Skip to content

สู่วิถีอสุรา 523

ตอนที่ 523 เกาะบึงใต้

“เกาะบึงใต้!” จื่อเยียนหยุดชะงักกลางอากาศ หันกลับมามองซูหมิงในทันที

“พวกเจ้าสองคนรอข้าอยู่ที่นี่สักสองสามวัน แล้วข้าไปจะไปเกาะบึงใต้กับพวกเจ้า”

น้ำเสียงซูหมิงสงบนิ่ง ทว่ากลับทำให้ความยินดีและเศร้าหมองในใจผสานรวมกัน จื่อเยียนมองซูหมิงแล้วพยักหน้า

การตัดสินใจของจื่อเยียนในบางครั้ง หยามู่ไม่เคยคัดค้าน แต่อนุญาตนางอย่างเงียบๆ เขาจึงไม่จากไปและหยุดรออยู่บนเกาะนี้

เผ่าชะตาชีวิตมองซูหมิงด้วยแววตาฮึกเหิมราวกับสามารถสั่นคลอนฟ้าดิน เพียงซูหมิงเอ่ย พวกเขาก็ยอมจ่ายทุกอย่าง

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ ซูหมิงสร้างภาพจำฝังอยู่ในใจพวกเขาเป็นเวลาหลายปี และยังมีเหตุการณ์ต่างๆ รวมถึงการคารวะต่อซูหมิงในโลกเก้าหยิน

ความต่างของเผ่าชะตาชีวิต ทำให้คนกลุ่มนี้ยากจะใกล้ชิดกับคนภายนอกได้นาน เพราะความเย็นชาและอดีตที่เคยถูกทิ้ง ฉะนั้นเผ่าชะตาชีวิตจึงไม่เชื่อคนภายนอก พวกเขาเชื่อแต่ตัวเอง เชื่อคนในเผ่าตัวเอง

ในชีวิตพวกเขาไม่มีความคิดซับซ้อนอะไรมาก ชีวิตสิบห้าปีในโลกเก้าหยินเปลี่ยนพวกเขาไปมาก รวมถึงทัศนคติต่อการฝึกฝน แทบทุกคนที่รอดชีวิตมาจากสิบห้าปีนั้น ในหนึ่งวันพวกเขาจะใช้ไปกับการฝึกฝนทั้งหมด

ต้องแข็งแกร่งขึ้น ต้องทนกับความเหงาที่คนอื่นทนไม่ไหวให้ได้เท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอด ถึงจะกุมชะตาชีวิตของตัวเองได้!

ฉะนั้น หลังจากพวกเขารวมตัวกันมาสิบกว่าคนแล้วจึงปฏิเสธคำเชิญของหยามู่ในตอนนั้น ตัดขาดจากโลกภายนอก และอาศัยอยู่บนเกาะเล็กนี้ ปรับเปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นที่เหมาะสำหรับการอาศัย

ด้วยเหตุนี้เองซูหมิงจึงไม่โน้มน้าวให้เผ่าชะตาชีวิตไปพร้อมกับเขา แต่ใช้เวลาสามวันจัดระเบียบเกาะนี้อย่างละเอียด

อันดับแรกเขาเสริมอาคมคุ้มกันให้หนาขึ้น ด้วยขั้นพลังของซูหมิงตอนนี้ เขาใช้วงแหวนอาคมที่หู่จื่อถ่ายทอดให้ทั้งหมด สร้างขึ้นเป็นการป้องกันชั้นแรกของเกาะนี้

จากนั้นเขาก็ดำลงไปยังก้นทะเลมรณะ

ตอนกลับขึ้นมา ในทะเลมีคนยักษ์ทะเลมรณะแปดตน พวกมันนั่งขัดสมาธิโอบล้อมก้นทะเลนอกเกาะเอาไว้ พวกมันไม่มีจิตวิญญาณ เพราะถูกโอสถชิงวิญญาณสูบไป

จากนั้นก็ยังมอบโอสถชิงวิญญาณเม็ดหนึ่งให้ชาวเผ่าชะตาชีวิต หากเกาะนี้เจออันตรายอีก คนยักษ์แปดตนนั้นจะเป็นเกราะป้องกันชั้นสอง!

