Skip to content

สู่วิถีอสุรา 522

ตอนที่ 522 หญิงบำเรอ

วินาทีที่จำได้ว่าซูหมิงเป็นศิษย์ร่วมสำนักบนยอดเขาลำดับเก้า จื่อเยียนเบิกตากว้าง นางไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเห็น ความจริงแล้วก่อนหน้านี้นางยังสงสัยเล็กน้อย แต่คำว่าศิษย์หลานจากปากซูหมิงกลับทำให้นางอึ้งงันปานถูกฟ้าผ่า

“จะ…เจ้าคือซูหมิงจริงๆ?” จื่อเยียนมองซูหมิง จนถึงตอนนี้นางยังคงไม่อยากเชื่อว่าร่างบนยอดเขาลำดับเก้าในความทรงจำกับคนที่เพียงสะบัดมือก็สังหารผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณหมานตอนกลางตรงหน้านี้จะเป็นคนเดียวกัน

“ต้องเรียกข้าอาจารย์อา” ซูหมิงมองจื่อเยียน ใบหน้าเผยรอยยิ้มบาง ในความคิดซูหมิง สตรีตรงหน้านี้เป็นพี่สาวของจื่อเชอ อีกทั้งยังเป็นคนที่ศิษย์พี่รองเหมือนจะมีใจให้

“อะ….อาจารย์อาซู” จื่อเยียนลังเลครู่หนึ่ง ก่อนประสานมือคารวะซูหมิงโดยไม่รู้ตัว ในแววตายังคงตื่นตะลึง

“ข้าไม่ได้กลับเผ่าหมานมานานปี ไม่รู้ว่าตอนนี้ยอดเขาลำดับเก้าเป็นอย่างไรบ้าง”

ซูหมิงมองสตรีตรงหน้า นางไม่สง่าเหมือนเมื่อก่อน เด็กสาวผู้งดงามในอดีตคนนั้น ยามนี้ดูไม่ดีเท่าวัยกลางคน ริ้วรอยตรงหางตาแม้จะไม่เด่นชัดนัก ทว่าก็ยังมองเห็นอยู่บ้าง

กาลเวลาเคลื่อนผ่านหญิงผู้นี้อย่างอ่อนนุ่ม พัดพาไปไม่มาก ทว่ากลับฝากประสบการณ์โชกโชนและความสุกงอมเอาไว้ เด็กสาวในตอนนั้นกลายเป็นสตรีวัยกลางคนผู้มีเสน่ห์เหลือล้นไปแล้ว

เดิมทีนางงดงามอยู่แล้ว แม้ตอนนี้อายุจะมากขึ้น แต่เห็นแล้วก็ยังหวั่นไหว มีเสน่ห์ที่ต่างจากความเด็ดเดี่ยวของเด็กสาวอยู่ภายใน เพียงแต่ว่า…

ระหว่างนางกับหยามู่เหมือนจะมีความสัมพันธ์บางอย่างที่ไม่ธรรมดา

จื่อเยียนได้ยินซูหมิงกล่าวก็ระงับความตะลึงในใจ แล้วแทนที่ด้วยความสับสน นางนึกไม่ถึงเลยว่าซูหมิงที่หายตัวไปเมื่อยี่สิบปีก่อนจะมาปรากฏตัวตรงหน้าตน อีกทั้งยังแกร่งขนาดนี้ แกร่งถึงขั้นที่ในความฝันก็ยังไม่กล้าคิด

อีกฝ่ายในตอนนี้พูดได้ว่าเป็นอาจารย์อาอย่างเต็มภาคภูมิ สีหน้าจื่อเยียนจึงมีความยำเกรงเพิ่มขึ้นมาพร้อมกับความสับสนโดยไม่รู้ตัว

“สำนักเหมันต์สวรรค์…แตกแยกไปเมื่อห้าปีก่อนแล้ว ฝ่ายนภาจากไป พาศิษย์ผู้โดดเด่นไปจำนวนมาก จากนั้นใช้พลังของฝ่ายนภาบนสวรรค์เก้าชั้นรับมือกับภัยพิบัติแดนรกร้างบูรพา

ยอดเขาบนแผ่นดินยังเหลือซากอยู่ มันถูกทิ้งร้างเอาไว้…ศิษย์แต่ละยอดเขาส่วนใหญ่กระจัดกระจายกันไป ข้ากับศิษย์น้องหญิงหลายคนออกมาจากที่นั่นพร้อมกัน…ระหว่างทางเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย จนกระทั่ง…เจอกับผู้อาวุโสอวิ๋นไหล…” กล่าวถึงตรงนี้ จื่อเยียนมีสีหน้ามัวหมองและยากจะเอ่ย

