ตอนที่ 518 โลกภายนอก
ท้องฟ้าสายฝนเชื่อมต่อเป็นผืน ไม่มีอากาศแจ่มใสไปนิจนิรันดร์ ชั้นเมฆมืดครึ้มกดทับอยู่บนมหาสมุทรอันไร้ที่สิ้นสุด ผู้พบเห็นต้องเกิดความรู้สึกอึดอัด
เหล่าคนธรรมดาอาจสิ้นใจตายไปแล้ว ต่อให้โชคดีรอดจากภัยพิบัติในครั้งนี้ ชั่วชีวิตนี้ก็คงไม่เห็นฟ้าครามสดใสอีก เห็นเพียง…ความอึมครึมขมุกขมัว
หากอยากเห็นฟ้าสีคราม เว้นแต่จะมีขั้นพลังในระดับหนึ่ง บินข้ามชั้นเมฆดำเหล่านั้นขึ้นมาอยู่จุดสูงสุดของชั้นเมฆ ถึงจะมองเห็นท้องฟ้าที่ถูกปกคลุม
เพียงแต่การบินใต้ชั้นเมฆง่าย การจะข้ามผ่านชั้นเมฆที่เต็มไปด้วยสายฟ้าและแรงฉีกแยกนั้นยาก จำต้องมีร่างกายแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อีกทั้งหากขั้นพลังไม่ถึงขั้นวิญญาณหมาน คงยากจะรับมือกับสายฟ้าในชั้นเมฆได้นาน
ชั้นเมฆหนาปกคลุมแผ่นดินเผ่าเชมันในอดีต และปกคลุมเผ่าหมานเช่นกัน…
นอกจากน้ำทะเลแล้ว เมื่อมองไปไร้ที่สิ้นสุด…บนแผ่นดินใหญ่จะเห็นเพียงรางๆ ว่าทางตะวันออกมีเงามืดใหญ่อยู่กลางสายฝน เหมือนกับแผ่นดินรกร้างบูรพา ส่วนที่ไกลกว่านั้น…เป็นความว่างเปล่า
แดนอรุณใต้เหมือนหายไป
ท่ามกลางท้องฟ้ามืดสลัว ใต้เมฆดำม้วนตลบ ในม่านสายฝนมีร่างเงาสามคนกำลังบินมา กลายเป็นสายรุ้งยาวสามเส้นอยู่กลางฟ้าดิน
สามคนนี้มีสีหน้าตื่นตระหนก ยามนี้ใช้ความเร็วทั้งหมดบินไกลออกไปในชั่วอึดใจ ในสามคนนี้มีบุรุษสองสตรีหนึ่ง สามอาภรณ์ธรรมดา ใบหน้าไม่ได้โดดเด่นจากผู้คน มีเพียงขั้นพลังที่ยังนับว่าพอใช้
บุรุษคนที่แกร่งที่สุดเหมือนอยู่ครึ่งก้าวก่อนเชมันระดับปลาย ส่วนบุรุษอีกคนหนึ่งราวๆ เชมันระดับกลางตอนปลาย
ทว่าที่แปลกคือสตรีในสามคนนี้เป็นเผ่าหมาน อีกทั้งยังไม่ปิดบังอะไร ปลดปล่อยระลอกคลื่นขั้นเซ่นไหว้กระดูกทั้งตัว เห็นได้ชัดว่านางมีขั้นพลังราวๆ เซ่นไหว้กระดูกตอนปลาย
ด้วยขั้นพลังของสามคนนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งที่เพิ่งข้ามสู่เชมันระดับปลายทั่วไปก็ยังพอสู้ไหว ต่อให้สู้ไม่ไหว หากร่วมใจกันก็ยังพอหนีไปได้หนึ่งคน
ตอนนี้ทั้งสามคนกำลังบินอย่างรวดเร็วบนมหาสมุทร เพียงแต่พวกเขาล้วนมีสีหน้าตื่นตกใจ มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่ากำลังหนีอะไรบางอย่าง!
