้องจากกันไปชั่วนิรันดร์

สิ่งที่รอชาวเผ่าเก้าคนนั้นอาจเป็นความตาย แต่ต่อให้ไม่ใช่ ก็ต้องถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปตลอดกาล

นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ละสายตากลับจากรอบๆ ก่อนเดินนำหน้า ขณะห้อเหยียดไป ชาวเผ่าชะตาชีวิตก็ทยอยกันตามมา

ทุกคนเงียบตลอดทาง ไม่มีใครพูดอะไร

ชาวเผ่าชะตาชีวิตบางคนเงยหน้าขึ้นเป็นบางครั้ง ตอนที่มองเงาแผ่นหลังซูหมิงตรงหน้าสุด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจถึงค่อยๆ สงบลง ซูหมิงสร้างปาฏิหาริย์ให้พวกเขามาสองครั้งแล้ว ครั้งแรกคือตอนที่กำลังสิ้นหวังจากการเข่นฆ่าของพวกเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ ครั้งที่สองคืออนาคตที่สิบห้าปีมานี้ไม่คิดว่าจะออกไปได้แล้ว ทว่าซูหมิงกลับเอามาวางไว้ตรงหน้าพวกเขา

พวกเขาเชื่อว่าจะมีครั้งที่สาม ครั้งที่สามนี้ ท่านโม่จะพาพวกเขาออกไปจากโลกเก้าหยิน กลับไปแดนอรุณใต้!

ไม่ใช่แค่ชาวเผ่าหนึ่งหรือสองคนที่คิดเช่นนี้ แต่เป็นชาวเผ่าชะตาชีวิตทั้งหมด พูดได้ว่าซูหมิงคือความหวังของพวกเขา ความรู้สึกนี้เด่นชัดขึ้นหลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มา

ซูหมิงเดินนำอยู่หน้าสุด แผ่ขยายจิตสัมผัสออกไป ทว่าแผ่ขยายไปได้ไม่ไกลนักที่นี่ กำแพงรอบๆ มีแรงต่อต้านแกร่งกล้าขวางจิตสัมผัสเอาไว้

เขาหยุดชะงักขณะมุ่งหน้าไป ตรงนี้เป็นทางแยกมีสามเส้นทาง จึงไม่รู้ว่าทางใดเป็นทางมุ่งหน้าไปสู่อาคมเคลื่อนย้าย

หลังจากซูหมิงหยุดลง ชาวเผ่าข้างหลังก็พากันหยุดตาม แล้วมองไปรอบๆ อย่างเงียบงัน หนานกงเหินเดินเข้ามายืนอยู่ข้างซูหมิง เมื่อมองรอบด้านเสร็จก็มองซูหมิง ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ยามนี้ชาวเผ่าชะตาชีวิตทั้งหมดมองซูหมิง

ซูหมิงขมวดคิ้ว ชายชราเผ่าวิญญาณหยินไม่ได้บอกว่าจะมีทางแยกที่นี่ สามเส้นทางนี้ เขารู้ว่าจะเดินพลาดไม่ได้ หากพลาดก็จะเสียเวลาอันมีค่าไป

แทบเป็นวินาทีที่พวกซูหมิงมาถึงทางแยกและเห็นสามเส้นทางนี้ ทันใดนั้น ทางเดินทั้งเส้นพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ผู้คนจึงแทบจะยืนไม่ไหว

อีกทั้งยังมีเสียงโครมครามดังมาจากข้างนอก ประดุจว่าเส้นทางนี้จะถล่มลง อักขระรอบๆ ขยับวิบวับถี่ขึ้น ทำให้คนที่อยู่ที่นี่นานต้องเกิดความรู้สึกกระสับกระส่าย

ซูหมิงเดินไปหลายก้าว ภายใต้สายตาจับจ้องของชาวเผ่าชะตาชีวิต เขาไม่ได้เลือกในทันที แต่นั่งขัดสมาธิลงหลับตาแล้วแผ่ขยายจิตสัมผัสไป โดยแบ่งเป็นสามเส้น ขยายเข้าไปในสามทางอย่างรวดเร็ว