“ส่วนยอดเขาลำดับเก้า ตอนนั้นสำนักวุ่นวายครั้งใหญ่ ขะ….ข้าไม่ได้สนใจอะไรมาก” จื่อเยียนกล่าวถึงตรงนี้ก็เห็นซูหมิงขมวดคิ้วน้อยๆ

“แต่ข้าจำได้ว่าอาจารย์อารองเคยออกไปข้างนอกเมื่อหลายปีก่อนเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ เหมือนว่าจะไม่เคยกลับมาอีกเลย” จื่อเยียนรีบกล่าว

ซูหมิงเงียบ ผ่านไปพักใหญ่จึงเงยหน้ามองไปทางเผ่าหมานที่อยู่ไกลๆ

“แล้วอาจารย์ของข้าล่ะ?”

“อาจารย์ปู่เทียนเสียจื่อ ขะ….ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้ารู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ของท่านออกฌานเมื่อห้าปีหลังจากมหาสงครามหมานกับเชมัน เมื่อจากไปแล้วไม่รู้ว่ากลับมาหรือไม่”

จื่อเยียนนึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบกล่าวต่อ นางมองซูหมิง แม้ไม่เจอกันยี่สิบปี ทว่าภาพในอดีตยังคงอยู่ในความทรงจำ อาจารย์อารองของยอดเขาลำดับเก้าชอบพอตน เหตุใดนางจะดูไม่ออก

เพียงแต่นึกถึงตอนนี้ ในใจจื่อเยียนก็เกิดความเศร้า ทั้งยังมีอารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปมาก

‘หากตอนนั้นข้ากับศิษย์พี่รองของเขาอยู่ด้วยกัน เช่นนั้นตอนนี้….’ ในใจจื่อเยียนเจ็บปวดเล็กน้อย นางนิ่งเงียบไป

หยามู่ข้างๆ มีสีหน้าตะลึงงัน พอได้ฟังคำพูดของซูหมิงกับจื่อเยียนแล้วก็ค่อยๆ เบิกตากว้างเหม่อมองซูหมิง ลมหายใจกระชั้นขึ้นทันใด

‘โม่ซู…โม่จวิน…ซูหมิง….’ หยามู่มองซูหมิง ความคิดสับสนวุ่นวาย เขารู้จักซูหมิง จำได้ว่าในเผ่าทะเลใบไม้ร่วง ตนยังเคยนั่งคุยกับอีกฝ่ายข้างกองไฟ และก็จำได้ว่า….

“ผู้เยาว์หยามู่คารวะผู้อาวุโส บุญคุณของผู้อาวุโสในครั้งนี้ ผู้เยาว์จะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต!” หยามู่ถอยหลังมาหลายก้าว แล้วประสานมือคารวะซูหมิง

การคารวะครั้งนี้ เขาคารวะหงหลัวในตอนนั้น รวมถึงตอนที่หงหลัวสังหารเชมันระดับปลายในเผ่าแล้วส่งพลังชีวิตทั้งหมดของคนผู้นั้นให้กับตน ยามนี้เขาจึงอยู่ครึ่งก้าวก่อนเชมันระดับปลาย

เรื่องราวในอดีตเหล่านั้นค่อยๆ เป็นที่รู้กันในวงกว้างท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของเวลา โดยเฉพาะคนที่เคยเห็นและรู้จักซูหมิง

“ไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสโม่กับคนรักของข้าจะเป็นสำนักเดียวกัน มาจากสำนักเหมันต์สวรรค์ของเผ่าหมาน…” หยามู่มีสีหน้านอบน้อม หลังจากเงยหน้าขึ้นแล้วก็รู้สึกปลงอนิจจัง

“คนรัก?” นัยน์ตาซูหมิงเพ่งมอง เขากับหยามู่รู้จักกันไม่มาก ไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน นับเป็นเพียงคนรู้จักเท่านั้น ซึ่งต่างกับจื่อเยียน

เมื่อซูหมิงเพ่งมองมา ในสายตาคนอื่นเหมือนมีแสงทองวูบวาบ ความน่าเกรงขามที่บีบคั้นจิตใจพลันปรากฏตามสายตา

หยามู่เห็นแล้วก็เกิดความรู้สึกคล้ายจิตใจจะสลาย ร่างถอยหลังไปอีกครั้ง มีเสียงโครมดังในความคิด เหมือนกับตัวเขากลายเป็นเรืออยู่กลางทะเลคลั่งเพียงลำพัง และพังทลายลงได้ทุกเมื่อ