ด้านหลังสามคนนั้นมีสายรุ้งสองเส้นตามมาติดๆ เป็นชายชราหนึ่งผู้เยาว์หนึ่ง ชายชรามีสีหน้าไม่ใส่ใจ ตัวไม่ขยับ แต่มวลอากาศใต้เท้ากลับเคลื่อนไหว เด็กหนุ่มด้านหลังเขาก็มีสีหน้าโอหัง มองสามคนที่กำลังหนีอยู่ไกลๆ ด้วยความเหยียดหยาม
“อาจารย์ หรือว่าสามคนนี้จะเป็นคนเขลา รู้อยู่แล้วว่าหนีไม่รอด เหตุใดถึงยังหนีอย่างสุดชีวิตเช่นนี้อีก หากเป็นข้าขอสู้จนตัวตายดีกว่า!” เด็กหนุ่มมองชายชราข้างกายแวบหนึ่ง แล้วถามขึ้น
“เพราะข้าให้โอกาสพวกเขา” ชายชรากล่าวเสียงเรียบ ท่าทางปานสายลมเบาๆ ราวกับว่าโลกนี้แทบไม่มีเรื่องใดทำให้เขาเกิดคลื่นอารมณ์ได้
“ด้วยขั้นพลังของอาจารย์ จะสังหารสามคนนี้ก็เป็นเรื่องง่ายปานพลิกฝ่ามือ…” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว
“สามคนนี้เป็นเพียงเหยื่อล่อ หากข้าไม่ออกมาคงไม่อะไร แต่ในเมื่อข้าพาเจ้ามาล่าแล้วก็ต้องล่าให้ได้มากขึ้นอีก ตอนพวกมันหนีจะร้องเรียกไม่หยุด และนั่นจะดึงดูดคนแดนอรุณใต้ให้เข้ามาเยอะขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ในงานครั้งใหญ่หมัวหลัว เจ้าก็จะมีวีรกรรมสงครามพอเข้าวิหารหมัวหลัว” ชายชรายังกล่าวอย่างเฉยชา ประดุจว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือแล้ว
“นี่คือการตกปลาหรือ?” เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเหี้ยมโหด มองสามคนที่กำลังหลบหนี รอยยิ้มฉีกกว้างขึ้น
“งานครั้งใหญ่หมัวหลัว…” เด็กหนุ่มมีสีหน้าเฝ้ารอคอย เหมือนคำๆ นี้มีแรงดึงดูดต่อเขายิ่งนัก
“ก่อนงานหมัวหลัวในอีกครึ่งปีให้หลังนี้ จะมีชาวเผ่าจำนวนมากเดินทางมายังบึงรกร้างอรุณใต้เพื่อเอาวิญญาณของที่นี่ ฉะนั้นพวกเราจึงต้องเดินทางมาก่อนล่วงหน้า”
ขณะอาจารย์กับศิษย์กำลังคุยกัน บนผิวทะเลตรงทั้งสามคนที่กำลังหลบหนีพลันระเบิดเป็นวงใหญ่ น้ำทะเลกระเพื่อมออกรอบๆ ฉับพลันนั้นมีร่างเงาสี่คนพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เมื่อปรากฏตัวแล้วก็เผยเป็นคนสี่คน
สี่คนนี้ล้วนเป็นชายวัยกลางคน ในนั้นมีเผ่าหมานสามคน มีเชมันหนึ่งคน ช่วงที่สี่คนนี้ปรากฏตัว พวกเขาก็ปลดปล่อยขั้นพลังของตัวเอง สามคนที่หลบหนีอยู่ด้านหน้าหยุดชะงักแทบจะทันที แล้วรวมกลุ่มเข้ากับสี่คนอย่างไม่ลังเล ก่อนตรงเข้าใส่ชายชรากับเด็กหนุ่ม
“กับอีแค่เซ่นไหว้กระดูกกับเชมันระดับกลาง ยังกล้าคิดซุ่มโจมตีข้า” ชายชรากล่าวเรียบๆ นัยน์ตาฉายแววเหยียดหยาม ยกมือขวาขึ้นกดไปทางทะเลด้านล่าง
เมื่อกดมือลง น้ำทะเลเกิดเสียงดังสนั่น ยกขึ้นมาเป็นคลื่นลูกใหญ่ พริบตาเดียวก็ปกคลุมสี่คนนี้เอาไว้ เสียงโครมครามดังปะปนกับเสียงร้องโหยหวน เมื่อคลื่นสงบลง ในเจ็ดคนมีห้าคนร่างระเบิดกระจุยกลายเป็นเศษเนื้อตกลงผิวทะเล ชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่เหลือกระอักโลหิต มีสีหน้าเศร้าโศก รีบถอยไปอย่างเร็วรี่ แล้วเริ่มหนีด้วยความเร็วทั้งหมดอีกครั้ง
ชายชรายืนส่ายศีรษะอยู่ที่เดิม
“คนแดนอรุณใต้เปราะบางถึงขั้นรับไม่ไหวในท่าเดียว ไปเถอะ สังหารอีกสามร้อยคน เจ้าก็จะมีวีรกรรมในสงครามมากพอแล้ว” ชายชรากล่าวเสียงเบา แล้วไล่ตามสองคนด้านหน้าต่อ
เด็กหนุ่มมองอาจารย์ของตนด้วยสีหน้าเลื่อมใส รีบตามหลังไป
……….