เมื่อขยายจิตสัมผัสเข้าไปแล้วก็ถูกต่อต้านอย่างต่อเนื่อง จิตสัมผัสเบาบางลงเรื่อยๆ ยังไปไม่ถึงร้อยจั้งก็เหลือเพียงเส้นเดียว ทันทีที่เห็นว่ามันกำลังจะหายไปจนหมด จิตแรกในตัวซูหมิงพลันออกมาจากร่าง ก่อนผสานรวมเข้าไปในจิตสัมผัส

เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตสัมผัสจึงเพิ่มขึ้นอีกครั้งและยืดยาวออกไป เส้นทางตรงหน้าเขานี้พิลึกอย่างยิ่ง จู่ๆ จิตสัมผัสก็หายวับไป กระทั่งเขายังสังเกตไม่ทัน

ช่วงที่จิตสัมผัสในเส้นทางตรงหน้าหายไป จิตสัมผัสในเส้นทางซ้ายก็เห็นว่ามีอาคมเคลื่อนย้ายยักษ์อยู่ ยามนี้มันกำลังโคจรอย่างช้าๆ เหมือนจะเปิดได้ตลอดเวลา!

ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น ไม่มีเวลาสนใจแล้วว่าจิตสัมผัสในเส้นทางตรงหน้าหายไปได้อย่างไร แต่ขณะกำลังจะดึงจิตสัมผัสในเส้นทางขวากลับมา เขาตัวสั่นในทันใด หันไปจ้องทางขวาเขม็ง

เขาหรี่ม่านตาลง นัยน์ตาวาววับ ทุกอย่างนี้เป็นเพราะจิตสัมผัสเห็นว่าเส้นทางขวาห่างไปพันจั้งมีมิติยักษ์อยู่!

ในมิตินั้น ซูหมิงเห็นฟองอากาศยักษ์อยู่มากมาย ฟองอากาศเหล่านั้นมีไม่น้อยที่แตก ทว่ากลับไม่หายไป กระทั่งยังมีฟองอากาศบางลูกไม่แตกเลยแม้แต่น้อย ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่!

ซูหมิงหายใจกระชั้น กัดฟันเก็บจิตสัมผัสกลับมา ไม่สนใจทางเส้นขวาอีก แต่ยืนขึ้นพาชาวเผ่าชะตาชีวิตตรงเข้าไปยังเส้นทางซ้ายอันเป็นจุดที่มีวงแหวนอาคมอยู่

เมื่อทุกคนขยับตัว ทั้งทางเดินก็สั่นสะเทือนถี่กระชั้น เสียงระเบิดดังโครมคราม เส้นทางสั่นไหวอย่างรุนแรง กระทั่งยังเกิดรอยร้าวบนพื้น ก่อนมีแสงส่องขึ้นมาจากรอยร้าวเหล่านั้น ให้ความรู้สึกว่าเส้นทางนี้ถล่มลงได้ตลอดเวลา

อักขระบนกำแพงรอบๆ ยามนี้ขยับวูบวาบพลางเปล่งแสงสว่างไสว แสงส่องสะท้อนโดยรอบ ทำให้เส้นทางเดินกลายเป็นจุดที่มีแสงเหมือนตอนกลางวัน

ขณะทุกคนกำลังทะยานไป ไม่นานตรงหน้าก็ปรากฏพื้นที่กว้าง บนพื้นมีรอยร้าวถี่ยิบเช่นกัน ในเวลาเดียวกันยังมีวงแหวนอาคมยักษ์กำลังหมุนโคจรอยู่

วงแหวนอาคมนี้ให้ความรู้สึกถึงการเคลื่อนย้าย ยามนี้มันเปิดอย่างสมบูรณ์แล้ว ขอแค่เข้าไปก็จะถูกส่งออกไปด้านนอก

วินาทีที่ทุกคนเห็นวงแหวนอาคมและมีสีหน้าตื่นเต้นนั้น ทางเส้นนี้สั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้ง เหมือนกับว่ามันวางนอนอยู่แล้วจู่ๆ ก็ตั้งขึ้น ชาวเผ่าชะตาชีวิตจึงกระเด็นถอยไปคล้ายกับร่วงหล่น

“ช่วงเวลาเป็นตายนี้ พวกเราต้องรีบเข้าไปในวงแหวนอาคม ไม่ว่าจะส่งไปที่ใด หากเป็นแดนอรุณใต้ หากพวกเราแยกกัน จำเอาไว้ พวกเราคือเผ่าชะตาชีวิต!

พวกเราไม่ใช่เผ่าเชมันอีก ภูเขาแม่น้ำสวรรค์แห่งแดนอรุณใต้คือจุดรวมพลของพวกเรา หากภูเขาแม่น้ำสวรรค์ไม่อยู่แล้ว ข้าก็จะรอพวกเจ้าอยู่ใกล้ๆ

ให้พวกเราเผ่าชะตาชีวิตตะโกนชื่อตัวเอง! จำเอาไว้ ภูเขาแม่น้ำสวรรค์! จำเอาไว้ คนที่พวกเราบูชาคือโม่จวิน (ผู้สูงส่งโม่)!” หนานกงเหินตะโกนกล่าว เสียงเขาก้องไปรอบๆ เข้าถึงหูชาวเผ่าชะตาชีวิตทุกคน กลายเป็นความยึดมั่นและแน่วแน่ในแววตาพวกเขา

“ทุกท่าน พวกเรา…เจอกันที่แดนอรุณใต้!” ซูหมิงลอยอยู่ในเส้นทางตั้งขึ้น ประสานมือคารวะชาวเผ่าชะตาชีวิต

“พวกเราเผ่าชะตาชีวิตจะบูชาโม่จวินตลอดไป พวกเรา…เจอกันที่แดนอรุณใต้!” เสียงชาวเผ่าชะตาชีวิตก้องกังวาน ร่างเงาหลายเส้นห้อเหยียดตรงเข้าไปในวงแหวนอาคม แล้วหายวับไป

เส้นทางนี้สั่นสะเทือนรุนแรงยิ่งขึ้น กระทั่งไกลออกไปยังถล่มลงมาแล้ว ชาวเผ่าชะตาชีวิตแทบทุกคนที่บินผ่านซูหมิงจะหยุดชะงักครู่หนึ่ง แล้วประสานมือคารวะพร้อมกล่าวว่าโม่จวิน จากนั้นเข้าไปในวงแหวนอาคม

คำเรียกชื่อโม่จวินแฝงไว้ด้วยความแน่วแน่ของพวกเขา บางทีนี่อาจไม่ใช่คำเรียกอีก แต่เป็นสัญลักษณ์ในใจพวกเขาอย่างแท้จริง และยังมีความผิดหวังต่อเผ่าเชมันที่ตนเฝ้ารอคอยมาสิบห้าปีอย่างเปล่าประโยชน์

หลังจากคำเรียกว่าโม่จวิน ยามนี้ทุกอย่างล้วนกลายเป็นนิจนิรันดร์ เป็นความฮึกเหิมเร่าร้อนเพื่อเผ่าชะตาชีวิต คำว่าพบกันที่แดนอรุณใต้มิใช่คำหยอกล้อ แต่เป็นเสียงตะโกนจากใจ

ครู่ต่อมา นอกจากหนานกงเหินแล้ว ชาวเผ่าทั้งหมดล้วนคารวะลาหายเข้าไปในวงแหวนอาคม หนานกงเหินมองซูหมิงแล้วประสานมือคารวะ เหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่างทว่าก็ไม่ ก่อนหมุนตัวเดินเข้าไปในวงแหวนอาคม วินาทีที่วงแหวนอาคมขยับวูบวาบ ร่างเงาเขากำลังจะหายไป เขาพลันมองมาทางซูหมิง

“คำพูดของเผ่าชะตาชีวิตไม่ใช่คำหยอกล้อ และไม่ใช่คำพูดพล่อยๆ แม้โลกข้างนอกจะเปลี่ยนไปมาก เผ่าชะตาชีวิตจะไม่มีวันลืมบุญคุณของโม่จวิน จะขอคารวะบูชาทุกชาติไป!” เสียงหนานกงเหินดังก้อง ร่างหายวับเข้าไปในวงแหวนอาคม

ขณะนี้วงแหวนอาคมยังโคจรอยู่ ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น เส้นทางสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้น เขามองวงแหวนอาคมแล้วหมุนตัวกลับ ไม่ได้มุ่งหน้าไปทางนั้น แต่ห้อเหยียดกลับไปตามเส้นทางเดิม

หากจากไปเช่นนี้ เขาไม่ยอมเด็ดขาด หากต้องจากไปเช่นนี้ เขาจะมีคำถามที่ไม่ได้คำตอบอีกมาก!

ชายชราเผ่าวิญญาณหยินเคยบอกว่า หากซูหมิงกล้าหาญมากพอและอยู่ไปจนถึงช่วงสุดท้าย ด้วยความแน่วแน่ที่ไม่หวั่นไหว แม้อาจออกไปจากที่นี่ไม่ได้ชั่วนิรันดร์ เขาจะได้เห็นโลกอย่างแท้จริง!

จุดนี้ซูหมิงยังจำได้เสมอ เขาอยากเห็น!

นอกจากนี้แล้ว ในเส้นทางขวาตรงทางแยก สิ่งเหล่านั้นที่จิตสัมผัสเห็นทำให้จิตใจเขาสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคย…

ความรู้สึกคุ้นเคยนี้น้อยนิดมาก ขนาดเฟ้นหาดีๆ ก็ยังยากจะสังเกตเห็น มีแค่ตอนที่ไม่รู้ตัวเท่านั้นถึงจะเกิดความรู้สึกเหมือนเคยพบกัน

ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นในพริบตาเดียวตอนซูหมิงใช้จิตสัมผัสสำรวจเส้นทางขวา

เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร และไม่รู้ด้วยว่ายังมีคนอื่นอีกหรือไม่ในโลกนี้ที่มาที่นี่โดยบังเอิญ บังเอิญมาเห็นทิวทัศน์นี้ บังเอิญสร้างเรื่องบางอย่างขึ้นมาแล้วมีความรู้สึกเหมือนเคยพบเจอมาก่อน

ร่างซูหมิงพุ่งผ่านเส้นทางนี้ไป ข้ามผ่านทางที่กำลังถล่มลงมาจนถึงทางแยก ก่อนตรงเข้าไปในเส้นทางขวาอย่างไม่ลังเล

ยามนี้เส้นทางขวาตั้งตรงขึ้น ซูหมิงเหมือนเดินอยู่ในอุโมงค์เสาหิน บินขึ้นสู่ด้านบน อักขระของเส้นทางนี้สว่างไสว มันไม่ขยับวูบวาบอีก อีกทั้งรอยร้าวรอบๆ ยังมากขึ้นเรื่อยๆ ลำแสงลอดผ่านเข้ามา ตรงสุดเส้นทางนี้ก็คือพื้นที่กว้างโล่งที่จิตสัมผัสของซูหมิงตรวจพบก่อนหน้านี้ รอยร้าวบนกำแพงเยอะขึ้น กระทั่งยังมีรอยร้าวเส้นหนึ่งกว้างเท่ากำปั้น

ทันทีที่ซูหมิงเข้ามาในพื้นที่โล่งกว้าง เขากวาดสายตามองรอยร้าวเป็นอันดับแรก และเห็นว่านอกรอยร้าวมี…หมอกหนา ทว่ากลับเปล่งแสงสว่างพร่างพราว!

อีกทั้งยังมีไอหนาวมาพร้อมกับลำแสงจากในรอยร้าว

ในเวลาเดียวกัน ขณะทางเดินสั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้ง เสียงแหลมลากยาวดังเข้ามาจากข้างนอก ภายใต้แรงสั่นสะเทือน ซูหมิงมีความรู้สึกว่าท้องฟ้าสีทองสัมฤทธิ์ที่มีเส้นทางสายนี้อยู่กำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว

เขาหยุดหายใจ เหยียบเข้าไปในพื้นที่กว้างโล่ง และได้เห็นทุกสิ่งที่จิตสัมผัสเห็นกับตาตัวเอง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version