แรงกดดันนี้เหมือนไม่ได้แสดงออกมา ทว่ากลับมีความน่าเกรงขามอยู่ หยามู่หน้าเปลี่ยนสี ลมหายใจแทบจะหยุดนิ่ง ในสายตาเขาซูหมิงอยู่เหนือจิตใจเขาทั้งหมด ราวกับเพียงความคิดอีกฝ่ายเคลื่อนไหว ชีวิตตนจะต้องดับดิ้น

จื่อเยียนรีบเดินเข้ามา ขวางสายตาที่ซูหมิงมองหยามู่เอาไว้ สีหน้าสับสนแฝงไว้ด้วยกาลเวลาโชกโชน นางขยับปากเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง

“นี่คือเรื่องส่วนตัวของเจ้า ไม่เกี่ยวข้องกับแซ่โม่ ข้าแค่ไม่ค่อยเข้าใจ ศิษย์พี่รองของข้าไม่คู่ควรกับเจ้าตรงไหน?” ซูหมิงขมวดคิ้ว มองจื่อเยียนพลางส่ายศีรษะ

“พวกเจ้าไปเถอะ”

จื่อเยียนหน้าซีด ประสานมือคารวะซูหมิงอย่างเงียบๆ แล้วดึงหยามู่ที่สติยังเหม่อลอยอยู่ข้างๆ ขณะทั้งสองคนกำลังจะจากไปนั้น จื่อเยียนลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วหันมามองซูหมิง

“อาจารย์อาซู ท่านยังจำหานชางจื่อได้หรือไม่? ตอนนั้นหลังจากสำนักเกิดความวุ่นวายนางก็มากับข้าด้วย หากท่านยังจำนางได้ ข้าอยากจะขอร้องให้ท่านช่วยนาง…” จื่อเยียนมองซูหมิงพลางกล่าวเสียงเบา

“เห็นแก่ที่เป็นสำนักเดียวกัน เห็นแก่ที่ตอนนั้นนาง…ชอบพอท่านเป็นพิเศษ อาจารย์อาซูโปรดช่วยนางด้วย…”

‘หานชางจื่อ…’ เมื่อซูหมิงได้ยินชื่อนี้ ตรงหน้าเขาผุดภาพสตรีผู้งดงามคนหนึ่ง สายตาอบอุ่นของนาง นิสัยอ่อนโยน และยังมีสายตาเด็ดเดี่ยว ภาพต่างๆ ในเมืองเขาหานกับเรื่องระหว่างซือหม่าซิ่นผุดขึ้นในความทรงจำเขา

ความทรงจำเหล่านี้เต็มไปด้วยฝุ่นละออง ทว่าตอนนี้มันกลับชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

“ฟางชางหลัน” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“เป็นศิษย์น้องหญิงฟาง!” จื่อเยียนเห็นซูหมิงเอ่ยชื่อหานชางจื่อ นัยน์ตาก็ฉายแววฮึกเหิม

“สี่ปีก่อนผู้อาวุโสอวิ๋นไหลจะให้ศิษย์น้องหญิงฟางมาเป็นหญิงบำเรอของเขา แต่เพราะวิชาที่ศิษย์น้องหญิงฟางฝึกฝนจึงถูกเลื่อนออกไป สองปีก่อนก็ยังเป็นเช่นนี้ ทว่าตอนนี้นางจะฝึกสำเร็จแล้ว เรื่องนี้จึงเลื่อนออกไปไม่ได้อีก หากผู้อาวุโสอวิ๋นไหลออกจากฌานมาแล้วเสนอข้อเรียกร้องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ศิษย์น้องหญิงฟางไม่มีทางปฏิเสธได้อีกแน่….” จื่อเยียนมองซูหมิง พลันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนใจ

ซูหมิงนิ่งเงียบ ร่างหญิงสาวในความทรงจำชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่ละภาพในอดีตย้อนกลับมา มักจะมีความรู้สึกคล้ายม่านบางๆ กั้นอยู่ ยี่สิบปีถือว่าไม่นาน

ทว่าซูหมิงวนเวียนอยู่ในโลกอมตะไม่รู้กี่ครั้ง ในสีหน้าเขาจึงมีร่องรอยของกาลเวลาอันโชกโชนตลอด คนนอกมองไม่เห็น

จื่อเยียนยังคงรอคำตอบซูหมิง เพียงแต่เวลาผ่านไปจนกระทั่งหยามู่ได้สติกลับมาแล้วมองซูหมิงด้วยความหวาดกลัว ซูหมิงก็ยังไม่กล่าวอะไร เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองทอดไกล ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

ใบหน้าจื่อเยียนขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าวขณะมองซูหมิง นัยน์ตาเริ่มชื้นๆ

“ช่างเถอะ นี่ไม่ใช่เรื่องของท่าน ท่านไม่มีเหตุผลอะไรต้องมาช่วย ข้ารู้ว่าตอนนั้นศิษย์พี่รองของท่านรู้สึกดีกับข้า หากย้อนเวลาไปได้ หากข้ากลับไปตอนนั้นได้ ข้าก็คงรับไว้….

ทว่ามันเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่หรือ…

หยามู่พูดถูก ข้าเป็นคนรักฝึกสองผสานของเขา ข้าไม่ใช่สาวแรกรุ่นเหมือนตอนนั้นแล้ว ข้าไม่ใช่เพียงคู่ฝึกสองผสานของเขาเท่านั้น ข้ายังเคยเป็นหญิงบำเรอของผู้อาวุโสอวิ๋นไหลด้วย จากนั้นเขาก็มอบข้าให้กับหยามู่ราวกับสิ่งของ!”

จื่อเยียนหน้าซีด ฝืนยิ้มเศร้า น้ำเสียงอ้างว้างเล็กน้อย นางน้ำตาไหลไม่หยุดราวกับอัดอั้นมานานหลายปี ตอนนี้ทนไม่ไหวอีกจึงระเบิดออกมา

“ท่านดูถูกข้าได้ ทว่าท่านไม่ใช่ข้า ท่านไม่มีวันรู้หรอกว่าหญิงคนหนึ่งจะต้องใช้ชีวิตอย่างไรหลังจากถูกสำนักทอดทิ้ง ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติรกร้างบูรพาที่จะมาถึงได้ทุกเมื่อ และยังมีความวุ่นวายบนแผ่นดินหมาน!

ชางหลันมีนิสัยอ่อนโยน พวกข้าสองคนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายก่อนภัยพิบัติ โลกนี้ไม่มีหลักการอีกต่อไป ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎของผู้แข็งแกร่งอย่างโจ่งแจ้ง รู้หรือไม่ว่าพวกข้าต้องใช้ชีวิตอย่างไร!

จนกระทั่งมาเจอผู้อาวุโสอวิ๋นไหล เขาสนใจชางหลัน ทว่านิสัยชางหลันมีความเข้มแข็งในความอ่อนโยน ยอมตายไม่ยอมปฏิบัติตาม และเป็นข้าที่ยอมแทนนาง เป็นหญิงบำเรอของผู้อาวุโสอวิ๋นไหล ยอมเอาใจทุกอย่าง พวกข้าสองคนถึงรอดชีวิตมาจากภัยพิบัติได้ อีกทั้งยังมาถึงเผ่าเชมัน

ทุกคนล้วนมีสิทธิ์เลือกชีวิตตัวเอง ต่อให้เลือกผิด แต่หากมีชีวิตรอดนั่นก็คือถูกต้อง…ท่านไม่ช่วยชางหลันก็ได้ ท่านมันก็แค่คนที่นางหลงผิดเมื่อยี่สิบปีก่อน!”

จื่อเยียนปาดน้ำตา นัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยว ไม่มองซูหมิงอีก แต่กลายเป็นสายรุ้งยาวบินขึ้นฟ้าไป หยามู่ตามอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ สายตาที่มองจื่อเยียนมีความอ่อนโยนและสงสารจับใจ ทั้งยังมีความคิดที่จะปกป้องนางซ่อนอยู่ในแววตา

เขาชอบจื่อเยียน เมื่อหลายปีก่อนตอนเจอครั้งแรกก็ชอบสตรีผู้งดงามทว่าซ่อนความเศร้าโศกไว้ผู้นี้แล้ว

เขาเห็นนางยืนอยู่ข้างโขดหินมืดๆ เพียงลำพังด้วยความบังเอิญ นางกำลังมองผืนทะเล ช่วงที่ตรงหางตามีประกายน้ำตาและความเหนื่อยล้า

ภาพนั้นติดอยู่ในใจหยามู่ไปชั่วนิรันดร์

ฉะนั้นเขาจึงอ้อนวอนจงเจ๋อเชมันระดับสูงสุดให้จ่ายไปในราคาสูงลิ่วเพื่อซื้อจื่อเยียนที่อวิ๋นไหลเบื่อแล้วกลับมา

ซูหมิงเงยหน้ามองจื่อเยียนกับหยามู่จากไป แม้สีหน้าสงบนิ่ง ในใจกลับสั่นไหวเพราะคำพูดของจื่อเยียน

“นางอยู่ที่ใด?” ซูหมิงกล่าวเนิบๆ เดิมทีเขาไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว เพียงแค่ยังเหม่อลอยอยู่ในความทรงจำเท่านั้น จื่อเยียนเลยเข้าใจผิดไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version