ณ ส่วนลึกทะเลมรณะห่างจากที่นี่ไปค่อนข้างไกล กลางความมืดมิดมีแสงวูบวาบ แสงนั้นมาจากก้นทะเล มาจากประตูบานหนึ่งที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกโบราณ
ประตูนี้ใกล้จะพังลงแล้ว หลังจากแสงหายไปก็ปรากฏร่างเงาคนผู้หนึ่ง
ร่างนี้คือซูหมิง!
ซูหมิงอยู่ในก้นทะเลมรณะ เขาหันกลับไปมองประตูบานนั้นแวบหนึ่ง ครู่ใหญ่ต่อมาก็ขยับตัวบินขึ้นเหนือผิวทะเล ทะเลมรณะไม่มีแสงสว่างมากนักและมีสัตว์ร้ายทะเลจำนวนมาก ทว่าช่วงที่ซูหมิงบินขึ้น มีแสงสีม่วงเปล่งจากตัวเขา ทำให้สัตว์ร้ายทั้งหมดล้วนตัวสั่นและถอยไปอย่างเร็ว เหมือนกับว่าซูหมิงในยามนี้น่ากลัวอย่างยิ่งในความรู้สึกของพวกมัน
ซูหมิงห้อเหยียดอยู่ในทะเลอย่างเงียบๆ ด้วยความเร็วของเขา ก้นทะเลจึงเกิดเป็นน้ำวนหมุนโคจร ทั้งยังมีเสียงดังสนั่น แม้แต่ผิวทะเลยังหมุนวนอย่างเนิบช้า ครู่ต่อมาผิวทะเลพลันระเบิดขึ้น ท่ามกลางเสียงโครมดังสนั่น ร่างซูหมิงพุ่งขึ้นมาจากก้นทะเล
น้ำทะเลลอยขึ้น ผสานรวมกับสายฝนจากผืนฟ้าแล้วตกลงมาอีกครั้ง ซูหมิงยืนอยู่บนผิวทะเล เขามองไปรอบๆ เห็นเป็นความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด จากนั้นก็เงียบงันอยู่นาน
‘แดนอรุณใต้…น่าจะไม่อยู่แล้ว’ ซูหมิงมองไปทางใต้ ตรงนั้นเป็นที่ตั้งของเผ่าหมานและยอดเขาลำดับเก้า
มองไปมองมา นัยน์ตาซูหมิงเกิดความคิดถึงอย่างลึกซึ้ง เขาคิดถึงยอดเขาลำดับเก้า คิดถึงอาจารย์ คิดถึงศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง และยังมีหู่จื่อ
“ยี่สิบปี…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขาออกจากยอดเขาลำดับเก้ามายี่สิบปีแล้ว ยามนี้กลับมาจากโลกน้ำแข็ง ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะไปแผ่นดินหมาน ไปยอดเขาลำดับเก้า ไปหาทุกอย่างในอดีต
ขณะกำลังคิดถึงอยู่นี้ ซูหมิงขยับวูบไหวกลายเป็นสายรุ้งยาวห้อเหยียดอยู่บนฟ้า มุ่งหน้าไปยังแผ่นดินใหญ่หมาน
เขาไม่ปกปิดขั้นพลังแม้แต่น้อย พลังทะลวงฟ้าและความเร็วน่าสะพรึง อีกทั้งยังมีไอหนาวจากตัวซูหมิงที่สะสมมาหลายปี ทำให้ขณะบินเพียงพอจะสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้สังเกตเห็น
ต่อให้เป็นผู้มีขั้นพลังวิญญาณหมานหรือเชมันระดับปลาย หากสัมผัมถึงกลิ่นอายพลังจากตัวซูหมิงในตอนนี้ก็จะรู้สึกถึงแรงกดดัน ความรู้สึกนี้จะทำให้ตื่นกลัวจนอยู่ไม่เป็นสุข!