หลังจากนั้นซูหมิงก็ถือคันศรใหญ่สองคันเอาไว้ในมือ แล้วใช้พลังของเซ่นไหว้กระดูกทั่วร่างจัดระเบียบมัน ทำให้หลังจากง้างธนูแล้วอานุภาพเฉียบคมขึ้นหลายส่วน สิ่งนี้ก็คือเกราะป้องกันชั้นที่สาม

ยังไม่จบ แม้ซูหมิงไม่เข้าใจคลื่นพลังความตาย ทว่าจากคำอธิบายของชาวเผ่าชะตาชีวิต ซูหมิงได้ปรับแก้ตามความเห็นของชาวเผ่า ฉะนั้นเมื่อปล่อยคลื่นพลังความตายแล้วอานุภาพจะมากกว่าเมื่อก่อน นี่ก็คือเกราะป้องกันชั้นที่สี่

เพียงเท่านี้ซูหมิงยังไม่ค่อยวางใจ ถึงอย่างไรที่นี่ก็อยู่ในทะเลมรณะ ไม่เพียงแต่จะมีภัยพิบัติจากแดนรกร้างบูรพาเท่านั้น มันยังมีสัตว์ร้ายทะเลมรณะบุกโจมตีอีกด้วย ฉะนั้นเขาจึงวางจิตสัมผัสเอาไว้อยู่ในรูปปั้นของตัวเอง ใช้พลังของรูปปั้นนี้ผนึกกับจิตสัมผัส ก็จะทำให้รูปปั้นมีพลังโจมตีทางจิตเหมือนกับขั้นกล่อมเกลาจิตสามครั้ง

นี่คือเกราะป้องกันชั้นที่ห้า!

นอกจากนี้ซูหมิงยังมอบศพพิษเอาไว้ให้ นี่คือเกราะป้องกันชั้นที่หก! มีศพพิษอยู่ ด้วยการผสานกันของกลอุบายต่างๆ เหล่านี้ หากมีขั้นวิญญาณหมานตอนกลางมาอีก ซูหมิงก็ไม่ต้องลงมือแล้ว ด้วยการป้องกันหลายชั้นของที่นี่จะทำให้อีกฝ่ายต้องถอยไป!

เว้นแต่จะเป็นการบุกมาครั้งใหญ่ ทว่าเรื่องแบบนั้นซูหมิงเตรียมรับมือเอาไว้แล้ว จากวิธีในมรดกของหงหลัว ซูหมิงจึงวางอาคมเคลื่อนย้ายแบบง่ายๆ เอาไว้ อาคมนี้ใช้หินวิญญาณของซูหมิงเป็นพลังในการเปิด ในช่วงอันตราย ชาวเผ่าชะตาชีวิตสามารถออกไปจากที่นี่ด้วยอาคมนี้

อีกทั้งเพราะการจัดระเบียบของซูหมิง เกาะนี้จึงแกร่งดุจเศษของป้อมปราการ มอบโอกาสให้ชาวเผ่าชะตาชีวิตออกไปข้างนอกคนหนึ่งได้อย่างปลอดภัย และตามหาชาวเผ่าเดียวกันในตอนนั้นให้เจอ

ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นที่ตั้งชนเผ่าชะตาชีวิต มันยังเป็นที่ฝึกฝนชั่วคราวให้กับซูหมิงบนหมู่เกาะจำนวนมากในทะเลมรณะ ที่นี่….เขาจะสงบใจอย่างไร้กังวล เพราะว่าเขาคือเทพเจ้าของคนเหล่านี้!

หลังจากวางการป้องกันในครั้งนี้แล้ว ชาวเผ่าชะตาชีวิตทั้งหมดคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วคารวะขึ้นฟ้า เรียกโม่จวินด้วยสายตาฮึกเหิม ในเวลาเดียวกัน ซูหมิง จื่อเยียน และหยามู่ก็จากไป

จนกระทั่งออกมาจากเกาะ หยามู่ยังมีความรู้สึกปานความฝัน ความแกร่งของเผ่าชะตาชีวิต ความลับ และยังมีความเย็นชากับความฮึกเหิมหลังจากพบซูหมิง ทุกอย่างเหล่านี้ฝังลึกอยู่ในความทรงจำ ไม่มีวันลืมไปชั่วนิรันดร์ ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจลบภาพเกี่ยวกับเผ่าชะตาชีวิตลงได้

ตอนจากไปซูหมิงเงียบตลอดทาง เอาแต่นึกถึงเรื่องของเกาะบึงใต้ ขณะเงียบงันก็เหมือนว่ากระทั่งมวลอากาศรอบตัวยังรู้สึกกดดันเล็กน้อย

จื่อเยียนกับหยามู่พาซูหมิงห้อเหยียดไปตลอดทางด้วยความรู้สึกกดดันเช่นกัน

หลายวันต่อมา ทั้งสามคนมาหยุดอยู่บนแดนทะเลกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ห่างจากเกาะเผ่าชะตาชีวิตไปราวหมื่นลี้

“ผู้อาวุโสโม่ ที่นี่คือเกาะบึงใต้” หยามู่กล่าวด้วยความเคารพ

ซูหมิงมองลงไปข้างล่าง ที่นี่เป็นพื้นที่กว้างโล่ง ไม่มีเกาะใดๆ เลย ต่อให้ใช้จิตสัมผัสก็ยังไม่พบ

นัยน์ตาเขาเป็นประกาย เงยหน้ามองชั้นเมฆมืดครึ้มบนท้องฟ้า แล้วก้มหน้ามองพลางปล่อยจิตสัมผัสอีกครั้ง ครั้งนี้เพ่งมองลึกไปถึงก้นทะเล

ตรงก้นทะเลขุ่นมัว ทั้งยังมีแรงต่อต้านจิตสัมผัส แต่ซูหมิงก็ยังรู้สึกรางๆ ว่า ก้นทะเลมีบางอย่างต่างไปเล็กน้อย

ทว่าความต่างนี้ยากจะคาดเดา หากไม่มองดีๆ จะมองออกยาก

“เกาะบึงใต้เป็นจุดรวมคนแดนอรุณใต้ในพื้นที่ใหญ่หลังภัยพิบัติได้ ทั้งยังไม่ถูกผู้ฝึกตนแดนรกร้างบูรพาตรวจพบ เป็นที่ที่วิเศษจริงๆ” ซูหมิงดึงจิตสัมผัสกลับแล้วกล่าวเนิบๆ

หยามู่ประสานมือคารวะซูหมิงอย่างนอบน้อม จากนั้นเดินหน้ามาหลายก้าว ยกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏแผ่นหยกธรรมดาแผ่นหนึ่ง ก่อนเขวี้ยงมันไปข้างหน้า

แผ่นหยกกลายเป็นสายรุ้งยาวลงไปยังผิวทะเลกว้างโล่งอย่างเงียบเชียบ เมื่อตกลงสู่ผิวทะเลก็จมอยู่ในฟองคลื่น

หลังจากแผ่นหยกนี้จมหายไปสิบลมหายใจ หยามู่ก็คำนวณอย่างเงียบๆ ยกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือพิลึกหลายครั้งก่อนกดไปยังมวลอากาศด้านล่าง

น้ำทะเลด้านล่างพลันเกิดเสียงดังสนั่นพร้อมกับม้วนขึ้นมา ขณะเดียวกัน เหนือผิวทะเลมีร่างเงาสองคนชัดเจนขึ้นจากอากาศขมุกขมัว แล้วก้าวเดินออกมา

เป็นชายวัยกลางคนสองคน สองคนนี้สวมอาภรณ์แบบง่ายๆ นัยน์ตาราวสายฟ้า หนึ่งเป็นเชมัน อีกหนึ่งเป็นหมาน เชมันก็เป็นเชมันระดับกลาง เผ่าหมานก็เซ่นไหว้กระดูกตอนกลาง

วินาทีที่สองคนนี้ปรากฏตัวก็มองหยามู่กับจื่อเยียน จากนั้นจึงมองซูหมิงด้วยความเย็นชา

พวกเขาอ่านขั้นพลังซูหมิงไม่ออก แต่ไม่คุ้นหน้าซูหมิงยิ่งนัก

“ผู้รับภารกิจหยามู่ บุคคลนี้คือใคร?” ชายวัยกลางคนเชมันระดับกลางกล่าวด้วยความเย็นชา

ผู้อาวุโสโม่ท่านนี้มีบุญคุณช่วยชีวิตข้า พวกเจ้าสองคนอย่าบุ่มบ่าม ข้าขอรับประกันเอง รีบเปิดทางเร็วเข้า!” หยามู่มีสีหน้าเคร่งขรึม

รักษาการณ์เผ่าหมานและเชมันสองคนนี้ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนชายวัยกลางคนเผ่าหมานประสานมือคารวะหยามู่กับจื่อเยียน

“เมื่อวันก่อนวิหารบึงใต้มีคำสั่งมาว่าช่วงนี้ห้ามคนนอกเข้ามาในเกาะบึงใต้ พวกข้าสองคนรับคำสั่งมา ผู้รับภารกิจหยามู่กับจื่อเยียนเข้าไปก่อนได้ หลังจากได้หนังสือรับรองแล้ว พวกข้าสองคนจะให้เขาเข้าไป”

หยามู่อึ้งงัน หลังจากจงเจ๋อกับอวิ๋นไหลผู้ปกป้องเกาะนี้ปิดด่านฝึกพลัง วิหารบึงใต้ก็้เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องเล็กใหญ่บนเกาะ ในวันธรรมดาจะไม่ออกคำสั่งเช่นนี้ เว้นแต่…

“หรือว่าท่านจงเจ๋อกับท่านอวิ๋นไหล จะมีใครออกฌานรึ?” หยามู่กล่าวขึ้น

“เรื่องนี้พวกข้าสองคนไม่รู้ แต่คนผู้นี้ หากไม่มีหนังสือรับรองก็ให้เข้าไม่ได้” ชายเผ่าเชมันกล่าวเสียงเย็นชา

หยามู่เกิดความลังเลเล็กน้อย เขามองจื่อเยียน จื่อเยียนขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะกล่าวคำ ซูหมิงข้างๆ ก็เดินหน้าเข้ามาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

ชายวัยกลางคนเผ่าหมานและเชมันสองคนที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่พลันมีสีหน้าตื่นตระหนก แต่ช่วงที่เห็นแววตาของซูหมิง นัยน์ตาพลันฉายแววสับสนทันใด

พวกเขาอึ้งงันอยู่ที่เดิม ปล่อยให้ซูหมิงเดินผ่านไป

ในใจหยามู่สั่นไหว ยิ่งรู้สึกว่าซูหมิงลึกลับยากจะคาดเดา คำว่าขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ก่อนชายชราแดนรกร้างบูรพาจะสิ้นใจดังขึ้นในความคิดเขาอีกคั้ง

ยามนี้จึงรีบตามเข้าไปและเปิดการป้องกันของที่นี่ด้วยตัวเอง บนผิวทะเลกว้างใหญ่เกิดเสียงดังก้องกังวาน ปรากฏม่านแสงหนาหนึ่งชั้นในทันใด ม่านแสงนี้ปกคลุมผิวทะเลในระยะหลายร้อยลี้เหมือนชามใหญ่พลิกคว่ำ

ในใจจื่อเยียนเองก็เกิดความรู้สึกคล้ายกับหยามู่เกี่ยวกับขั้นพลังลึกลับของซูหมิง หลังจากตามซูหมิงไปแล้ว ทั้งสามคนก็เข้าไปในม่านแสง

เมื่อร่างเงาพวกเขาหายไป ม่านแสงค่อยๆ เลือนหาย ผ่านไปพักหนึ่งนัยน์ตาสับสนของชายวัยกลางคนเผ่าหมานและเชมันก็หายไป ในความทรงจำพวกเขาจำได้รางๆ ว่าหยามู่กับจื่อเยียนเพิ่งเข้าไปในเกาะ ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับซูหมิงเลย

นี่คือพลังของผู้ดูดวิญญาณ เป็นส่วนหนึ่งของพลังคำสาปของจู๋จิ่วอิน ในเผ่าเชมันตอนนี้ คนที่ใช้พลังดูดวิญญาณถึงระดับนี้ได้ นอกจากซูหมิงแล้วก็ไม่มีใครอีก!

ต่อให้เป็นจงเจ๋อผู้ดูดวิญญาณเชมันระดับสูงสุด การจะทำแบบนี้ก็เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เว้นแต่จะใช้กลอุบายอื่น

ทันทีที่เหยียบเข้าสู่ม่านแสง ซูหมิงพลันสังเกตเห็นว่าข้างกายตนมีวงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายอยู่ หลังจากพลังนี้หายไป สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือวงแหวนอาคมยักษ์ รอบๆ วงแหวนอาคมมีคนนั่งอยู่เจ็ดแปดคน ยามนี้ต่างพากันมองมา

นอกจากวงแหวนอาคมก็เป็นเทือกเขาขึ้นลง บนเทือกเขานั้นมีเรือนจำนวนมาก แต่ละหลังหากมองไกลๆ จะงดงามยิ่งนัก กระทั่งบนเทือกเขายังมีถ้ำที่สร้างขึ้นจากภูเขา

มองไปไกลๆ ยังเห็นว่ากลางวงล้อมเทือกเขามีเค้าลางเมืองธรรมดาๆ อยู่

โดยรอบมีแสงสว่าง บนท้องฟ้าไม่มีเมฆ กลางท้องฟ้าสีครามมีดวงตะวันส่องสว่างอยู่หนึ่งดวง

ทุกอย่างปานดินแดนในอุดมคติ เป็นสองโลกที่ต่างจากภายนอกโดยสิ้นเชิง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version