ซูหมิงห้อเหยียดโดยไม่หยุดพัก สายตามองทะเลเบื้องล่าง เขาเห็นหมู่เกาะหลายจุดลอยอยู่บนผิวทะเล!
‘แดนอรุณใต้ถูกชนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ…บ้างก็จมลงสู่ก้นทะเล บ้างก็กลายเป็นหมู่เกาะจำนวนมาก ภูมิประเทศทั้งแดนอรุณใต้เปลี่ยนไปหมดเลย’
ซูหมิงส่ายศีรษะ ร่างเงาขยับวูบวาบหายวับไปแล้วมาปรากฏตัวอยู่ไกลมาก ขณะกำลังมุ่งหน้าไปทางเผ่าหมานในอดีต เขาพลันหยุดชะงัก เอียงศีรษะมองผิวทะเลอยู่ไกลๆ แวบหนึ่ง
“ที่นั่นคือ…..” ซูหมิงอึ้งงัน ก่อนเปลี่ยนทิศทาง
…………
บนทะเลมรณะมีหมู่เกาะหนึ่ง หมู่เกาะนี้ดูเล็กมาก เต็มไปด้วยหินภูเขา ด้านบนดูโล้นเตียน ไม่มีพืชพรรณใดๆ
เดิมทีที่นี่ไม่มีหมู่เกาะ กระทั่งรอบๆ แดนอรุณใต้ในตอนนั้นยังไม่มี แต่หลังจากภัยพบิติก็เริ่มปรากฏหมู่เกาะขึ้น
บนหมู่เกาะนี้มีคนอาศัยไม่ถึงยี่สิบคน มีม่านแสงบางๆ อยู่ ม่านแสงนี้ก่อขึ้นเป็นเกราะคุ้มกันอย่างง่ายๆ กลางหมู่เกาะ คนสิบกว่าคนนี้สร้างเป็นถ้ำอาศัยอย่างง่ายๆ อยู่หลายแห่ง
จุดที่พวกเขาอยู่เหมือนกับเทือกเขา ตรงหน้าผาด้านบนเทือกเขามีรูปปั้นหนึ่ง รูปปั้นนี้ถูกแกะสลักขึ้น แต่ก็มองออกว่ามันเป็นลักษณะของบุรุษผมยาวคนหนึ่ง
บุรุษคนนี้เงยหน้ามองทอดไกล มือขวาถือคันศรใหญ่ เพียงแต่ใบหน้าเขาดูไม่ชัดเจน
ใต้รูปปั้นบุรุษคนนั้น ตอนนี้บนหินภูเขามีชายชรานั่งอยู่สองคน สองคนนั้นสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ใบหน้าแก่ชรา กำลังหลับตานั่งณาน มีควันลอยมาจากในถ้ำหุบเขาด้านล่าง มาจากชาวเผ่าที่กำลังเตรียมอาหารอยู่
สำหรับเผ่าเล็กๆ เกือบยี่สิบคนนี้ ตั้งแต่พวกเขารวมตัวจนเกิดหมู่เกาะขึ้นก็ใช้ชีวิตไปวันๆ เช่นนี้
ไม่นาน เริ่มมีคนทยอยกันเดินออกมาจากในถ้ำนั้น คนเหล่านี้มีบุรุษและสตรี มีชราและเด็ก หลังจากทยอยกันมาอยู่บนเทือกเขาแล้ว ก็คุกเข่าลงกราบไหว้รูปปั้นนั้น
“เผ่าชะตาชีวิตถือกำเนิดในถิ่นรกร้าง เดิมทีไม่มีอนาคต เพราะอนาคตพวกเราต้องสร้างเอง…ถวายบูชาโม่จวิน จนกว่าเผ่าชะตาชีวิตจะสูญสิ้น…”
“โม่จวินคือสวรรค์ พวกเราคือวิญญาณ คำถวายนี้จะอยู่จวบจนชั่วชีวิต อยู่ทุกยุคสมัยไม่เสื่อมคลาย…”
“ใต้ขุนเขาแม่น้ำสวรรค์คือจุดรวมพล เผ่าชะตาชีวิตจงจำเอาไว้ ตามหา…ขุนเขาแม่น้ำสวรรค์…”
ทุกวันจะทำการกราบไหว้เช่นนี้ หลายปีมานี้พวกเขาอยู่ท่ามกลางพายุฝน แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจขวางการทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา